ประเทศอาเซียนได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ภาคการบริโภคและลงทุนของอาเซียนประสบภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาภาคส่งออกในระดับสูงอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ที่ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกหดตัวร้อยละ 10.1 ร้อยละ 6.2 และร้อยละ 7.1 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่พึ่งพาการส่งออกน้อยกว่า ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกยังคงเติบโตได้ แม้อัตราเติบโตชะลอเหลือร้อยละ 4.4 และร้อยละ 0.4 ตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาภาค ส่งออกค่อนข้างสูงเช่นกัน แต่เศรษฐกิจยังขยายตัวเป็นบวก โดยเติบโตร้อยละ 3.1 และร้อยละ 4.4 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลำดับ เนื่องจากข้อได้เปรียบของเวียดนามด้านต้นทุนค่าแรงงานต่ำ ทำให้สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนามที่ใช้แรงงานมากอย่างเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้า มีศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้สินค้าส่งออกหลักหลายรายการของเวียดนามเป็นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ทำให้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
เศรษฐกิจอาเซียนที่ซบเซาลงส่งผลให้ตลาดอาเซียนที่ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย สัดส่วนราวร้อยละ 20.5 ของการส่งออกทั้งหมดของไทยต้องประสบภาวะหดตัวร้อยละ 32.3 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จากช่วงเดียวกันของปี 2551 (yoy) อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจอาเซียนปรับตัวดีขึ้นและส่งผลให้การส่งออกของไทยไปอาเซียนปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
การส่งออกของไทยไปประเทศอาเซียนที่มีมูลค่าสูงสุดใน 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ของการส่งออกทั้งหมดไปอาเซียน ต้องเผชิญภาวะหดตัวในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยการส่งออกของไทยไปสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีอัตราหดตัวเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ขณะที่การส่งออกไปอินโดนีเซียและเวียดนามที่เศรษฐกิจยังเติบโตเป็นบวก ปรับตัวดีขึ้นโดยอัตราหดตัวชะลอลงในไตรมาสที่ 2 ส่วนการส่งออกของไทยไปยังประเทศอาเซียนที่เหลือ ได้แก่ ลาว กัมพูชา และบรูไน ประสบภาวะหดตัวเช่นกันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยกเว้นพม่าที่ยังขยายตัวได้ เนื่องจากสินค้าส่งออกสำคัญๆ ของไทยไปพม่ายังคงเพิ่มขึ้น สาเหตุสำคัญเนื่องจากพม่ามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนค่อนข้างน้อยโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ทำให้ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกค่อนข้างจำกัด
สัญญาณเชิงบวกของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ 4 อันดันแรกของอาเซียน ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการประเทศต่างๆ ทั้งการอัดฉีดเงินงบประมาณใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆ มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน โดยการส่งออกของอาเซียนไปยัง 4 ตลาดข้างต้น คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 46 ของการส่งออกทั้งหมดของอาเซียน การส่งออกไปสหภาพยุโรปมีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 12.8 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (สัดส่วนร้อยละ 11.9) สหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 11.5) และ จีน (สัดส่วนร้อยละ 9.7) ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกภายในของอาเซียนกันเองมีสัดส่วนร้อยละ 27.6 ของการส่งออกทั้งหมดของอาเซียน แนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดส่งออกหลัก 4 ตลาดที่คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะช่วยขับเคลื่อนภาคส่งออกของอาเซียนและกระตุ้นให้เศรษฐกิจอาเซียนปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศอาเซียนที่พึ่งพาภาคส่งออกค่อนข้างสูง ทั้งนี้ สัญญาณของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลดลงเหลือร้อยละ 1.0 (annual rate) เทียบกับไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ 5.5 บ่งชี้ชัดเจนขึ้นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ก้าวผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ เริ่มทรงตัว ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมปรับตัวดีขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 โดยปรับลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป มีการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยอัตราหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของกลุ่มยูโรในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน สะท้อนถึงภาคการผลิตที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่น การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเดือนมิถุนายนปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 โดยขยายตัวร้อยละ 2.4 จากเดือนพฤษภาคม การผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเนื่องจากจีนมีความต้องการนำเข้ารถยนต์ อุปกรณ์ก่อสร้างและเหล็กจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นตามแรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน อีกส่วนหนึ่งเนื่องจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการญี่ปุ่นที่ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจจีนขยายตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ในไตรมาสแรก จากที่เติบโตร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และการให้ความช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจหลายสาขา ทำให้ภาคการบริโภคและการลงทุนในจีนขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าความต้องการนำเข้าสินค้าของจีนจากประเทศในเอเชียและอาเซียนเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้การส่งออกของประเทศอาเซียนกระเตื้องขึ้นจากการที่ความต้องการของตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ต้องประสบภาวะซบเซาอย่างหนักในช่วงไตรมาสแรกตามภาวะเศรษฐกิจหดตัว
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงและรายจ่ายของภาคครัวเรือนที่ปรับลดลง อาจส่งผลให้ภาคการบริโภคในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงอ่อนแรง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แสดงถึงความกังวลของผู้บริโภคสหรัฐฯ ต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ยอดค้าปลีกของกลุ่มยูโรในเดือนกรกฎาคมและของญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนที่ยังคงลดลง การบริโภคที่อ่อนแรงของสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลให้การส่งออกของอาเซียนไปยังตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น อาจยังไม่สามารถกลับมาขยายตัวได้อย่างปกติ แต่ก็คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากที่ติดลบรุนแรงในช่วงครี่งแรกของปี เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินอัดฉีดของทางการประเทศต่างๆ ที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับแรงกระตุ้นสามารถปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่คาดว่าการส่งออกของอาเซียนไปจีนจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศของทางการจีน ด้วยการอัดฉีดเงินงบประมาณ 586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยมีระยะเวลา 2 ปี ที่ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าทุนของประเทศอาเซียนปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าอาเซียนอาจต้องเผชิญปัจจัยลบจากนโยบายที่จีนประกาศในวันที่ 1 มิถุนายน ให้ใช้สินค้าภายในประเทศ (Buy Chinese) สำหรับโครงการตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน แต่คาดว่ากฎระเบียบนี้อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของอาเซียนไปจีนไม่มากนัก เนื่องจากกฎระเบียบดังกล่าวเป็นการจัดซื้อของภาครัฐ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนยังคงมีความต้องการนำเข้าสินค้าจากอาเซียนประเภทวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลางและสินค้าทุนที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน จึงคาดว่ามาตรการ “Buy Chinese” ข้างต้นไม่น่าส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของอาเซียนไปจีนมากนัก
ภาคส่งออกของประเทศอาเซียนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่กระเตื้องขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการประเทศอาเซียน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลขับเคลื่อนภาคการบริโภคและการลงทุนของอาเซียน ทำให้เศรษฐกิจประเทศอาเซียนปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนการส่งออกไทยไปอาเซียนให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างสูงอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญ 2 อันดับแรกของไทยในอาเซียน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจกลุ่มแกนนำหลักของโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนได้เริ่มส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 โดยเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 20.4 (annual rate) จากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งหดตัวร้อยละ 12.7 ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจสิงคโปร์ที่เริ่มก้าวพ้นจากภาวะถดถอย ดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิตของสิงคโปร์เดือนมิถุนายนขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ยอดคำสั่งซื้อส่งออกและการผลิตเร่งขึ้นในเดือนมิถุนายน รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเวชภัณฑ์ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนมิถุนายนหดตัวร้อยละ 21.5 ซึ่งถือเป็นอัตราหดตัวน้อยที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ขณะที่การส่งออกสินค้าเวชภัณฑ์ขยายตัวร้อยละ 1.1 ส่วนภาคบริการของสิงคโปร์ก็เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจมาเลเซียไตรมาสที่ 1 หดตัวร้อยละ 6.2 จากช่วงเดียวกันปี 2551 โดยการส่งออกของมาเลเซียลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 เนื่องจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของมาเลเซียต้องทรุดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กระเตื้องขึ้น ประกอบกับการดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินของทางการมาเลเซียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 1.5 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 และงบใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงสร้างพื้นฐาน การประกันสินเชื่อ และมาตรการช่วยเหลือด้านอื่นๆ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้กระเตื้องขึ้น
เวียดนามเป็นอีกประเทศที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างสูงใกล้เคียงกับไทย สัดส่วนราวร้อยละ 70 ของจีดีพี แต่ถือว่าเวียดนามมีความได้เปรียบด้านการผลิตสินค้าด้วยต้นทุนค่าแรงงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน อีกทั้งสินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนามหลายรายการเป็นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทำให้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้การส่งออกของเวียดนามในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีอัตราติดลบไม่สูงนัก โดยหดตัวเป็นเลขหลักเดียวที่ร้อยละ 6 และเศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาส 2 ขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 4.4 (yoy) เทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 (yoy) เนื่องจากการขยายตัวสูงขึ้นของภาคเศรษฐกิจสำคัญๆ โดยเฉพาะภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ที่ขยายตัวร้อยละ 2.2 และร้อยละ 4.4 ตามลำดับ โดยได้อานิสงส์จากนโยบายภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา ด้วยงบประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ฟิลิปปินส์พึ่งพาภาคส่งออกไม่มากนัก สัดส่วนราวร้อยละ 43 ของจีดีพี แต่ฟิลิปปินส์พึ่งพาการส่งกลับรายได้ของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นสำคัญ เศรษฐกิจโลกซบเซาได้ส่งผลให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขยายตัวชะลอเหลือร้อยละ 0.4 ในไตรมาสแรก เป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากการชะลอตัวของการบริโภค การลงทุน และภาคส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของฟิลิปปินส์ ทำให้ทางการฟิลิปปินส์ทุ่มงบประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นการบริโภค การปรับลดภาษีและการลงทุนในโครงการต่างๆ คาดว่าเศรษฐกิจโลกที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแกนนำหลัก น่าจะส่งผลดีต่อฟิลิปปินส์ เนื่องจากแรงงานฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างแดนจำนวนราว 9 ล้านคน มีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์จากการส่งเงินกลับเข้าประเทศของแรงงานในต่างประเทศเหล่านี้ โดยในปี 2551 การส่งเงินกลับเข้าประเทศของแรงงานฟิลิปปินส์มีมูลค่า 16.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้บ้าง ขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ปรับตัวดีขึ้น น่าจะช่วยให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของฟิลิปปินส์กระเตื้องขึ้นตามไปด้วย
ส่วนเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่พึ่งพาการส่งออกไม่มากนัก สัดส่วนราวร้อยละ 29 ของจีดีพี และมีตลาดภายในที่ยังเติบโตได้ค่อนข้างดี อินโดนีเซียซึ่งถือเป็นประเทศในอาเซียนที่เติบโตในอัตราสูงที่สุดในไตรมาสแรก โดยมีอัตราขยายตัวร้อยละ 4.4 (yoy) แม้ว่าผลกระทบจากภาคส่งออกชะลอตัวทำให้อัตราเติบโตของเศรษฐกิจอินโดนีเซียชะลอลง แต่เนื่องจากการใช้จ่ายบริโภคของอินโดนีเซียที่คิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของจีดีพี ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังสามารถขยายตัวเป็นบวก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจประเทศอาเซียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยกระเตื้องขึ้นตามไปด้วย โดยสินค้าส่งออกของไทยไปอาเซียนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ โดยคาดการณ์ว่า การส่งออกของไทยไปอาเซียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจหดตัวชะลอลงเหลือระหว่างร้อยละ 5-10 เทียบกับครึ่งแรกของปีที่ติดลบร้อยละ 32 โดยอาจสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2551 ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าของไทยไปอาเซียนหลายรายการได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ตามอุตสาหกรรมของโลกที่กระเตื้องขึ้น ที่เห็นได้ชัด ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกที่กระเตื้องขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปอาเซียนในไตรมาสที่ 2 หดตัวชะลอเหลือร้อยละ 22.2 (yoy) เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 29 ในไตรมาสแรก (yoy) โดยตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นซึ่งส่วนสำคัญมาจากความต้องการจากจีนที่ได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของทางการจีนซึ่งช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของอาเซียนปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้การผลิตสินค้ายานยนต์ในประเทศอาเซียนต่างๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกันได้รับผลดีตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในจีน โดยการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยางของไทยไปอาเซียนในไตรมาสที่ 2 หดตัวชะลอลง เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก การส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปอาเซียนหดตัวชะลอเหลือร้อยละ 37.9 เทียบกับไตรมาสแรกที่ติดลบร้อยละ 40.3 โดยตลาดส่งออกหลักในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางหดตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 11.5 จากหดตัวร้อยละ 13.4 ในไตรมาสแรก ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย สินค้าส่งออกของไทยไปอาเซียนอื่นๆ ที่หดตัวชะลอลงในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เช่น แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เม็ดพลาสติก น้ำตาลทราย เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ
สรุป ประเทศอาเซียนต้องประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ตามภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกในระดับสูงต้องเผชิญกับเศรษฐกิจหดตัว ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย โดยทำให้เศรษฐกิจหดตัวในไตรมาสแรกในอัตราร้อยละ 10.1 ร้อยละ 6.2 และร้อยละ 7.1 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่พึ่งพาการส่งออกน้อยกว่า ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกยังคงเติบโตได้ในอัตราร้อยละ 4.4 และร้อยละ 0.4 ตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวได้เช่นกัน แต่อัตราเติบโตชะลอเหลือร้อยละ 3.1 และร้อยละ 4.4 ในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ เศรษฐกิจอาเซียนที่ซบเซาลงส่งผลให้ตลาดอาเซียนที่ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย (สัดส่วนราวร้อยละ 20.5) ต้องประสบภาวะหดตัวร้อยละ 32.3 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จากช่วงเดียวกันของปี 2551 อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปอาเซียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจหดตัวชะลอลงเหลือระหว่างร้อยละ 5-10 เทียบกับครึ่งแรกของปีที่ติดลบร้อยละ 32 โดยอาจสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2551
สัญญาณการเชิงบวกของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ 4 อันดับแรกของอาเซียน ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการประเทศต่างๆ ทั้งการอัดฉีดเงินงบประมาณใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 คาดว่าจะช่วยให้การส่งออกของอาเซียนไปยัง 4 ตลาดนี้ปรับตัวดีขึ้น แต่ปัญหาการว่างงานของสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่ยังอยู่ในระดับสูงและรายจ่ายของภาคครัวเรือนที่ปรับลดลง ทำให้คาดว่าภาคการบริโภคของทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นยังคงอ่อนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้ว่าจะเริ่มทรงตัวดีขึ้นแล้ว ส่งผลให้การส่งออกของอาเซียนไปยังตลาดเหล่านี้อาจยังไม่สามารถกลับมาขยายตัวได้อย่างปกติ แต่ก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากที่ทรุดตัวรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากเม็ดเงินอัดฉีดของทางการประเทศต่างๆ ที่ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมสามารถเติบโตได้ระดับหนึ่ง ขณะที่คาดว่าการส่งออกของอาเซียนไปจีนยังคงจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศของทางการจีน ที่จะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าทุนของจีนจากประเทศอาเซียนกระเตื้องขึ้น
การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจประเทศอาเซียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตามแรงขับเคลื่อนของภาค ส่งออก คาดว่าจะทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยกระเตื้องขึ้นตามไปด้วย ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจอาเซียนได้มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นบ้างแล้ว นำโดยเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวเป็นบวกจากไตรมาสแรก ส่วนเศรษฐกิจอินโดนีเซียและเวียดนามที่ขยายตัวเป็นบวกในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่การส่งออกสินค้าสำคัญๆ หลายรายการของไทยไปอาเซียนในไตรมาสที่ 2 ได้ปรากฏสัญญาณปรับดีขึ้นบ้างแล้ว คาดว่าสินค้าส่งออกของไทยไปอาเซียนเหล่านี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ที่สำคัญ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ Ð


