เคทีซีประกาศแผนระดมทุน เสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 773.5 ล้านหุ้น เพื่อสร้างฐานเงินทุนรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและเสริมสภาพคล่อง มั่นใจเป็นการเตรียมพร้อมที่เหมาะสมในสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดเงินตึงตัว ตลอดจนเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดในกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัว เชื่อผู้ถือหุ้นและลูกค้าพอใจได้ประโยชน์สูงสุด
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 ได้มีการอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 773.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของบริษัทฯ ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวเป็นราคาขั้นต่ำตามกฎหมายที่บริษัทฯ จะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนได้ เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีผลขาดทุนสะสม โดยจะเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 3 หุ้นที่ออกใหม่ต่อ 1 หุ้นเดิม โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการระดมทุนในครั้งนี้ ซึ่งในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2552 จะเป็นวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 เพื่อดำเนินการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนดังกล่าว”
“การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะเป็นการออกเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนที่ตนถืออยู่ (Right Offering) และเป็นการจัดสรรสิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน โดยหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติในหลักการให้มีการเพิ่มทุน และบริษัทฯได้ดำเนินการอื่นๆ ตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ จะจัดให้มีการเปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนประมาณช่วงวันที่ 25-29 พฤษภาคม 2552 ซึ่งวันเปิดจองซื้อหุ้นที่แน่นอน จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบอีกครั้งหนึ่ง”
“ความจำเป็นของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเงินทั่วโลกที่ตกต่ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกไม่น้อยกว่า 2-3 ปี การเพิ่มทุนเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การตัดสินใจเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้เรามีฐานเงินทุนที่มั่นคงและแข็งแรง เพิ่มศักยภาพในการระดมเงินกู้เพื่อทดแทนเงินกู้ที่จะถึงกำหนดชำระในปีนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังจะทำให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต” นายนิวัตต์กล่าวปิดท้าย