เงินฝืดญี่ปุ่น … บทเรียนในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจ

จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจมีแนวโน้มต้องเผชิญกับภาวะที่อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงจนมีค่าติดลบในบางเดือนของปี 2552 หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ลดลงอย่างรวดเร็วมาที่ร้อยละ 0.4 ในเดือนธันวาคม 2551 (Year-on-Year) ต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปี และเทียบกับที่เคยขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 9.2 ในเดือนกรกฎาคม 2551 อีกทั้ง จากสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินโลกในปัจจุบัน ที่นานาประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ต่างกำลังประสบชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรง และการชะลอตัวของแรงกดดันเงินเฟ้อจนอาจถึงขั้นเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังก็เป็นไปในเชิงที่ผ่อนคลายลงอย่างมากเพื่อรับมือกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุด อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ถูกปรับลดลงมาจนแตะหรือใกล้ระดับร้อยละ 0.00 ในขณะที่อีกหลายๆ ประเทศก็อาจจำเป็นต้องดำเนินการในลักษณะเดียวกันในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การศึกษาถึงประสบการณ์ของญี่ปุ่นในอดีตที่เศรษฐกิจตกต่ำและเผชิญกับภาวะเงินฝืดเป็นเวลายาวนานกว่าทศวรรษนับจากปี ค.ศ. 1990 ซึ่งแม้ว่าโครงสร้างและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็น่าที่จะเป็นประโยชน์ รวมถึงอาจจะสามารถนำบทเรียนในสมัยดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อวางแนวทางให้สามารถรอดพ้นจากวิกฤตในรอบนี้ไปได้โดยประเทศได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปข้อสังเกตในยุคที่ญี่ปุ่นประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 ถึง 2000 รวมถึงข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่ทางการของแต่ละประเทศพึงดำเนินการไว้ดังต่อไปนี้ :-

ข้อสังเกตจากประสบการณ์ทศวรรษเงินฝืดของญี่ปุ่นในอดีต
 ธนาคารกลางญี่ปุ่นลังเลในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนคลาย
โดยก่อนที่วัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่นจะเริ่มขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือบีโอเจ ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสมัยนั้น (Discount Rate) อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 จากร้อยละ 2.50 มาที่ร้อยละ 6.00 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1990 เพื่อรับมือกับการปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์ ทั้งราคาที่อยู่อาศัยและดัชนีราคาหุ้น และเพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ต่อมา ถึงแม้ว่าฟองสบู่ของราคาที่อยู่อาศัยและราคาหุ้นจะได้แตกตัวลงในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แต่บีโอเจก็ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับดังกล่าว ซึ่งกว่าที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแรงและต่อเนื่องจะเกิดขึ้น ก็ล่วงเลยมาจนถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1991 โดยวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยได้ดำเนินไปจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงสู่ร้อยละ 0.50 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1995 เพื่อประคับประคองภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบีโอเจจะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ดูเหมือนผ่อนปรนอย่างมากเพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่นก็ยังมีระดับที่ค่อนข้างสูงหากนำไปเปรียบเทียบกับอัตราการขยายตัวของจีดีพี ณ ราคาประจำปี (Nominal GDP) ในช่วง ค.ศ. 1991-2001 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.0 เท่านั้น รวมทั้งในบางปี Nominal GDP ก็หดตัวลงและมีระดับต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือเผชิญกับการตกต่ำลงของราคาสินค้าทั่วไปแล้ว

การรับรู้ความเสียหายและเพิ่มทุนของสถาบันการเงินใช้เวลาในการสะสางนานเกินไป นับจากการร่วงลงของราคาที่อยู่อาศัยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันของสินเชื่อที่สถาบันการเงินและความมั่งคั่งของภาคครัวเรือน นำมาสู่การเสื่อมถอยลงของคุณภาพหนี้ และปัญหาการขาดสภาพคล่องที่ลุกลามจากภาคสถาบันการเงินไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ในขณะที่ การรับรู้ความเสียหายและการดำเนินการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเนื่องจากทางการไม่ได้ใช้นโยบายเชิงรุกมากเท่าที่ควร ทำให้การเปิดเผยฐานะการเงินของสถาบันการเงินขาดความโปร่งใส โดยต้องรอจนกระทั่งถึงช่วงปี ค.ศ. 2001 ที่บีโอเจประกาศใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณ (quantitative easing policy) ซึ่งเน้นการดูแลเป้าหมายปริมาณเงินแทนเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย และเร่งให้สถาบันการเงินดำเนินการเพิ่มทุนโดยเร็ว ปัญหาภาคสถาบันการเงินจึงทยอยคลี่คลายลงตามลำดับหลังจากนั้น ทั้งนี้ การสะสางปัญหาที่เป็นไปด้วยความล่าช้านี้เองได้ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องประสบกับภาวะตกต่ำยาวนานถึงกว่าทศวรรษ

การใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เกิดประสิทธิผลเต็มที่เท่าที่คาดหวัง กอปรกับเศรษฐกิจยิ่งบอบช้ำมากขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีที่คิดจากฐานการบริโภคเร็วเกินไป ในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกต่ำลง แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะได้มีการออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมูลค่ารวมสูงถึงประมาณ 118.2 ล้านล้านเยนในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1992-1999 ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีที่คิดจากฐานรายได้ลงเป็นการชั่วคราว แต่ประสิทธิผลของนโยบายการคลังกลับมีไม่มากเท่าที่คาดหวัง เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ทุ่มลงไปในโครงการสาธารณะที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มากนักและเน้นไปที่การสนับสนุนสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ได้มีส่วนมากนักในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น ขณะที่สถาบันการเงินยังคงอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมืองโกเบในปี ค.ศ. 1995 กอปรกับภาวะเงินฝืด ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราภาษีที่คิดจากฐานการบริโภค (consumption tax) จากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 ในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 1997 เพื่อชดเชยภาระทางการคลังของรัฐบาล ก็ยิ่งสร้างความบอบช้ำให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่น ในขณะที่ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นและขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต การหลุดพ้นออกจากปัญหาดังกล่าวจึงใช้เวลาในการเยียวยานานกว่าทศวรรษจึงบรรลุผล

บทเรียนจากญี่ปุ่น … ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่พึงปฏิบัติ
จากบทเรียนที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอดีต การรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น ทางการควรจะมีแนวทางในการดำเนินการเชิงนโยบายตามข้อเสนอแนะดังนี้

ควรลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากความลังเลในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของบีโอเจในอดีต เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและภาวะเงินฝืดเป็นเวลากว่าทศวรรษ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในกรณีที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ผู้กำหนดนโยบายของประเทศที่ตระหนักถึงสัญญาณดังกล่าว จึงควรที่จะเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยเร็ว (pre-emptive) ก่อนที่ปัญหาจะขยายวงกว้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เพื่อรับมือกับวิกฤตในรอบนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงแรงและรวดเร็วตั้งแต่แรกเริ่มที่ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ปะทุขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 เช่นเดียวกันกับธนาคารกลางชาติอื่นที่พากันทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของตนลงตามลำดับ ซึ่งวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก็ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งล่าสุดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds แตะระดับร้อยละ 0.0-0.25 ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา อีกทั้งเฟดยังระบุว่าพร้อมที่จะดำเนินการเพิ่มเติมต่อไปเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯรอดพ้นจากภาวะถดถอยที่ลึกและยาวนานด้วย ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางชาติอื่นๆ ก็มีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนมากขึ้นเช่นกัน รวมถึงมีการพร้อมใจกันปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างฉุกเฉินในเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมาด้วย

ควรเร่งให้สถาบันการเงินรับรู้ความเสียหายและเพิ่มทุนให้เร็วที่สุด ความล่าช้าในการผลักดันให้สถาบันการเงินรับรู้ความเสียหายที่เกิดจากการด้อยค่าลงของมูลค่าสินทรัพย์และดำเนินการเพิ่มทุนเพื่อให้กลไกในภาคการเงินสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของประสบการณ์อันเลวร้ายของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า ทางการควรที่จะสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการตั้งสำรองเพื่อรับรู้ความเสียหายตามสภาพความเป็นจริงเมื่อเกิดการเสื่อมถอยลงของมูลค่าสินทรัพย์และเพิ่มทุนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจอย่างทันท่วงที เพื่อจำกัดการลุกลามของปัญหา ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนในการดำเนินงานหรือเป็นภาระทางการคลังของภาครัฐก็ตาม เพราะเมื่อใดที่สถาบันการเงินอ่อนแอหรือสูญเสียความน่าเชื่อถือไป กลไกทางการเงิน โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อ จะไม่ทำงานหรือติดกับดัก ส่งผลกระทบลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจจริงให้เกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวหรือขาดสภาพคล่อง ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการ ต้นทุนในการเยียวยาปัญหาจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งนี้ ในวิกฤตรอบนี้ จะเห็นว่า สถาบันการเงินสหรัฐฯได้มีการรับรู้ส่วนสูญเสียของหนี้และเพิ่มทุนไปแล้วพอสมควร แต่ขณะนี้กลไกในตลาดการเงินก็ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ เพราะความเสี่ยงด้านเครดิตยังคงมีอยู่ในระดับค่อนข้างสูง หลังจากที่ปัญหาได้ขยายขอบเขตไปถึงสินเชื่อหลากหลายประเภทไม่เพียงแต่สินเชื่อซับไพร์มและไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพียงในสหรัฐฯเท่านั้น ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่กลไกในตลาดการเงินจะฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็มีการประเมินกันว่าคงจะไม่ยาวนานเท่ากับประสบการณ์ของญี่ปุ่นในอดีต

ควรเลือกกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายที่เหมาะสม จากบทเรียนของญี่ปุ่น การอัดฉีดเงินของภาครัฐลงไปสู่โครงการที่ไม่เกิดประสิทธิผล อาจไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นเร็วเท่าที่คาดหวัง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ทางเลือกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการใช้นโยบายการคลังระหว่างนโยบายด้านภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ คงจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านประสิทธิผลของนโยบาย รวมถึงภาระทางการคลัง โดยการลดภาษีอาจมีข้อดีคือ เป็นการลดภาระให้กับผู้เสียภาษีอย่างเป็นธรรม ทั่วถึง ดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ และมีความโปร่งใส แต่มีข้อเสียคือ ประโยชน์ต่อภาคธุรกิจที่ประสบผลขาดทุนย่ำแย่อยู่แล้วอาจมีจำกัด ในขณะที่การใช้จ่ายมีข้อดีคือ การเข้าช่วยเหลือกลุ่มผู้เสียหายได้อย่างตรงจุด แต่มีข้อเสียคือ อาจมีความล่าช้าในการอนุมัติและดำเนินโครงการ และประเด็นด้านความโปร่งใส ดังนั้น การเลือกใช้นโยบายที่เหมาะสมซึ่งไม่กระทบกรอบวินัยทางการคลังในระยะยาว แม้อาจเป็นภาระทางการคลังในระยะสั้น แต่ประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีมากกว่า ย่อมเป็นทางเลือกที่มีความสมเหตุสมผลและควรเร่งดำเนินการ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ทางการของแต่ละประเทศก็ได้มีแนวทางในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน อาทิ รัฐบาลสหรัฐฯใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดแรกมูลค่า 1.68 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการคืนภาษีให้กับประชาชน และยังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงกลางเดือนมกราคม 2552 ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ที่กำลังจะถูกผลักดันออกมาโดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายบารัค โอบามา ในขณะที่ รัฐบาลอังกฤษมีการใช้นโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนทางการจีนใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ผ่านการใช้จ่ายตามโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้น นอกจากการใช้จ่ายผ่านงบกลางปีจำนวน 1.0-1.8 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2552 แล้ว รัฐบาลยังมีแผนจะใช้มาตรการด้านภาษีสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ และการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบในระยะข้างหน้าด้วย

ควรดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืด เพราะหากประสบกับภาวะเงินฝืด หรือการหดตัวลงของราคาสินค้าและการด้อยค่าลงของมูลค่าสินทรัพย์ต่างๆ แล้ว ประชาชนจะขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต ในขณะที่ภาคธุรกิจก็จะประสบกับภาวะที่ย่ำแย่และขาดแรงจูงใจในการผลิตและขายสินค้า ซึ่งท้ายที่สุดย่อมนำมาสู่การหดตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและต้องใช้เวลานานกว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อของไทยอาจยังมีแนวโน้มลดลงและมีค่าติดลบในบางเดือนของปี 2552 จึงนับเป็นความท้าทายของทางการไทยในการวางแนวทางเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจตกเข้าสู่ภาวะเงินฝืด

ไม่ควรปรับขึ้นภาษีหากเศรษฐกิจยังมีสัญญาณอ่อนแอ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจน การรีบร้อนปรับขึ้นอัตราภาษีเพื่อชดเชยภาระทางการคลังที่ใช้ไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่อ่อนแอนั้น อาจส่งผลลดทอนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจให้กลับดิ่งตัวลงไปอีก ดังเช่นบทเรียนจากการปรับขึ้นภาษีที่คิดจากฐานการบริโภคของรัฐบาลญี่ปุ่นตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้น ทางการควรตระหนักว่าการเยียวยาเศรษฐกิจที่ถดถอยลงนั้น เป็นเรื่องปกติที่ภาระหนี้ของประเทศย่อมมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ก็คงไม่น่าจะมีผลต่อเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การนำประสบการณ์ของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษของการตกต่ำลงทางเศรษฐกิจและการเผชิญกับภาวะเงินฝืดมาเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับทางการประเทศต่างๆ น่าที่จะเป็นประโยชน์สำหรับการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลกในรอบนี้ ซึ่งหลายๆ ประเทศก็ได้มีการดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นนี้ไปแล้วในระดับหนึ่งโดยเลือกปรับใช้นโยบายตามความเหมาะสมของเศรษฐกิจตน แต่จนกระทั่งขณะนี้ สถานการณ์ความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังมีอยู่ และตลาดการเงินโลกที่ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่าคงจะต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็เชื่อว่าคงจะไม่นานเท่ากับระยะเวลาที่ญี่ปุ่นใช้ในการเยียวยาปัญหาในอดีต

สำหรับข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายจากบทเรียนในอดีตของญี่ปุ่นเมื่อเผชิญกับภาวะวิกฤตนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินได้ว่า องค์ประกอบของการฟื้นเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น น่าที่ประกอบด้วย การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็วและมากพอ เพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นชัดเจน ในขณะเดียวกัน นโยบายการคลังที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐและการใช้นโยบายภาษี ก็เป็นสิ่งที่ควรเร่งดำเนินการด้วยความรอบคอบ แต่ก็ไม่ควรเร่งรีบปรับขึ้นอัตราภาษีหากเศรษฐกิจยังไม่พ้นขีดอันตราย เพียงเพื่อจะรักษากรอบวินัยทางการคลัง เพราะการดำเนินการดังกล่าวอาจยิ่งลดทอนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและทำให้เศรษฐกิจยิ่งบอบช้ำลงไปอีก นอกจากนี้ ควรที่จะสนับสนุนให้สถาบันการเงินรับรู้ความเสียหายและเพิ่มทุนเร็วที่สุดเพื่อสะสางปัญหาการด้อยค่าลงของสินทรัพย์ และจำกัดขอบเขตของผลกระทบที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจริง รวมถึงเพื่อรักษากลไกทางการเงินให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และท้ายสุด ความเชื่อมั่นของประชาชนในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและไม่อาจละเลยได้ โดยทางการควรที่จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อระมัดระวังไม่ให้เศรษฐกิจเกิดภาวะเงินฝืด มิเช่นนั้นประชาชนและภาคธุรกิจจะขาดความเชื่อมั่นและแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต และย่อมเป็นผลร้ายลงไปอีกต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การรับมือกับภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น คงจะไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัวสำหรับทุกๆ ประเทศ และทุกๆ รอบของวิกฤต รวมทั้งคงจะไม่สามารถใช้องค์ประกอบใดเพียงองค์ประกอบหนึ่งโดยลำพังเพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่การฟื้นเศรษฐกิจจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทางการของประเทศมีการดำเนินการผ่านองค์ประกอบต่างๆ ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งคงจะต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นสำคัญด้วย

ในส่วนการดำเนินนโยบายของทางการไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า รัฐบาลก็ได้มีการวางแนวทางรับมือการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มาถูกทางแล้ว เพราะมีทั้งมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อการเรียกฟื้นความเชื่อมั่น การต่ออายุมาตรการบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน และการดูแลปัญหาราคาสินค้าพืชผลที่ตกต่ำลง ตลอดจนมาตรการระยะกลางและยาวเพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ การปรับโครงสร้างระบบภาษี และการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ อย่างไรก็ตาม กระบวนการของการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่มีกรอบเวลาและต้องการความโปร่งใส เป็นอีกปัจจัยที่รัฐบาลควรต้องคำนึงถึงนอกเหนือจากประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของแต่ละมาตรการ นอกจากนี้ การพิจารณาปรับลดอัตราภาษีแบบถาวรอาจจะมีประสิทธิผลในการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนได้มากกว่าการลดภาษีแบบชั่วคราว โดยเห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ก็คือ การผ่านงบประมาณกลางปีงบประมาณ 2552 เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.0 แสนล้านบาท การเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ และการออกมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มนายจ้างและลูกจ้าง สำหรับในด้านนโยบายการเงินนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง คงจะเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีพื้นที่มากพอสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในระยะข้างหน้าเพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังมีสูงในช่วงปีข้างหน้า ซึ่งคงจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินให้มีอย่างเพียงพอในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนการดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้เป็นไปตามกลไกตลาดและไม่เสียเปรียบในเชิงการแข่งขันสำหรับภาคการส่งออก