เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มฟื้น…ผลดีต่อการค้าและการลงทุนของไทย

ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้ผ่านพ้นช่วงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจมาแล้ว โดยสถิติจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จีดีพีในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ของญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 3.7 จากช่วงเดียวกันของปี 2551 เมื่อเทียบรายปี (q-o-q annualized) และเติบโตร้อยละ 0.9 จากไตรมาสก่อนหน้า (q-o-q) นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ซึ่งกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 4.6 ล้านล้านเยน ยังคงลดลงกว่าร้อยละ 35 (y-o-y) แต่อัตราหดตัวชะลอลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 4.1 ล้านล้านเยน อัตราหดตัวชะลอลงเช่นเดียวกันเหลือร้อยละ 41 (y-o-y) ส่งผลให้ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนเป็นมูลค่ากว่า 500,000 ล้านเยน ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 81 จุด เทียบกับในเดือนพฤษภาคมในระดับ 79.1 จุด เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าภาคการผลิตของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคครัวเรือนล่าสุดในเดือนกรกฎาคมทะลุ 39 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 1.8 จุด

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมูลค่า 25 ล้านล้านเยน (2.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศอาทิ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม มาตรการช่วยเหลือภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการลดภาษี แต่ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 เดือน (ม.ค-มิ.ย.) โดยอัตราการว่างงานในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 5.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ในเดือนพฤษภาคม ถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 7 ปี และอัตราค่าแรงงานคาดว่าจะทรุดตัวอย่างรุนแรงกว่าร้อยละ 7.1 ในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 2.5 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่นำไปสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 1.8 เป็นสถิติต่ำสุดในประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนียอดค้าปลีกในเดือนเดียวกันลดลงร้อยละ 0.3 สะท้อนถึงกำลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัวเนื่องจากอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสูงทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.1 เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศให้ฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งนี้ รายงานจาก Focus Economics Consensus ในเดือนสิงหาคม คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 2552 มีแนวโน้มหดตัวร้อยละ 6.4 และคาดว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ในปี 2553

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ภาวะการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) รวมถึงทิศทางการค้าและการลงทุนของไทย-ญี่ปุ่นในช่วงที่เหลือของปีนี้ดังนี้

o ภาวะการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในช่วง ม.ค.-ก.ค. 2552
ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่มีบทบาทสำคัญของไทย โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐ ฯ และเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าของไทยอันดับ 1 โดยในปี 2551 การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นมีมูลค่าทั้งสิ้น 53,628 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เติบโตร้อยละ 15.33 จากปี 2550 แต่ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกกดดันให้การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นชะลอลงในปี 2552 โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2552 (ม.ค.-ก.ค. 2552) มูลค่าการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นรวม 20,744 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ลดลงกว่าร้อยละ 34 (y-o-y) มีมูลค่าการส่งออกราว 8,471 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หดตัวร้อยละ 28.09 (y-o-y) และมีมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งสิ้น 12,273 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ลดลงเกือบร้อยละ 38 (y-o-y) โดยไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นลดลงเหลือ 3,802 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ลดลงเกือบร้อยละ 52 (y-o-y)

หากพิจารณาการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเป็นรายเดือนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2552 เทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า อัตราการขยายตัวของการส่งออกและนำเข้าหดตัวลงในช่วงสองเดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปีนี้ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาในแดนบวกในเดือนมีนาคม โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 5.54 (m-o-m) ส่วนการนำเข้าสินค้าของไทยจากญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 5.67 (m-o-m) อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าไทยไปยังญี่ปุ่นอ่อนแรงลงในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม โดยลดลงร้อยละ 1.63 (m-o-m) และร้อยละ 0.37 (m-o-m) ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวของการนำเข้าในเดือนเมษายนชะลอตัวเหลือร้อยละ 1.97 (m-o-m) และในพฤษภาคมทรุดตัวร้อยละ 11.94 (m-o-m) อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกและการนำเข้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนมิถุนายน ซึ่งน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนจากทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและไทยที่กระตุ้นภาคการบริโภค ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นขยายตัวเกือบร้อยละ 12 (m-o-m) ส่วนการนำเข้าขยายตัวกว่าร้อยละ 32 (m-o-m) ส่วนตัวเลขในเดือนกรกฎาคมการส่งออกขยายตัวร้อยละ 4.91 (m-o-m) และนำเข้าขยายตัวร้อยละ 12.89 (m-o-m)

การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. ของปีนี้ สินค้าส่งออกสำคัญส่วนใหญ่หดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมของไทยไปญี่ปุ่นที่หดตัวตามอุปสงค์ในต่างประเทศที่ซบเซาได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวสูงถึงร้อยละ 48.63 (y-o-y) สินค้าแผงวงจรไฟฟ้า หดตัวเกือบร้อยละ 33 (y-o-y) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวเกือบร้อยละ 21 (y-o-y) ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์พลาสติก หดตัวร้อยละ 8.42 (y-o-y) และร้อยละ 20.83 (y-o-y) ตามลำดับ ส่วนสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่หดตัวได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 2.46 (y-o-y) และยางพารา หดตัวร้อยละ 61.72 (y-o-y) อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียงการส่งออกสินค้าไก่แปรรูปที่ยังคงขยายตัวร้อยละ 21.14 (y-o-y) แต่อัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่เติบโตถึงร้อยละ 75.11 แม้สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ไปญี่ปุ่นในช่วง 7 เดือนแรกจะหดตัว แต่หากพิจารณาการส่งออกเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่าปรับตัวดีขึ้นหลายรายการเช่น แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ รวมถึงเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ส่วนการนำเข้าหลักของไทยจากญี่ปุ่นในช่วง 7 เดือนแรก หดตัวทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยสินค้านำเข้าที่หดตัวลงได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ หดตัวเกือบร้อยละ 32 เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 53.68 (y-o-y) ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ หดตัวกว่าร้อยละ 40 เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ หดตัวเกือบร้อยละ 36 เคมีภัณฑ์ ลดลงเกือบร้อยละ 47 แผงวงจรไฟฟ้า หดตัวร้อยละ 26.57 และสินแร่โลหะ อื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 47.03

สำหรับทิศทางการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในช่วงในช่วงที่เหลือของปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นน่าจะกระเตื้องขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากการส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยขยายตัวเกือบร้อยละ 5 ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (m-o-m) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลาง นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความตกลง FTA อาเซียน-ญี่ปุ่นในการเปิดเสรีการค้าสินค้าซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 น่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ดีขึ้นในตลาดญี่ปุ่น และขณะเดียวกันญี่ปุ่นจะได้รับประโยชน์จากการที่ต้องลดภาษีนำเข้าให้อาเซียนทำให้ต้นทุนนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/ขั้นกลางลดลง โดยญี่ปุ่นต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าจากอาเซียน ซึ่งสินค้าร้อยละ 96.7 ของมูลค่านำเข้าจากอาเซียนจะถูกนำมาลด/ยกเลิกภาษีนำเข้า โดยร้อยละ 90 ของมูลค่าสินค้านำเข้าจะลดเป็น 0 ทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ โดยสินค้าส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นได้แก่ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปโดยเฉพาะไก่แปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปซึ่งบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งนำเข้าสินค้าจากไทย รวมถึงการเข้ามาจัดตั้งฐานการผลิตในไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อป้อนกลับสู่ตลาดญี่ปุ่นหลังจากที่ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารในประเทศจีน ส่วนสินค้าส่งออกของไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้ายานยนต์และส่วนประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามอุปสงค์ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาสนใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

o ภาคการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. 2552
ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. 2552 มีจำนวนโครงการการลงทุนของญี่ปุ่นที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย 130 โครงการ ลดลงร้อยละ 30.8 (y-o-y) และมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 30.2 พันล้านบาท ลดลงกว่าร้อยละ 20 (y-o-y) เทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่มีมูลค่า 37.8 พันล้านบาท จำนวนและมูลค่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยจะลดลงเนื่องจากญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นทรุดตัวอย่างหนักในปีที่ผ่านมา ประกอบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินตึงตัวส่งผลให้นักลงทุนญี่ปุ่นชะลอการลงทุน ทั้งนี้ มูลค่าโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นในประเทศไทยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 25 ของโครงการลงทุนของต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยโครงการที่เข้ามาลงทุนของญี่ปุ่นในไทยเป็นการเข้ามาลงทุนเพื่อการส่งออกกว่าร้อยละ 27 ของจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยทั้งหมด ส่วนสาขาลงทุนที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยส่วนใหญ่ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและเครื่องจักร อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และกระดาษ และอุตสาหกรรมภาคบริการ

ส่วนทิศทางการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย คาดว่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากญี่ปุ่นได้ผ่านพ้นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจไปแล้ว และเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยสาขาการลงทุนที่คาดว่านักลงทุนญี่ปุ่นน่าจะเข้ามาขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในไทยได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานตามแนวโน้มการเติบโตของอุปสงค์ในตลาดและนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและไทย นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนสินค้ากลับสู่ญี่ปุ่น ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงทวิภาคีไทย-ญี่ปุ่น JTEPA และความตกลง FTA อาเซียน-ญี่ปุ่นในด้านลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยกลับเข้าไปในญี่ปุ่น รวมถึงการลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมภาคบริการในประเทศไทยซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นโดยเฉพาะการลงทุนธุรกิจการขนส่ง ค้าปลีก การก่อสร้างและการเงินประกันภัย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอนและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุนญี่ปุ่นให้ชะลอการลงทุนในไทยได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตสินค้าให้เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับชาติอาเซียนอื่นๆ ทำให้สินค้าส่งออกที่ผลิตในไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางการเมืองของญี่ปุ่นที่ภาคธุรกิจไทยควรจับตามองคือกำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ในวันที่ 30 สิงหาคม 2552 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 2548 หลังจากที่นายกรัฐมนตรีทาโร อาโสะ ได้ประกาศยุบสภาฯ ไปเมื่อวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยผลการเลือกตั้งจากเสียงสนับสนุนของประชาชนญี่ปุ่นในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องชี้วัดระหว่างพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งครองอำนาจในการบริหารประเทศเป็นระยะยาวนานกว่า 50 ปี และพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของประเทศว่าพรรคไหนจะได้รับความเชื่อถือจากประชาชนให้ขึ้นมาบริหารประเทศในวาระต่อไปเพื่อเข้ามาพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของญี่ปุ่นให้มีความยั่งยืน ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองและผู้นำประเทศของญี่ปุ่นที่จะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศคนต่อไปอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งในด้านการค้าและการลงทุนในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าและประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับที่ 1

สรุป ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้ผ่านพ้นช่วงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจมาแล้ว โดยสถิติจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จีดีพีในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ของญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 3.7 จากช่วงเดียวกันของปี 2551 เมื่อเทียบรายปี (q-o-q annualized) และเติบโตร้อยละ 0.9 จากไตรมาสก่อนหน้า (q-o-q) ซึ่งกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านเยน ยังคงลดลงกว่าร้อยละ 35 (y-o-y) แต่อัตราหดตัวชะลอลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 4.1 ล้านล้านเยน อัตราหดตัวชะลอลงเช่นเดียวกันเหลือร้อยละ 41 (y-o-y) ส่งผลให้ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 81 จุด เทียบกับในเดือนพฤษภาคมในระดับ 79.1 จุด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคครัวเรือนล่าสุดในเดือนกรกฎาคมทะลุ 39 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 1.8 จุด แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทุ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 25 ล้านล้านเยน (2.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 เดือน (ม.ค-มิ.ย.) นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่นำไปสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 1.8 ขณะที่ดัชนียอดค้าปลีกในเดือนเดียวกันลดลงร้อยละ 0.3 สะท้อนถึงกำลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัวเนื่องจากอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสูงทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.1 เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศให้ฟื้นตัวดีขึ้น โดยรายงานจาก Focus Economics Consensus ในเดือนสิงหาคมคาดการณ์ว่า ในปี 2552 ญี่ปุ่นน่ามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 6.4 และคาดว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ในปี 2553 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ภาวะการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) รวมถึงทิศทางการค้าและการลงทุนของไทย-ญี่ปุ่นในช่วงที่เหลือของปีนี้ดังนี้

ด้านการค้า ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกกดดันให้การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นชะลอลงในปี 2552 โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2552 (ม.ค.-ก.ค. 2552) มูลค่าการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นรวม 20,744 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ลดลงกว่าร้อยละ 34 (y-o-y) มูลค่าการส่งออกราว 8,471 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หดตัวร้อยละ 28.09 (y-o-y) และมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งสิ้น 12,273 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ลดลงเกือบร้อยละ 38 (y-o-y) ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่นที่หดตัวได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และยางพารา อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียงการส่งออกสินค้าไก่แปรรูปที่ยังคงขยายตัว ส่วนการนำเข้าหลักของไทยจากญี่ปุ่นหดตัวทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นน่าจะกระเตื้องขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากการส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยขยายตัวเกือบร้อยละ 5 ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (m-o-m) อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากความตกลง FTA อาเซียน-ญี่ปุ่นในการเปิดเสรีการค้าสินค้า โดยสินค้าส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นได้แก่ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปโดยเฉพาะไก่แปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนสินค้าส่งออกของไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้ายานยนต์และส่วนประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านการลงทุน จำนวนและมูลค่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยลดลงในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เนื่องจากญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นทรุดตัวอย่างหนักในปีที่ผ่านมา โดยจำนวนโครงการการลงทุนของญี่ปุ่นที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย 130 โครงการ ลดลงร้อยละ 30.8 (y-o-y) และมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 30.2 พันล้านบาท ลดลงกว่าร้อยละ 20 (y-o-y) เทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2551 มูลค่า 37.8 พันล้านบาท สาขาลงทุนที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยส่วนใหญ่ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและเครื่องจักร อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และกระดาษ และอุตสาหกรรมภาคบริการ

สำหรับแนวโน้มการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย คาดว่าคาดว่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากญี่ปุ่นได้ผ่านพ้นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจไปแล้ว และเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยสาขาการลงทุนที่คาดว่านักลงทุนญี่ปุ่นน่าจะเข้ามาขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในไทยได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานตามแนวโน้มการเติบโตของอุปสงค์ในตลาดและนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและไทย นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนสินค้ากลับสู่ญี่ปุ่น โดยนักลงทุนญี่ปุ่นสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง JTEPA และความตกลง FTA อาเซียน-ญี่ปุ่นในด้านลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยกลับเข้าไปในญี่ปุ่น รวมถึงการลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมภาคบริการในประเทศไทยซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นโดยเฉพาะการลงทุนธุรกิจการขนส่ง ค้าปลีก การก่อสร้างและการเงินประกันภัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่ยังไม่มีความแน่นอนและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุนญี่ปุ่นให้ชะลอการลงทุนในไทยได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่มีทิศทางขาขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับชาติอาเซียนอื่นๆ ส่วนปัจจัยทางการเมืองของญี่ปุ่นที่ภาคธุรกิจไทยควรจับตามองคือกำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ในวันที่ 30 สิงหาคม 2552 ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองและผู้นำประเทศของญี่ปุ่นที่จะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศคนต่อไปจะส่งผลต่อประเทศไทยทั้งในด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าและประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับที่ 1