เงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมติดลบสูงกว่าที่คาด … แต่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว

จากการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงติดลบสูงขึ้น ซึ่งทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แม้ระดับอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวน่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดแล้ว แต่เงินเฟ้อจะยังคงมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องต่อไปตลอดช่วงไตรมาสที่ 3/2552 อย่างไรก็ดี คาดว่าอัตราลบจะชะลอลงค่อนข้างชัดเจนนับจากเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2552 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2552 ลดลงร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) ยังคงติดลบสูงขึ้นจากร้อยละ 4.0 ในเดือนมิถุนายน และลดลงมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นอัตราลบต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า (Month-on-Month) โดยราคาน้ำมันในเดือนนี้ค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนมิถุนายน ขณะที่สินค้าอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ มีราคาลดลงจากเดือนก่อน ส่วนสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เช่น เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ไข่และนม เป็นต้น

ในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกรกฎาคมลดลงร้อยละ 1.2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นอัตราลบที่สูงขึ้นจากร้อยละ 1.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ภายนอกกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 0.0-3.5 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นอัตราลบที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างน้อยในรอบ 18 ปี (นับตั้งแต่มีข้อมูลรายเดือนที่รวบรวมไว้) สำหรับภาพรวมในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 1.9 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนล่าสุดที่ลดลงกว่าที่คาดนี้ ประกอบกับเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยต่อไปอีก ภายใต้ 5 มาตรการ 5 เดือน ซึ่งจะไปสิ้นสุด ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมน่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดแล้ว โดยเงินเฟ้อมีแนวโน้มติดลบในอัตราที่ชะลอลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป แต่การที่ราคาสินค้ายังคงมีระดับต่ำนี้ จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในแดนลบต่อไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 3/2552 (ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า) และกว่าที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกได้นั้น อาจต้องล่าช้าออกไปเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ทั้งนี้ สาเหตุที่คาดว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะหดตัวชะลอลงนั้น ก็เนื่องมาจากผลของฐานเปรียบเทียบ (Base Effect) ในปีก่อนหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ ฐานเปรียบเทียบที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กดดันอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ให้ลงมาเป็นตัวเลขติดลบ แต่ผลดังกล่าวจะเริ่มคลายแรงกดดันลง เนื่องจากในปี 2551 หลังจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคม 2551 แล้ว สัญญาณปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้น และเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศเริ่มหดตัว จึงได้ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สำหรับในปีนี้ คาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์นับจากนี้ไปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่จะส่งผลให้อุปสงค์ที่มีต่อการใช้น้ำมัน รวมทั้งสินค้าวัตถุดิบต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม และยางพารา เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ระดับราคาสินค้าผู้บริโภคโดยเฉลี่ยแล้ว ค่อยๆ ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในที่สุด แม้สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแออาจกดดันให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปไม่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นไปได้รวดเร็วนักก็ตาม จากทิศทางดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3/2552 โดยเฉลี่ยแล้วน่าจะติดลบในอัตราที่ชะลอลงมาที่ร้อยละ 2.1-2.3 (YoY) จากที่ลดลงร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 2/2552

สำหรับภาพรวมตลอดทั้งปี 2552 สืบเนื่องจากที่มองว่าสภาวะเงินเฟ้อติดลบจะคงอยู่ยาวนานเป็นระยะเวลาถึง 3 ไตรมาสของปีนี้ จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะมีค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีเป็นตัวเลขติดลบ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดกรอบประมาณการแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 ลงมาอยู่ในช่วงลดลงร้อยละ 0.4-0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากกรอบคาดการณ์เดิมอยู่ในช่วงลดลงร้อยละ 0.5 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 โดยสาเหตุสำคัญที่มีผลทำให้เงินเฟ้อติดลบในปี 2552 มาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในปีก่อน โครงการ 5 มาตรการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อย นโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงถดถอย ทั้งนี้ ในปี 2551 ที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0-0.5 จากเดิมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4-0.9 ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากร้อยละ 2.4 ในปี 2551

โดยสรุป จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมากกว่าที่คาด ประกอบกับการขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชนออกไป ภายใต้ 5 มาตรการ 5 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2552 ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงติดลบต่อเนื่องต่อไปตลอดทั้งไตรมาสที่ 3/2552 แต่จะมีอัตราลบที่ชะลอลง และกว่าที่เงินเฟ้อจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกอาจต้องรอคอยไปจนถึงเดือนตุลาคม 2552 โดยแนวโน้มเงินเฟ้อที่จะค่อยๆ ติดลบในอัตราที่น้อยลง เป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบ (Base Effect) ในปีก่อน ที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอความร้อนแรงลงตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกในระยะต่อจากนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าผู้บริโภคโดยเฉลี่ยค่อยๆ ขยับสูงขึ้นในที่สุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3/2552 จะติดลบในอัตราที่ชะลอลงมาที่ร้อยละ 2.1-2.3 (YoY) จากที่ลดลงร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 2/2552 และภายใต้สภาวะเงินเฟ้อที่ติดลบยาวนานตลอด 3 ไตรมาสของปี ทำให้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะมีค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีเป็นตัวเลขติดลบ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดกรอบประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 ลงมาอยู่ในช่วงลดลงร้อยละ 0.4-0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากเดิมคาดการณ์ไว้ในช่วงลดลงร้อยละ 0.5 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลงเป็นขยายตัวร้อยละ 0.0-0.5 จากกรอบคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 0.4-0.9

สำหรับนัยต่อการดำเนินนโยบายของทางการนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางเงินเฟ้อดังกล่าวคงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลอดช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ โดยแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบสูง และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานหลุดออกไปจากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธปท. แต่ทางการมองว่าเงินเฟ้อที่ติดลบนี้ส่วนสำคัญเป็นผลจากมาตรการรัฐในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และไม่ใช่สัญญาณที่สะท้อนภาวะเงินฝืด ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าจะค่อยๆ กลับมาสูงขึ้น ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกนั้นจึงมีค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีระดับต่ำนี้ น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ธปท. ยังไม่พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปีนี้ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปี 2553 อาจเพิ่มความซับซ้อนให้แก่การดำเนินนโยบายการเงินของธปท. ในการที่จะรักษาเป้าหมายหลายด้านไปพร้อมกัน ทั้งเป้าหมายในด้านเสถียรภาพราคา เป้าหมายอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้กระทบต่อภาคการส่งออก