ประชุมผู้นำกลุ่มจี 8 … ร่วมมือหาแนวทางเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก

ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ หรือกลุ่มจี 8 ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี แคนาดา และรัสเซีย มีกำหนดประชุมหารือในวันที่ 8-10 กรกฎาคม นี้ ณ ประเทศอิตาลี พร้อมด้วยผู้นำจากประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมถึงจีน อินเดีย และบราซิลที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจของการประชุมครั้งนี้คงหนีไม่พ้นการหารือแนวทางรับมือกับภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้ในปัจจุบันดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ ได้แก่ สหรัฐฯ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่น ได้ปรากฏสัญญาณปรับตัวดีขึ้นบ้างแล้ว เนื่องจากได้รับแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เพื่อต้านทานภาวะชะลอตัวรุนแรงทางเศรษฐกิจ หลังจากที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบนี้ได้ส่งผลรุนแรงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วในกลุ่มจี 8 ที่ต่างต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางเศรษฐกิจหลายๆ ด้านที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง ทำให้คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศแกนนำหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ กลุ่มยูโรและญี่ปุ่น คงยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงเป็นการปรับตัวเข้าสู่ความสมดุลของภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน เพื่อรอการฟื้นตัวอย่างมั่นคงของภาคการบริโภค สัญญาณความเปราะบางของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศแกนนำหลักของโลก ได้แก่ อัตราการว่างงานที่ยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกดดันภาคการบริโภคของประเทศต่างๆ ให้อ่อนแรงลง ขณะที่การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง ส่งผลกดดันต่อเสถียรภาพด้านการคลังที่อาจเป็นปัจจัยลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงในระยะต่อไป

ดัชนีการจัดซื้อภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งถือเป็นภาวะหดตัว แต่ก็นับได้ว่าเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีการจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 44.6 ในเดือนมิถุนายน ส่วนดัชนี PMI ในภาคบริการที่มีความสำคัญคิดเป็นเกือบสัดส่วนร้อยละ 90 ของจีดีพีสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่ระดับ 47 จากระดับ 44 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนถึงความมีเสถียรภาพมากขึ้นของการใช้จ่ายของประชาชนและการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม การว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.4 ในเดือนก่อนหน้า เป็นร้อยละ 9.5 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 25 ปี จำนวนคนว่างงานในสหรัฐฯ รวมราว 6.5 ล้านคน นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2550 เป็นต้นมา โดยในเดือนมิถุนายน 2552 การจ้างงานในฝภาคบริการที่ถือเป็นสาขาหลักของภาคแรงงานสหรัฐฯ ปรับลดลงมากที่สุดราว 244,000 ตำแหน่ง รองลงมา ได้แก่ ภาคการผลิต ปรับลดลง 136,000 ตำแหน่ง และภาคก่อสร้าง ปรับลดลง 79,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการว่างงานของสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 ในช่วงสิ้นปี 2552 สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ยังคงซบเซา สะท้อนจากราคาบ้านในเขตเมืองสำคัญ 20 แห่งของสหรัฐฯ (S&P/Case-Shiller Index) ปรับลดลงร้อยละ 18 ในเดือนเมษายน ขณะที่การขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงของสหรัฐฯ จากร้อยละ 3 ต่อจีดีพีในปี 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12 ต่อจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณในเดือนกันยายน 2552 ถือเป็นปัจจัยกดดันต่อความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศยุโรปหดตัวชะลอลงในเดือนมิถุนายน แต่อัตราการว่างงานของกลุ่มยูโรพุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 9.5 ในเดือนพฤษภาคม สูงสุดในรอบ 10 ปี จากร้อยละ 9.3 ในเดือนเมษายน รวมมีผู้ว่างงานในกลุ่มยูโรราว 15 ล้านคน ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรปคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 11.5 ในปี 2553 เศรษฐกิจกลุ่มยูโรที่ยังคงอ่อนแรง ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1 ในวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ปัจจัยท้าทายสำคัญอีกด้านหนึ่งของกลุ่มยูโร ได้แก่ ภาคการเงินที่อ่อนแอ การขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นของหลายประเทศและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปได้สนับสนุนเงินกู้ยืมมูลค่า 442 พันล้านยูโร หรือ 619 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีระยะเวลา 1 ปี ให้กับธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มยูโรเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินในภาคการธนาคาร และเพื่อกระตุ้นการกู้ยืมในภาคเศรษฐกิจจริง ขณะที่อัตราการให้กู้ยืมของระบบธนาคารของกลุ่มยูโรในเดือนพฤษภาคมอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ท่าทีของประเทศกลุ่มยูโรที่ยังมีฐานะการเงินค่อนข้างดีกว่าในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับประเทศกลุ่มยูโรที่ประสบปัญหาด้านการเงิน ถือเป็นแนวทางที่ช่วยพยุงภาคการเงินของยุโรปไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจขยายวงกว้างออกไปจนมีระดับรุนแรงมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นปัจจัยกดดันที่ส่งผลให้การฟื้นตัวของกลุ่มยูโรอาจต้องใช้เวลานานออกไป

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคมขยายตัวดีขึ้นเนื่องจากความต้องการสินค้ายานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดต่างประเทศกระเตื้องขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรในเดือนพฤษภาคมลดลงเกินการคาดการณ์ โดยหดตัวร้อยละ 3.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปี ถือเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากอุตสาหกรรมนอกภาคการผลิตของญี่ปุ่นอ่อนแรงลง ประกอบกับกำไรที่ปรับลดลงของบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องปรับลดรายจ่ายด้านโรงงานและอุปกรณ์/เครื่องจักร ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มภาคการผลิตในระยะต่อไปที่ยังคงเปราะบาง ส่วนปัญหาการว่างงานที่ปรับสูงขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน ในเดือนพฤษภาคมเป็นร้อยละ 5.2 สูงสุดในรอบ 5 ปี ส่งผลให้ภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นลดการใช้จ่ายลง กดดันต่อยอดค้าปลีกให้อ่อนแรงลง

สำหรับความท้าทายสำคัญของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้นั้นนอกจากปัญหาการว่างงานของประเทศแกนนำหลักของโลกที่คาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงที่เหลือของปี 2552 สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ประเทศต่างๆ ยังมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นตามระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่มีทิศทางปรับสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ ในระยะต่อไป นอกจากนี้ ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่หากยังคงอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่คาดว่าคงจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นของการถือครองสินทรัพย์ที่มีค่า เช่น ทองคำ เพื่อสร้างความปลอดภัยด้านความมั่งคั่งในภาวะที่นักลงทุนต้องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าและเงินเฟ้อที่มีทิศทางปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทที่ใช้ในภาคการผลิตก็คาดว่าจะปรับสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็ก ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศโดยเฉพาะจีนที่เน้นการใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งปลูกสร้าง และระบบคมนาคมขนส่ง ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม แรงกดดันของเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นดังกล่าว นอกจากจะส่งผลต่อต้นทุนในภาคการผลิตแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคของประชาชนให้ฟื้นตัวได้ยากมากขึ้นจากในปัจจุบันที่ประสบความอ่อนแรงอยู่แล้วตามภาวะเศรษฐกิจซบเซา

สำหรับประเด็นอื่นๆ ที่คาดว่าจะมีการหารือกันในการประชุมผู้นำกลุ่มจี 8 ครั้งนี้ และน่าจะมีท่าทีที่ชัดเจนออกมาหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ได้แก่

? ปัญหาค้าโลกหดตัว ท่าทีของกลุ่มจี 8 เห็นควรให้การเจรจาการค้าโลกของ WTO รอบโดฮาได้ข้อสรุปภายในปี 2553 หลังจากเริ่มต้นการเจรจาตั้งแต่ปี 2544 เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนในการขยายตัวด้านการค้า แต่ปัจจุบันยังคงไม่ได้ข้อยุติในประเด็นด้านการลดภาษีและการลดการอุดหนุน

? การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป้าหมายของกลุ่มจี 8 ที่ต้องการให้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดียเห็นด้วยกับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2593
? ความมั่นคงด้านอาหาร การหารือข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วให้เงินช่วยเหลือ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลาหลายปี เพื่อพัฒนาภาคเกษตรของประเทศยากจนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอุปทานอาหาร

? เงินสกุลหลักของโลก จีนและรัสเซียพยายามผลักดันแนวคิดเกี่ยวกับเงินสำรองใหม่ของโลกในที่ประชุมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นทางเลือกหนึ่งแทนที่การใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีทิศทางอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกหารือก่อนหน้านี้ในที่ประชุมผู้นำกลุ่ม BRIC ที่ประกอบด้วยจีน รัสเซีย อินเดีย และบราซิล ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่ต้องการลดบทบาทเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ความเชื่อมโยงเศรษฐกิจส่วนต่างๆ ของโลกเข้าด้วยกันทั้งภาคเศรษฐกิจจริงที่ผ่านการทำการค้าในฐานะผู้บริโภคและการผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกันของภูมิภาคต่างๆ ความสัมพันธ์ในตลาดเงิน และตลาดทุน ทำให้การกลับมาฟื้นตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจโลกภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบนี้ คงต้องอาศัยการประสานนโยบายการเงินและการคลังของประเทศต่างๆ อย่างสอดคล้องกัน โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือกลุ่มจี 8 คาดว่าการประชุมผู้นำกลุ่มจี 8 ในครั้งนี้ คงให้น้ำหนักกับแนวทางและมาตรการที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมั่นคง รวมทั้งการบรรเทาปัญหาด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน และเสถียรภาพด้านราคา ได้แก่ การว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง การขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นของประเทศต่างๆ ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตามระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีทิศทางขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคการบริโภคในระยะต่อไป การออกจากการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ (exit strategy) ที่ได้มีการกล่าวถึงในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อในระยะข้างหน้านั้น คาดว่าประเทศต่างๆ จะทยอยดำเนินการถอยออกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 หลังจากที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ฟื้นตัวอย่างมั่นคงมากขึ้นแล้ว

ขณะเดียวกันท่าทีสนับสนุนการเจรจาการค้าโลกของ WTO รอบโดฮาของกลุ่มผู้นำจี 8 ในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีหากสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดว่าจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าได้มากขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อการค้าโลกที่ปัจจุบันอยู่ในภาวะหดตัวตามความอ่อนแรงของอุปสงค์ในตลาดโลกและยังต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ที่หลายประเทศนำมาใช้ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน โดยองค์การการค้าโลก (WTO) คาดการณ์ว่าการค้าโลกในปีนี้จะหดตัวร้อยละ 10 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกดดันให้เศรษฐกิจโลกต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทยซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยจนทำให้จีดีพีของไทยหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ที่ติดลบร้อยละ 4.2 (yoy) และอัตราหดตัวเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 7.1 ในไตรมาสแรกของปีนี้ (yoy) โดยสาเหตุหลักเนื่องจากภาคส่งออกที่เป็นตัวจักรขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับภาวะหดตัวต่อเนื่องและมีอัตราเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 26 ในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม (yoy) เทียบกับไตรมาสแรกที่ติดลบร้อยละ 20.5 (yoy) ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้การส่งออกของไทยหดตัวร้อยละ 22.9 (yoy) โดยการส่งออกของไทยไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 35 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ล้วนหดตัวในระดับสูงในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ โดยมีอัตราติดลบร้อยละ 28 ร้อยละ 32 และร้อยละ 29 ตามลำดับ คาดว่าเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง สะท้อนจากเศรษฐกิจกลุ่มประเทศแกนนำหลักอย่างกลุ่มจี 3 ที่มีสัญญาณปรับดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถฟื้นตัวในระยะอันใกล้นี้ จะส่งผลให้ภาคส่งออกของไทยยังเผชิญกับภาวะหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยอัตราหดตัวน่าจะค่อนข้างทรงตัวในไตรมาสที่ 3 และอาจหดตัวชะลอลงในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างการรอปรับสมดุลของเศรษฐกิจประเทศของแกนนำหลักของโลกในภาคการเงิน ภาคเศรษฐกิจจริง และภาคการบริโภค ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างมั่นคงมากขึ้นนั้น คาดว่าภาค ส่งออกไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจยังขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของทางการ ทำให้ยังมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งคาดว่าช่วยบรรเทาภาวะหดตัวของภาคส่งออกโดยรวมของไทยไปได้ระดับหนึ่ง โดยจีนถือเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ และเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย แรงขับเคลื่อนของความต้องการภายในจีนสะท้อนจากดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) ของจีนในเดือนมิถุนายนที่ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน รวมทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายตั้งแต่ปลายปี 2551 ส่งผลให้สินเชื่อในจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดว่าแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจีนจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยไปจีนมีแนวโน้มหดตัวชะลอลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จากที่ได้ชะลอลงติดต่อกันต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 27.6 ในไตรมาสแรก ชะลอลงเป็นร้อยละ 13 ในเดือนเมษายนและร้อยละ 10.9 ในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ คาดว่าการที่ภาค ส่งออกของไทยจะกลับมาเติบโตเป็นปกติได้อีกครั้งคงต้องรอการฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจประเทศกลุ่มจี 3 ที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยซึ่งจะเป็นแรงส่งขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆ ในโลกเติบโตได้ดีในระดับเดิมก่อนวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าการฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2553 หลังจากที่เริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงกลางปี 2553 เป็นต้นไป