บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปี' 52 : ขยายตัวดี…ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง

ในปี 2552 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถือเป็นสินค้าเพื่อการบริโภคที่น่าจะได้รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศที่หดตัวลงมาก ด้วยลักษณะเฉพาะของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีราคาจำหน่ายที่ต่ำ สะดวกในการปรุง และบริโภคแล้วอิ่มท้อง จึงมักเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมากที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ประกอบกับการเร่งทำตลาดของบรรดาผู้ประกอบการในตลาด ยอดการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2552 จึงน่าจะสามารถเติบโตจากปี 2551 ได้ประมาณ 5 %

สถานการณ์ปี’51 : ปรับขึ้นราคาบะหมี่ ต้นทุนสูง…การผลิต และจำหน่ายในประเทศหดตัว
การปรับขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประเภทซองจากซองละ 5 บาทเป็น 6 บาท ตั้งแต่ต้นปี 2551 ทำให้ยอดการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศปี 2551 หดตัวลงจากปี 2550 ถึง 9.19% เนื่องจาก บรรดาร้านจำหน่าย และผู้บริโภคในประเทศได้ทำการซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกักตุนไว้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2550 ทั้งนี้ ยอดการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเริ่มกลับมาสูงขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 ขยายตัวได้ถึง 12.16% ด้วยการขยายการจำหน่ายไปในหลากหลายประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนีที่มีลูกค้าท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่กลุ่มลูกค้าเป็นชาวเอเชียที่มาอาศัยในประเทศ

ขณะที่ปริมาณการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2551 ลดลงจากปี 2550 ประมาณ 4.5% เนื่องจากสต๊อกสินค้าเฉลี่ยในแต่ละเดือนมีปริมาณมากขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบการผลิตที่สำคัญทั้งแป้งสาลี และน้ำมันปาล์มซึ่งถือเป็นต้นทุนการผลิตกว่า 60% มีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 46.8% และ 21.2% ตามลำดับ

แนวโน้มปี’52 : เศรษฐกิจหดตัว…หนุนตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขยายตัว
ในปี 2552 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่หลายหน่วยงานทั้งภายใน และต่างประเทศต่างคาดการณ์ในทิศทางเดียวกันว่าจะมีแนวโน้มทรงตัวถึงหดตัวลงจากปี 2551 รวมไปถึงการเลิกจ้างงานที่มีผลทำให้จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยทั้งสองจะทำให้การจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคของประชาชนภายในประเทศเป็นไปอย่างประหยัดมากขึ้น แต่จะส่งผลให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศมากขึ้นกว่าปี 2551 ด้วยจุดเด่นที่สำคัญคือ ราคาจำหน่ายที่ต่ำเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น สะดวกในการปรุง บริโภคแล้วอิ่มท้อง และมีรสชาติให้เลือกรับประทานที่หลากหลาย ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงข่าวคราวการปลดคนงานที่ปรากฏให้เห็นมากขึ้นทั่วโลกก็จะทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นที่ต้องการในต่างประเทศมากขึ้นด้วย

ขณะที่ราคาวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีแนวโน้มลดต่ำลงจากปี 2551 อันจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการที่จะมีต้นทุนการผลิตลดลง โดยราคาแป้งสาลีมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณการผลิต และสต๊อกข้าวสาลีโลกในปีผลผลิต 2551/52 มีปริมาณเพิ่มขึ้น แต่การบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัว ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทำการส่งออกเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2551 ขณะที่น้ำมันปาล์มซึ่งถือเป็นปัจจัยการผลิตอีกชนิดที่สำคัญก็มีแนวโน้มราคาลดต่ำลง เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพลดต่ำลงตามราคาน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปที่มีราคาอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งต้นทุนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ลดลงนี้ ย่อมเป็นผลดีทำให้ผู้ประกอบการมีงบประมาณทำตลาดสูงขึ้นกว่าปี 2551

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจในประเทศปี 2552 จะมีแนวโน้มหดตัวลงจากปี 2551 และจำนวนผู้ว่างงานในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ มากขึ้นไม่เว้นแม้กระทั่งสินค้ากลุ่มอาหาร แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นกลุ่มอาหารที่ได้รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ด้วยลักษณะเฉพาะของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีราคาจำหน่ายต่ำ สะดวกในการปรุง บริโภคแล้วอิ่มท้อง และมีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ซึ่งสามารถตอบโจทย์การบริโภคอย่างประหยัดของผู้บริโภคในปี 2552 ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับปริมาณการกักตุนสินค้าของร้านค้าและผู้บริโภคตั้งแต่ปลายปี 2550 ที่เริ่มหมดลง ยอดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศปี 2552 จึงน่าจะสามารถขยายตัวจากปี 2551 ประมาณ 5 – 6% ขณะที่การส่งออกน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัวอย่างรุนแรง จะทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นที่ต้องการมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 10% สู่ 19%

อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาดหลากหลายตราสินค้า และหลากหลายรสชาติ ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ และมีพฤติกรรมการซื้อครั้งละไม่มาก การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดต่างๆ แย่งชิงผู้บริโภค เพื่อเพิ่ม หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดย่อมทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์…แย่งชิงผู้บริโภค
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มหดตัวลงจะเป็นผลดีต่อการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ด้วยแนวโน้มสต๊อกสินค้าเฉลี่ยต่อเดือนของผู้ประกอบการที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับจำนวนตราสินค้าและรสชาติที่วางจำหน่ายในตลาดมีมากขึ้น ย่อมส่งผลให้การแข่งขันแย่งชิงผู้บริโภคทวีความรุนแรงขึ้น การปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีประเด็นการปรับตัวที่สำคัญประกอบด้วย

 บริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าในบางช่วงเวลาปริมาณบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคงคลังจะมีปริมาณลดต่ำลง แต่หากพิจารณาแนวโน้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคงคลังในแต่ละปีจะพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับหากพิจารณาสัดส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคงคลังต่อยอดจำหน่ายในแต่ละปีจะพบว่าสัดส่วนดังกล่าวมีค่าสูงมากกว่า 33% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ยกเว้นในปี 2550 ที่สัดส่วนลดลง เนื่องจากการซื้อกักตุนปริมาณมากในช่วงปลายปี 2550 ก่อนปรับขึ้นราคาจำหน่ายในช่วงต้นปี 2551) ซึ่งการบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้มีปริมาณไม่สูงมากในแต่ละช่วงเวลา จะสามารถช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้า และช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ โดยผู้ประกอบการควรบริหารสินค้าคงคลังควบคู่ไปกับการวางแผนการผลิต และการคาดการณ์ยอดจำหน่าย เพื่อให้ปริมาณสินค้าคงคลังในแต่ละช่วงเวลาไม่สูงมากจนเป็นภาระแก่การเก็บรักษา หรือไม่น้อยจนกระทั่งไม่เพียงพอที่จะจำหน่าย โดยอาจนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ตรวจเช็คปริมาณการผลิต จำหน่าย และสินค้าคงคลังในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการผลิต จำหน่าย และการเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังได้อย่างรวดเร็ว

 ผลิตสินค้าตามไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการจึงเริ่มมุ่งเน้นผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดซองประหยัด 5 บาทสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยผู้ประกอบการอาจเพิ่มรสชาติที่จะวางจำหน่ายมากขึ้นกว่ารสหมูสับ หรือต้มยำกุ้ง เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านรสชาติในการบริโภคแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยหรือชามที่สามารถพกพาได้สะดวกในราคาประมาณ 12 – 20 บาท เจาะกลุ่มหนุ่มสาวออฟฟิศที่มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบแข่งกับเวลา ต้องการการบริโภคที่สะดวก ไม่ต้องหาภาชนะมาบรรจุ และได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้นจากเนื้อสัตว์กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

 ปรับปรุง หรือออกรสชาติใหม่ การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่เป็นประจำจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในรสชาติเดิมๆ ได้ง่าย และอาจปรับเปลี่ยนการบริโภคไปยังตราสินค้าอื่นที่มีรสชาติใกล้เคียงกันเพื่อสร้างความแปลกใหม่ในการบริโภค ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคสินค้าอาหารของคนกรุงเทพฯ ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระหว่างวันที่ 9 – 23 มกราคม 2552 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,025 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างจะทดลองเปลี่ยนยี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึง 22.8% ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าไม่มากนัก และต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ ผู้ประกอบการจึงควรออกรสชาติใหม่ๆ ที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดปีละ 1 – 2 รสชาติ หรือปรับปรุงรสชาติเดิมที่จำหน่ายอยู่เพื่อสร้างความแปลกใหม่แก่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ การผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้มีรสชาติเฉพาะตามรสนิยมผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่วางจำหน่ายถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเพิ่มยอดจำหน่ายในต่างประเทศที่น่าสนใจ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสไส้กรอกเยอรมันจำหน่ายในประเทศเยอรมนี หรือรสแกงกะหรี่ไก่จำหน่ายในอินเดีย และตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยขยายกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศ จากเดิมที่ผู้ผลิตจะจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแก่กลุ่มผู้บริโภคชาวเอเชียที่อาศัยในต่างประเทศเป็นหลัก

เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมักถูกมองว่าเป็นอาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงทำให้ผู้บริโภคไม่นิยมบริโภคต่อเนื่องเท่าไรนัก การเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการบริโภค เช่น การเพิ่มวิตามินต่างๆ การเพิ่มเนื้อสัตว์อบแห้ง หรือการเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดไขมัน และคลอเรสตอรอล โดยการอบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยความร้อนสูงแทนการทอดในน้ำมันปาล์ม เป็นต้น

เพิ่มช่องทางการวางจำหน่ายให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเลือกซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้บริโภคให้มีมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคสินค้าอาหารของคนกรุงเทพฯ ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระหว่างวันที่ 9 – 23 มกราคม 2552 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,025 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างจะนิยมเปลี่ยนสถานที่เลือกซื้อถึง 38.6% โดยจะเลือกซื้อในสถานที่ใกล้บ้านที่ได้รับความสะดวกในการซื้อ และเลือกซื้อครั้งละไม่มากแต่มีความถี่ในการซื้อมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรวางจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตามร้านค้าสะดวกซื้อในชุมชนต่างๆ ให้ทั่วถึงมากขึ้น

 ใช้กลยุทธ์การตลาดประเภท Below the line เนื่องจากกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถสร้างการรับรู้ในตัวสินค้า และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้โดยตรงโดยใช้งบประมาณไม่สูงมากนัก เช่น การจัดบูธให้ทดลอง และจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติใหม่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และตามตลาดต่างๆ หรือการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติเจตามโรงเจต่างๆ ในช่วงเทศกาลกินเจ รวมไปถึงการเป็นผู้สนับสนุนการจัดกิจกรรมทางสังคม การแข่งขันกีฬา และดนตรีต่างๆ เป็นต้น

บทสรุป
แม้ว่ายอดการผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้ประกอบการในประเทศปี 2551 จะหดตัวลงจากปี 2550 ถึง 4.5% และ 5.8% ตามลำดับ โดยมีสาเหตุสำคัญจากการซื้อกักตุนไว้จำนวนมากตั้งแต่ปลายปี 2550 ซึ่งราคาจำหน่ายยังคงไม่ปรับขึ้น แต่ในปี 2552 การกักตุนที่เริ่มหมดลงไป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงถือได้ว่าเป็นสินค้ากลุ่มอาหารที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีสวนกระแสสินค้าอื่นๆ เนื่องด้วยลักษณะเฉพาะของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีราคาจำหน่ายต่ำ สะดวกในการปรุง รับประทานแล้วอิ่มท้อง และมีรสชาติให้เลือกรับประทานจำนวนมาก จึงทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายเช่นนี้ โดยยอดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศปี 2552 น่าจะสามารถขยายตัวจากปี 2551 ประมาณ 5 – 6% ขณะที่การส่งออกน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5%

อย่างไรก็ตาม ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตลาดที่วางจำหน่ายอยู่หลากหลายตราสินค้า และหลากหลายรสชาติ รวมถึงปริมาณสต๊อกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้ผลิตในแต่ละปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดต่างๆ แย่งชิงผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อต่ำ เพื่อเพิ่ม หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดย่อมทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีประเด็นการปรับตัวที่สำคัญประกอบด้วยการบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับปริมาณการผลิตและจำหน่าย การผลิตสินค้าตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมากขึ้น และการปรับปรุงหรือออกรสชาติใหม่ๆ รวมไปถึงการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อลดภาพลักษณ์อาหารด้อยประโยชน์ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการใช้กลยุทธ์ Below the line ในการทำตลาดมากขึ้น