ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสสองดีกว่าไตรมาสที่แล้ว เชื่อมั่นกลยุทธ์รับมือวิกฤตมาถูกทาง ยอดขายของสินค้ามูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products and Services – HVA) ทำได้ดีกว่าที่คาด ประกาศเดินหน้าด้วยกลยุทธ์เดิมอย่างรอบคอบ
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานในไตรมาสที่ 2 ปี 2552 ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทย่อย มียอดขายสุทธิ 56,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และกระดาษในตลาดโลกลดลง มีกำไรสุทธิ 6,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แต่ลดลงร้อยละ 5 จากปีก่อน ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 บริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทย่อย มียอดขายสุทธิ 112,091 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 จากปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์หลักที่ลดลง มีกำไรสุทธิ 12,025 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จาก ปีก่อน ตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
สินทรัพย์รวมของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 มีจำนวน 300,441 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2552 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี เคมิคอลส์ มียอดขายสุทธิในไตรมาสที่สอง 23,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสุทธิ 3,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมาร์จินดีขึ้น และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทร่วม โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปีมีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามราคาตลาดโลก เมื่อเทียบกับต้นปี 2551 และสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
เอสซีจี เปเปอร์ มียอดขายสุทธิในไตรมาสที่สอง 10,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการของธุรกิจอาหารและสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น มีกำไรสุทธิ 639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 167 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 38 จากปีก่อน เนื่องจากการหดตัวของตลาดและมาร์จินของผลิตภัณฑ์
เอสซีจี ซิเมนต์ มียอดขายสุทธิในไตรมาสที่สอง 11,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์และปริมาณการขายที่ลดลง มีกำไรสุทธิ 1,553 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 21 ตามสภาพตลาดและราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง ในช่วงครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่ลดลงจากโครงการ Waste-Heat Power Generation (WHG)
นายกานต์ กล่าวว่า “ในช่วงที่ผ่านมา กลยุทธ์การเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ High Value Added Products and Services (HVA) ประสบความสำเร็จดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยยอดขายของสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นร้อยละ 26 ของยอดขายรวม เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งมีอัตราส่วนทั้งปีเพียงร้อยละ 19 ของยอดขายรวม สินค้า HVA ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน SCG eco value หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่เราเพิ่งแนะนำสู่ตลาดไปในช่วงต้นปี โดยกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราส่วนยอดขายสินค้า HVA สูงสุด คือ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ สมาร์ทวูด ตามมาด้วยเอสซีจี เปเปอร์ เช่น กระดาษไอเดียกรีน เอสซีจี เคมิคอลส์ เช่น PE 100, Active Flow เอสซีจี ซิเมนต์ เช่น ปูนเสือมอร์ต้าร์ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น เช่น เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ และ Green Logistics” เป็นต้น
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรกของปี 2552 ในอัตรา 3.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 13 สิงหาคม 2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2552
อนึ่ง คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2552 (SCC13OA) จำนวนไม่เกิน10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นกู้ SCC09OA ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทฯ ชุดอื่นๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC09OA ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ เมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว บริษัทฯ จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 110,000 ล้านบาท