1 ปีกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก : เศรษฐกิจจีนยังคงต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยง

หลังจากสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ต้องประสบปัญหาวิกฤติสินเชื่อที่มีต้นเหตุจากสินเชื่อคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2550 จนทำให้สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐฯ หลายรายต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากทางการสหรัฐฯ ขณะที่วาณิชธนกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐฯ อย่างบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส ต้องประกาศภาวะล้มละลายในเดือนกันยายน 2551 วิกฤติการเงินของสหรัฐฯ ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินทั่วโลกและลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง จนทำให้เศรษฐกิจโลกประสบภาวะหดตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ถือว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศแกนหลักของโลกอย่างกลุ่มจี 3 ได้แก่ สหรัฐฯ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่น ที่หดตัวรุนแรง และส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของประเทศต่างๆ ในเอเชียและไทยต้องประสบภาวะซบเซารุนแรง ทำให้เศรษฐกิจหดตัวตามไปด้วย โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจยังขยายตัวเป็นบวกได้แต่อัตราเติบโตชะลอลง ที่สำคัญ ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม

สำหรับเศรษฐกิจจีนถือว่าเติบโตได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ โดยเครื่องชี้สำคัญทางเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคมยังสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปี 2551 โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 12.3 จากร้อยละ 10.8 ในเดือนกรกฎาคม ยอดค้าปลีกสินค้าขยายตัวร้อยละ 15.4 จากร้อยละ 15.2 ในเดือนกรกฎาคม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ขยายตัวร้อยละ 33 ในช่วง 8 เดือนแรก เทียบกับที่เติบโตร้อยละ 32.9 ในช่วง 7 เดือนแรก ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งชี้วัดอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเริ่มติดลบลดลง สะท้อนถึงความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดที่ลดลง แต่อาจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในระยะต่อไป ขณะที่การส่งออกของจีนในเดือนสิงหาคมยังคงหดตัวร้อยละ 23 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราติดลบเท่าเท่ากับเดือนก่อนหน้า แสดงถึงความต้องการในตลาดต่างประเทศที่ยังอ่อนแรง ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ผลิตส่งออกลดลงตามไปด้วย โดยการนำเข้าของจีนในเดือนสิงหาคมหดตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 17 (YoY) เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 14.9 (YoY) ในเดือนก่อนหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าทางการจีนต้องเผชิญปัจจัยท้าทายสำคัญในการดำเนินนโยบายทางการเงินและนโยบายการคลังเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง แม้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

มาตรการของทางการจีน … ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
 ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ส่งผลกระทบให้ส่งออกของจีนมีอัตราขยายตัวติดลบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 โดยอัตราหดตัวรุนแรงขึ้นเป็นเลข 2 หลักเฉลี่ยกว่าร้อยละ 20 ต่อเดือนในช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคม แต่อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนได้ช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจภายในของจีนให้เติบโตต่อไปได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 เป็นร้อยละ 7.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) เทียบกับที่เติบโตในระดับต่ำสุดที่ร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรก (YoY) โดยทางการจีนได้อัดฉีดเงินมูลค่า 586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (4 ล้านล้านหยวน) ในเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินโดยการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 และยกเลิกเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio : RRR) รวมทั้งการออกมาตรการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจต่างๆ ในหลายๆ ด้าน เช่น การปรับเพิ่มภาษีคืนแก่ภาคส่งออก และการอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เป็นต้น

มาตรการกระตุ้นภาคการบริโภคและการลงทุนของทางการจีนอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 สะท้อนจากดัชนีสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่กระเตื้องขึ้น ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และยอดค้าปลีก ขณะเดียวกันดัชนีตลาดหุ้นของจีนสามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นของจีนได้ปรับลดลงร้อยละ 14 ในเดือนสิงหาคมถึงปัจจุบัน เมื่อเทียบกับระดับ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการควบคุมความร้อนแรงของตลาดสินทรัพย์ แต่ดัชนีตลาดหุ้นของจีนก็ยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 27 จากเดือนกันยานยน 2551 ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ของวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีน
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากสัญญาณบวกของเศรษฐกิจโลกและแรงขับเคลื่อนจากมาตรการต่อเนื่องของทางการจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของภาคส่งออกยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่มั่นคงมากนัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศกลุ่มจี 3 ที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของจีนยังต้องประสบปัญหาภาคการบริโภคที่อ่อนแรง เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ปัญหาท้าทายสำคัญของภาคเศรษฐกิจภายในจีนเองที่ยังมีความเปราะบาง เนื่องจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7.4 ล้านล้านหยวน) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ตามนโยบายของทางการจีนที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ปัญหา NPLs ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลให้ธนาคารในจีนเริ่มชะลอการปล่อยสินเชื่อ และทางการจีนเองได้ออกมาตรการเข้มงวดมากขึ้นเพื่อควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อที่อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป

ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2552 ทางการจีนผลักดันให้ธนาคารที่ปล่อยกู้เน้นให้สินเชื่อกับโครงการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง และประกาศแผนการเข้มงวดการปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) รวมถึงการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงิน และต่อมาในเดือนสิงหาคม 2552 China Banking Regulatory Commission (CBRC) ได้พิจารณาการออกกฎระเบียบควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มเติม โดยการหักการถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาวซึ่งออกโดยผู้ให้กู้ยืมอื่นๆ ออกจากเงินทุนของธนาคาร ซึ่งการไม่นับรวมตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาวในการคำนวณความเพียงพอของเงินทุน (Capital-adequacy Calculations) ทำให้ธนาคารมีความสามารถลดลงในการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ส่งผลให้สินเชื่อใหม่ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมชะลอเหลือราว 356 พันล้านหยวน และ 410 พันล้านหยวน ตามลำดับ เทียบกับที่พุ่งสูงถึง 1.53 ล้านล้านหยวนในเดือนมิถุนายน

สินเชื่อที่พุ่งสูงขึ้นรวดเร็วนอกจากส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนเติบโตอย่างร้อนแรงแล้ว ยังส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้งจนอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ โดยราคาบ้านในเมืองสำคัญๆ 70 แห่งของจีนในเดือนสิงหาคมที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 2 ในเดือนสิงหาคม (YoY) ซึ่งนับว่าสูงขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดือนก่อนหน้า (MoM) ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 11 เดือน ส่วนยอดขายบ้านเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 70 ในช่วง 8 เดือนแรก (YoY) สูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่เติบโตร้อยละ 60 ในช่วง 7 เดือนแรก ขณะที่การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตเร่งขึ้นเช่นกัน เป็นร้อยละ 14.7 (YoY) เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 11.6 ในช่วง 7 เดือนแรก

 ราคาในตลาดสินทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นความร้อนแรงของตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อในจีนสูงขึ้นในระยะต่อไป โดยอัตราเงินเฟ้อวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมหดตัวร้อยละ 1.2 (YoY) ชะลอลงจากที่ติดลบร้อยละ 1.8 ในเดือนกรกฎาคม (YoY) ถือเป็นเดือนแรกที่อัตราติดลบชะลอลง ขณะที่อัตราขยายตัวของดัชนีราคาผู้ผลิตปรับลดลงเช่นกันเหลือร้อยละ 7.9 จากที่ติดลบร้อยละ 8.2 ในเดือนก่อนหน้า (YoY)

ระดับราคาสินค้าของจีนในเดือนสิงหาคมที่เริ่มติดลบชะลอลง สะท้อนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นซึ่งคาดว่าอาจทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจในจีนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลซ้ำเติมต่อการดำเนินธุรกิจของภาคธุรกิจในจีน โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากอุปสงค์ในต่างประเทศที่ยังคงอ่อนแรง ขณะเดียวกันธุรกิจที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศก็จะต้องเผชิญกับความต้องการบริโภคของประชาชนที่ชะลอลง เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลให้อำนาจซื้อปรับลดลง ทางการจีนจึงอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดของการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายและมาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปท่ามกลางเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเต็มที่เช่นกัน ถือเป็นปัจจัยท้าทายของทางการจีนที่จะต้องประคับประคองเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพ เพื่อลดผลกระทบทางสังคมด้วย โดยเฉพาะปัญหาการว่างงานที่อาจสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางการเมืองของทางการจีน

สรุป
ผลกระทบของวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลให้สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐฯ หลายรายต้องเผชิญปัญหา รวมทั้งวาณิชธนกิจรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐฯ อย่างบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส ที่ต้องประสบภาวะล้มละลายในเดือนกันยายน 2551 และส่งผลลุกลามไปยังภาคเศรษฐกิจจริงทั่วโลก จนทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่ต้องประสบภาวะชะลอตัวต่ำสุด โดยอัตราเติบโตชะลอเหลือร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรกในปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากอานิสงส์จากการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังของทางการจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนขยายตัวต่อไปได้ และทำให้เศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ของจีนเติบโตสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ซึ่งนับว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ โดยเครื่องชี้วัดของเศรษฐกิจจีนในเดือนสิงหาคมยังสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และยอดค้าปลีก ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นของจีนสามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นของจีนได้ปรับลดลงร้อยละ 14 ในเดือนสิงหาคมถึงปัจจุบัน เมื่อเทียบกับระดับ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการควบคุมความร้อนแรงในตลาดสินทรัพย์ของทางการจีน แต่ดัชนีตลาดหุ้นของจีนก็ยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 27 จากเดือนกันยานยน 2551 ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ของวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจภายใน และสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ดีขึ้นใน 2 ไตรมาสสุดท้าย และมีแนวโน้มเติบโตได้ร้อยละ 8.0 ในปีนี้ ตามเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ปัจจัยท้าทายหลายประการที่ยังคงส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีข้อจำกัด ได้แก่ ความผันผวนของภาคส่งออก เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่มั่นคงมากนัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่นที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของจีนยังต้องประสบปัญหาภาคการบริโภคที่อ่อนแรง เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ความร้อนแรงในตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ ทำให้ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความร้อนแรงของตลาดสินทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ แรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงราคาในตลาดสินทรัพย์ของจีนที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งเริ่มปรากฏสัญญาณการปรับตัวขึ้นของระดับราคาสินค้าในเดือนสิงหาคม โดยดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งเป็นเครื่องชี้อัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้ผลิต ยังคงอยู่ในแดนลบ แต่อัตราติดลบชะลอลงในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจในจีนปรับสูงขึ้น ขณะเดียวกันทำให้การบริโภคของประชาชนอ่อนแรงลงตามอำนาจซื้อที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพาเศรษฐกิจภายใน

ทางการจีนอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดของการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายและมาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินและมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปมีความยากลำบากมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ภาคส่งออกของจีนมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้ภาคส่งออกไม่สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นปัจจัยท้าทายของทางการจีนที่จะต้องดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลโดยใช้เครื่องมือหลายๆ ด้านเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพและลดผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาการว่างงานที่อาจสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางการเมืองของทางการจีน 