NIDA Business School ชี้ยังไร้สัญญาณศก.โลกฟื้น

คณบดี NIDA Business School ชี้ยังไร้สัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นอย่างแท้จริง ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังชะลอตัว คาดทั้งปีติดลบ 4% เร่งรัฐบาลอัดงบกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศอย่างคุ้มค่ากับต้นทุนการกู้ พร้อมแนะจับตาความเสี่ยงจากเสถียรภาพเงินคงคลัง ค่าเงินบาท และทิศทางราคาน้ำมัน

รศ.ดร.เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดี NIDA Business School เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวมอย่างชัดเจน ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีตัวเลขการเพิ่มขึ้นของอัตราการผลิต และการจ้างงาน แต่การเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่ใช่มาจากความต้องการที่แท้จริง เป็นเพียงการผลิตเพื่อชดเชยความต้องการที่หยุดชะงักอย่างฉับพลันจากการตื่นตระหนกของภาคธุรกิจจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทย ที่ถึงแม้จะมองว่า ได้เดินผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในช่วงไตรมาสแรกโดยมีอัตราการขยายตัวติดลบไป 7.1% แต่โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ถือว่ายังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2552 คาดว่าติดลบในราว 4%

“เราคาดว่า จีดีพีไตรมาส 2 คงจะติดลบประมาณ 6.8% ส่วนไตรมาส 3 จะติดลบประมาณ 4.5% และอาจจะกลับขึ้นมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายประมาณ 1.5% แต่โดยภาพรวมทั้งปี ก็คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะติดลบอยู่ที่ประมาณ 4%” รศ.ดร.เอกชัย กล่าว

คณบดี NIDA Business School กล่าวต่อว่า สำหรับ พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย วงเงินรวมกว่า 8 แสนล้านบาทนั้น เชื่อว่าคงจะเริ่มเห็นผลทางเศรษฐกิจระยะแรกได้อย่างเร็วที่สุดคงจะเป็นช่วงปลายปีนี้ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องใช้เม็ดเงินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด โดยอันดับแรกต้องเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออก และการบริโภคที่ชะลอตัวลงไปอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน จะต้องกระตุ้นโดยให้เกิดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และต้องเป็นโครงการที่จะให้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า เช่น โครงการระบบขนส่งและโลจิสติกส์ โครงการรถไฟฟ้าและรถไฟรางคู่ ตลอดจนโครงการระบบชลประทาน เป็นต้น

“การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนนั้นรัฐบาลจะต้องรีบผลักดันให้เกิดโดยเร็ว และที่สำคัญการลงทุนจะต้องพิจารณาให้ดีว่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับต้นทุนเงินที่กู้มาหรือไม่ ซึ่งรีเทิร์นตรงนี้ไม่ควรจะต่ำกว่าต้นทุนของเงินกู้ ซึ่งจะอยู่ในระดับประมาณ 4%” คณบดี NIDA Business School กล่าว

นอกจากนี้ ภาครัฐต้องให้การช่วยเหลือในด้านของสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี รวมไปถึงธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งถ้ารัฐสามารถจัดการปัญหาภายในประเทศให้มีความสงบเรียบร้อย และความวิตกกังวลเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 บรรเทาเบาลงก็จะทำให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็ว

ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อจากนี้ไปยังเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นต้นตอของวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ ส่วนภายในประเทศต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการผลักดันมาตรการทั้งหมดไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด รวมถึงความเสี่ยงจากเสถียรภาพเงินคงคลังของประเทศจากการกู้เงินเป็นจำนวนมากของรัฐบาล

นอกจากนี้ จะต้องติดตามในเรื่องของค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป เพราะจะยิ่งซ้ำเติมให้กับผู้ประกอบการส่งออก รวมไปถึงทิศทางราคาน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อภาคการผลิต และประชาชนจำนวนมาก