เคทีซีชี้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งให้ภาพรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคทั้งระบบเติบโตไม่มากนัก แต่บริษัทฯ ยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 520 ล้านบาท รายได้รวม 12,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% ด้วยฐานสมาชิกรวมกว่า 2.19 ล้านบัญชี พอร์ตลูกหนี้สุทธิเท่ากับ 48,661 ล้านบาท ผลจากความสามารถในการจัดการความเสี่ยง การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลสมาชิก วิสัยทัศน์ที่เน้นให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ และกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ พร้อมจับมือเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มเติม เผยทิศทางธุรกิจปี 2552 สานต่อนโยบายเข้มในการบริหารลูกหนี้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งระบบ รวมทั้งใช้ กลยุทธ์การตลาดเข้าถึงลูกค้าแบบตัวต่อตัว เพิ่มฐานลูกค้าระดับบนมากขึ้น และปรับแนวทางการบริหารที่ยืดหยุ่นรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและปัจจัยกระทบจากภายนอก
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจรอบปีที่ผ่านมาชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ถึงแม้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สัดส่วนหนี้ที่เริ่มค้างชำระของสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ ซึ่งรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ภาพรวมของธุรกิจบัตรเครดิตในปีที่ผ่านมาเติบโตเพียง 6% ถือว่ามีการขยายตัวชะลอตัวลงจากปีก่อนๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ประกอบการบางรายดำเนินนโยบายปรับเปลี่ยนเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อให้เข้มงวดขึ้น จึงทำให้ภาพรวมตลาดสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในปีที่ ผ่านมามีอัตราเติบโตไม่มากนัก”
“อย่างไรก็ตาม เคทีซียังคงสามารถสร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษามูลค่ากำไรสุทธิใกล้เคียงปีที่ผ่านมา จากการปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานทั้งระบบ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมลดลงจากปีที่ผ่านมา และการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเลือกใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลในเรื่องที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ปี 2551 เคทีซีมีกำไรสุทธิ 520 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2.02 บาท ฐานสมาชิกรวม 2.19 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 13% จากสิ้นปี 2550 ที่มีจำนวน 1.94 ล้านบัญชี โดยเป็นสมาชิกใหม่จากบัตรเครดิตและสินเชื่อพร้อมใช้ เคทีซี แคช รีโวล์ฟ (KTC CASH Revolve) สำหรับจำนวนบัตรเครดิตรวม ณ สิ้นปี 2551 เท่ากับ 1,645,878 บัตร และเคทีซี แคช เท่ากับ 542,599 บัญชี และสินเชื่อเจ้าของกิจการ เคทีซี มิลเลี่ยน เท่ากับ 1,794 บัญชี”
“ทั้งนี้ 4 ปัจจัยหลักที่สร้างความสำเร็จให้แก่บริษัทฯ ในปี 2551 ได้แก่ 1) การจัดการด้านฐานข้อมูลสมาชิก เป็นเครื่องมือในการศึกษาพฤติกรรมการใช้จ่ายของสมาชิกเคทีซี ทำให้สามารถกำหนดแผนกลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าและบริการได้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม 2) แนวทางการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของสินทรัพย์อย่างมีคุณภาพ และการบริหารงานอย่างมีวิสัยทัศน์ ความเชี่ยวชาญและความคล่องตัวในการทำงานที่ตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็ว ทันต่อการเคลื่อนไหวของสภาพตลาดสินเชื่อที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนงานบริการและการเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในการร่วมใช้สาขาของธนาคารเป็นช่องทางในการนำเสนอบริการที่หลากหลายให้กับลูกค้า นอกเหนือจากศูนย์บริการลูกค้า KTC Touch ที่ช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับบริษัทฯ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น 3) กลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์พร้อมเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจใหม่ๆ อาทิ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ร้านอาหาร บริการด้านการเดินทางและท่องเที่ยว การประกันภัย และร้านค้าด้านอุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร เพื่อนำเสนอโปรแกรมการตลาดที่ตอบแทนผู้ใช้บัตรเคทีซีอย่างคุ้มค่าและตรงกับความต้องการ เพื่อให้สมาชิกมีความผูกพันกับ
แบรนด์เคทีซีในระยะยาว ด้วยแคมเปญด้านการแลกคะแนนสะสม KTC Forever Rewards ที่ถูกพัฒนาให้มีการใช้คะแนนสะสมรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของลูกค้า 4) ความสามารถในการจัดการความเสี่ยง โดย บริษัทฯ มีการวิเคราะห์กระแสเงินสดและวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงินโดยรวมในทุกช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง มีทีมติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ทำให้สามารถบริหารเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งวิเคราะห์ความเสี่ยงรวมของลูกค้า โดยใช้ระบบ Credit Scoring ตรวจสอบประวัติการชำระเงินของลูกค้าจากบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) โดยพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ลูกค้ามีอยู่กับสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารความเสี่ยงและรักษาคุณภาพของลูกหนี้ได้ในระดับที่น่าพอใจ”
“สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 51,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากสิ้นปี 2550 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเติบโต 13% เพิ่มขึ้นเป็น 48,661 ล้านบาท จาก 43,196 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 ทั้งนี้ แม้ว่าผู้บริโภคจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่จากการมุ่งเน้นให้สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรสำหรับสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จึงทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 18% โดยพอร์ตลูกหนี้รวมประกอบด้วย ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 35,223 ล้านบาท สินเชื่อบุคคลเคทีซี แคช สุทธิ 12,321 ล้านบาท และสินเชื่อเจ้าของกิจการ เคทีซี มิลเลี่ยน สุทธิ 673 ล้านบาท และลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิ 445 ล้านบาท ในส่วนของอัตราการค้างชำระยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม”
“ในปี 2551 บริษัทฯ มีรายได้รวม 12,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปี 2550 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยรวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีสัดส่วนคิดเป็น 70% และ 25% ของรายได้รวม สำหรับค่าใช้จ่ายรวมปี 2551 (รวมดอกเบี้ยจ่าย) เท่ากับ 11,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ในปี 2551 เท่ากับ 49% ต่ำกว่าปีก่อนที่ 50%”
“ส่วนของต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ เท่ากับ 4.57% ลดลงจาก 4.87% ณ สิ้นปี 2550 โดยต้นทุนเงินทุนเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีที่ 4.49% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ยตลาดที่อิงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2551 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ จึงมีภาระการจัดหาเงินกู้ยืมระยะสั้นในอัตราดอกเบี้ยตลาดที่สูงขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจะเริ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯ ยังสามารถดำรงต้นทุนเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันบริษัทฯ คงระดับอัตรารายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยใกล้เคียงกับสิ้นปีที่ผ่านมาที่ 18.3% ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) สำหรับปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 13.7% จาก 13.4% เมื่อสิ้นปี 2550”
“สำหรับปี 2552 บริษัทฯ จะใช้แนวทางการบริหารในลักษณะแผนประยุกต์ (Adaptive Plan) ที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรมและปัจจัยกระทบจากภายนอก ประกอบกับการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด อีกทั้งมุ่งใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะรายและมุ่งขยายฐานสู่กลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีอำนาจซื้อสูง และมีแนวโน้มการใช้จ่ายคล่องตัวกว่าในภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตลดลง รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพหนี้อย่างรัดกุม และเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มที่เป็นประโยชน์กลับสู่กลุ่มลูกค้านั้นๆ มากที่สุด โดยอาศัยความได้เปรียบจากเครือข่ายพันธมิตรหลากหลายธุรกิจในการสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อการเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งในใจของผู้บริโภค” นายนิวัตต์กล่าวปิดท้าย