มาตรการลดความร้อนแรงเศรษฐกิจจีน … ผลดีต่อเอเชีย & ไทย

ความพยายามของทางการจีนที่ต้องการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนอาจนำไปสู่การเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ โดยทางการจีนได้ประกาศชะลอการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ และควบคุมการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเหล็ก และซีเมนต์ ซึ่งได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในตลาดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของจีนได้ร่วงลงร้อยละ 21.8 ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนที่มีการปรับลดลงมากที่สุดในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนได้ทะยานขึ้นเกือบร้อยละ 100 ในระหว่างช่วงปลายเดือนตุลาคม 2551 ถึงปลายเดือนกรกฎาคม 2552 อันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้านของทางการจีน ได้แก่ มาตรการด้านการคลังโดยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมูลค่ารวม 586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยมีระยะเวลา 2 ปี พร้อมๆ กับการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และมาตรการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจหลายสาขา จนส่งผลให้เศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้น โดยเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 เติบโตสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 จากอัตราเติบโตชะลอต่ำสุดที่ร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรก

อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศตัวเลขดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังคงสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจภายใน โดยดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54 จากระดับ 53.3 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ได้สร้างความมั่นใจมากขึ้นให้กับนักลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นในจีนและประเทศเอเชียต่างปรับตัวในแดนบวกได้ในวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวันและออสเตรเลีย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อมาตรการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน และผลต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทย ดังนี้
 การดำเนินนโยบายของจีนที่ตั้งเป้าหมายควบคุมการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมและการชะลอการขยายตัวในตลาดสินเชื่อที่ได้ส่งผลกดดันต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจของจีนในระยะแรก เนื่องจากความคาดหวังต่อบทบาทของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจประเทศแกนหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่น ต้องประสบภาวะหดตัวรุนแรงในไตรมาสแรกของปีนี้

การควบคุมการผลิตส่วนเกินและมาตรการชะลอการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ของทางการจีน บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจจีนเพื่อให้อัตราการขยายตัวเป็นไปตามเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 8 ในปีนี้ ซึ่งมาตรการการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนน่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้นและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากความร้อนแรงเกินไปในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรและอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระดับราคาในประเทศ แม้ว่าในปัจจุบันระดับราคาในจีนซึ่งวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคยังอยู่ในแดนลบและมีอัตราติดลบเร่งขึ้นก็ตาม แต่สัญญาณบวกของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

ธนาคารจีนเริ่มชะลอการปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์และลดความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ส่งผลให้สินเชื่อใหม่ในจีนชะลอลงในเดือนกรกฎาคมเหลือ 355.9 พันล้านหยวน หรือ 52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าน้อยกว่า 1 ใน 4 ของสินเชื่อใหม่ในเดือนมิถุนายนที่อยู่ที่ 1.53 ล้านล้านหยวน หลังจากที่มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของจีนส่งผลให้สินเชื่อใหม่ของจีนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.4 ล้านล้านหยวน เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของขนาดจีดีพีของจีนในช่วงเดียวกัน ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปีก่อนหน้า ขณะที่การผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในภาคก่อสร้างที่เกินกว่าความต้องการได้ปรากฏขึ้นในหลายสาขาทั้งอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น อุตสาหกรรมพลังงานลม และอุตสาหกรรมโพลิซิลิคอน (Polysilicon) และอุตสาหกรรมดั้งเดิม ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก ซีเมนต์ กระจก (Flat Glass) และเคมีภัณฑ์ถ่านหิน (Coal Chemicals)

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงเติบโตอย่างร้อนแรง โดยราคาบ้านในเซี่ยงไฮ้ได้พุ่งขึ้นสูงสุดในเดือนสิงหาคม เนื่องจากการปรับขึ้นของยอดขาย อพาร์ตเม้นท์ระดับบน ขณะที่ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในจีนในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 60 การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตร้อยละ 11.6 ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (YoY) ราคาบ้านในเมืองสำคัญๆ 70 แห่ง ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน และเติบโตร้อยละ 0.9 จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5

ทางการจีนผลักดันให้การปล่อยกู้ของธนาคารเน้นให้กับโครงการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ ข้อกำหนดให้ธนาคารเพิ่มเงินสำรองของธนาคารเป็นร้อยละ 150 ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ภายในสิ้นปี 2552 น่าจะช่วยชะลอการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อและเพิ่มคุณภาพของสินเชื่อในภาคการธนาคาร รวมทั้งลดความเสี่ยงที่ของการเกิดหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าสินเชื่อใหม่ในเดือนสิงหาคมจะชะลอลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคม เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่ของจีนได้ประกาศเป้าหมายลดการให้สินเชื่อใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีของจีนยังคงย้ำถึงการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน

 แม้ตลาดหุ้นของจีนปรับตัวลดลงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาท่ามกลางความกังวลของการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก แต่ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังคงสะท้อนถึงการปรับตัวของเศรษฐกิจภายในที่ดีขึ้นได้สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน สัญญาณการฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่องได้ให้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นกับทางการจีนในการดำเนินแผนการควบคุมการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมหลายสาขาในปัจจุบัน โดยดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54 จากระดับ 53.3 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 การจัดซื้อในภาคอุตสาหกรรม 18 สาขาที่ขยายตัว เช่น ปิโตรเคมี เครื่องดื่ม การแปรรูปเหล็ก และการผลิตอุปกรณ์ ส่วนการจัดซื้อในภาคอุตสาหกรรมที่หดตัว ได้แก่ สิ่งทอและเวชภัณฑ์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ดัชนีการนำเข้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งในดัชนี PMI ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นอัตราขยายตัวหลังจากที่อยู่ในระดับ 48.9 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งน่าจะบ่งชี้ถึงภาคส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตส่งออกปรับเพิ่มขึ้น

 มาตรการที่ทางการจีนควบคุมการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเหล็กและซีเมนต์ มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าเหล็กและซีเมนต์ ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ไปจีนของประเทศต่างๆ ที่ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ไปจีนมีมูลค่าสูงอย่างออสเตรเลียและบราซิล อย่างไรก็ตาม ความต้องการภายในของจีนที่ยังคงขยายตัวได้น่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ยังคงขยายตัวเป็นบวก ทำให้จีนยังคงมีความต้องการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ยังคงขยายตัวตามการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาครัฐตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ การใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการสร้างถนน ทางรถไฟ และสาธารณูปโภค การกระตุ้นภาคการบริโภคของประชาชนโดยการปรับลดภาษีค้าปลีกสำหรับการซื้อรถยนต์ การให้เงินอุดหนุนสำหรับเกษตรกรเพื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ และตู้เย็น คาดว่าจะช่วยให้ความต้องการสินค้าประเภทยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ากระเตื้องขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า การควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนในขณะนี้ถือเป็นการสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนให้กับการเติบโตของภาคเศรษฐกิจภายในของจีน ตามเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี (2549-2553) ของจีนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักของอุปสงค์ภายในประเทศต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและลดการพึ่งพาภาคส่งออก จากปัจจุบันที่ความต้องการบริโภคของประชาชนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ต่อจีดีพีของจีน ซึ่งแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจภายในจีนที่เติบโตได้อย่างความมั่นคงในระยะข้างหน้าน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเอเชียรวมทั้งประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะต้องจับตามองต่อไปถึงความเป็นไปได้ที่ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมในระยะต่อไปเพื่อควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจและป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการแกว่งตัวในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นการหวังพึ่งพาเศรษฐกิจจีนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคจึงทำให้นักลงทุนหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนของราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเลี่ยงได้ยาก

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ที่เติบโตได้ดีขึ้นจากไตรมาสแรก ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของจีนกระเตื้องขึ้น และช่วยให้การส่งออกของประเทศเอเชียและไทยปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก (QoQ) โดยจีนนำเข้าจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.6 ร้อยละ 41 และร้อยละ 30.2 ในไตรมาสที่ 2 (QoQ) ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าของจีนจากไทยในไตรมาสที่ 2 ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29 (QoQ) เทียบกับไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ 8.4 (QoQ) แม้ว่าการส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกรกฎาคมที่กลับมาหดตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 21.6 จากช่วงเดียวกันของปี 2551 (YoY) หลังจากที่อัตราติดลบชะลอลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 5 เดือนก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 6.4 จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ซึ่งถือเป็นการติดลบเดือนแรกหลังจากที่การส่งออกสามารถขยายตัวเป็นบวกติดต่อกันมา 5 เดือนก่อนหน้าเช่นกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญของการส่งออกไทยไปจีนที่ติดลบสูงขึ้นมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มั่นคงนัก ทำให้การส่งออกของจีนกลับมาติดลบสูงขึ้นในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของจีนจากไทยชะลอลงตามไปด้วย ประกอบกับฐานส่งออกของไทยไปจีนที่สูงในเดือนกรกฎาคมปี 2551 และการปรับความสมดุลของภาคการผลิตในจีนที่เพิ่มการนำเข้าในช่วงก่อนหน้านี้ไปแล้ว ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การส่งออกไปจีนในเดือนกรกฎาคมกลับมาติดลบสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มแกนหลักของโลกที่ชัดเจนมากขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มั่นคงนักก็ตาม เนื่องจากปัญหาการว่างงานในสหรัฐฯ กลุ่มยูโรและญี่ปุ่นที่ยังคงกดดันภาคการบริโภคให้อ่อนแรง แต่มาตรการกระตุ้นการบริโภคของทั้งสามประเทศได้ส่งผลให้ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการบริโภค โดยภาคการผลิตของสหรัฐฯ และกลุ่มยูโรในเดือนสิงหาคมยังคงปรับตัวดีขึ้น ดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมอยู่ในระดับเกิน 50 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ (Cash for Clunkers) ของภาครัฐ ที่เริ่มในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และทางการสหรัฐฯ ยังได้ดำเนินโครงการอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านซึ่งเริ่มต้นในเดือนกันยายนและสิ้นสุดกลางเดือนตุลาคม คาดว่าน่าจะส่งผลกระตุ้นภาคการบริโภคและความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ให้ปรับดีขึ้น สะท้อนจากการนำเข้าสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 5 อันเป็นผลจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่

นอกจากนี้ การส่งออกของประเทศเอเชียและไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจในประเทศเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน เช่น ลดภาษีค้าปลีกสำหรับการซื้อรถยนต์ การให้เงินอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับมาตรการของทางการจีนที่ควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงและการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเพื่อให้ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ในประเทศจีนให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ น่าจะยังคงส่งผลให้ความต้องการภายในของจีนมีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่องในในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยขับเคลื่อนภาคส่งออกของประเทศในเอเชียและไทยในปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว ยังจะสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกของเอเชียและไทยในระยะยาวด้วย

สรุป
การประกาศมาตรการควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อและการผลิตส่วนเกินของทางการจีนได้สร้างความกังวลในระยะแรกให้กับนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและบทบาทของจีนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของจีนเดือนสิงหาคมร่วงลงกว่าร้อยละ 20 หลังจากที่พุ่งขึ้นร้อยละ 100 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2552 แต่หลังจากการประกาศดัชนีเศรษฐกิจของจีนที่สะท้อนการปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิตของจีน (PMI) ในเดือนสิงหาคมที่ประกาศในวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ยังคงขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นของจีน รวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และออสเตรเลีย ฟื้นขึ้นมาในแดนบวกในวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจากติดลบในช่วงก่อนหน้านี้ตามตลาดหุ้นจีน อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะต้องจับตามองต่อไป ได้แก่ ความเป็นไปได้ที่ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมในระยะต่อไปเพื่อควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจและป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการแกว่งตัวในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นการหวังพึ่งพาเศรษฐกิจจีนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคจึงทำให้นักลงทุนหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนของราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเลี่ยงได้ยาก

การควบคุมการผลิตส่วนเกินและมาตรการชะลอการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ของทางการจีน บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจจีนเพื่อให้อัตราการขยายตัวเป็นไปตามเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 8 ในปีนี้ ซึ่งมาตรการการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนน่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้นและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่องในเดือนสิงหาคมนี้ได้ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นกับทางการจีนในการดำเนินแผนการควบคุมการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ทางการจีนยังคงควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อโดยผลักดันให้การปล่อยกู้ของภาคธนาคารเข้าไปสู่โครงการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ ส่วนข้อกำหนดให้ธนาคารเพิ่มเงินสำรองของธนาคารเป็นร้อยละ 150 ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ภายในสิ้นปี 2552 น่าจะช่วยชะลอการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อและเพิ่มคุณภาพของสินเชื่อในภาคการธนาคาร รวมทั้งลดความเสี่ยงของการเกิดหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีของจีนยังคงย้ำถึงการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ การควบคุมความร้อนแรงของตลาดสินทรัพย์ยังช่วยลดการเก็งกำไรซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระดับราคาในประเทศในระยะต่อไป แม้ว่าในปัจจุบันระดับราคาในจีนซึ่งวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคยังอยู่ในแดนลบและมีอัตราติดลบเร่งขึ้นก็ตาม แต่สัญญาณบวกของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

การส่งออกของประเทศเอเชียและไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจในประเทศเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน เช่น ลดภาษีค้าปลีกสำหรับการซื้อรถยนต์ การให้เงินอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับมาตรการของทางการจีนที่ควบคุมดูแลการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจต่างๆ ภายในประเทศให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงและการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมบางสาขา น่าจะยังคงส่งผลให้ความต้องการภายในของจีนมีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะช่วยขับเคลื่อนภาคส่งออกของประเทศในเอเชียและไทยในปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว ยังจะสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกของเอเชียและไทยในระยะยาวด้วย

นอกจากนี้ภาคส่งออกของจีนน่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มแกนหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ กลุ่มยูโรและญี่ปุ่นที่ชัดเจนมากขึ้น แม้ว่ายังมีปัญหาการว่างงานที่ยังคงกดดันภาคการบริโภคให้อ่อนแรง แต่มาตรการกระตุ้นการบริโภคของทั้งสามประเทศได้ส่งผลให้ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการบริโภคกระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัว สะท้อนจากดัชนีการจัดซื้อในภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมอยู่ในระดับเกิน 50 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจัยบวกจากทั้งการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจกลุ่มแกนหลักของโลกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในจีนน่าจะส่งผลขับเคลื่อนความต้องการนำเข้าของจีนจากประเทศเอเชียและไทยทั้งเพื่อผลิตสินค้าส่งออกและใช้ผลิตสนองความต้องการภายใน ให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย หลังจากที่การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกรกฎาคมต้องเผชิญกับการกลับมาหดตัวสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2551 (YoY) หลังจากที่อัตราติดลบชะลอลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 5 เดือนก่อนหน้า