กรุงเทพฯ 5 ตุลาคม 2552 – เอชพี ประกาศเป้าหมายใหม่ในการลดปริมาณการใช้พลังงานและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมเผยความสำเร็จโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของเอชพีทั่วโลก โดยสามารถบรรลุเป้าหมายเดิมที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas : GHG) จากขั้นตอนการปฏิบัติงานและผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่ำกว่าสถิติในปีพ.ศ. 2548 ถึงร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเอชพีสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่ากำหนด
เอชพี ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ในการลดปริมาณการใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์
ทุกประเภทให้ลดจากสถิติในปี พ.ศ. 2548 ถึงร้อยละ 40 ภายในปี พ.ศ. 2554 พร้อมทั้งมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสำนักงานทั้งของเอชพีเองและที่อยู่ในสัญญาเช่าให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสถิติในปี พ.ศ. 2548 ถึงร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2556 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจ เอชพีตั้งใจที่จะลดการใช้พลังงานในสำนักงานและศูนย์ข้อมูลของเอชพีทั่วโลก ทั้งยังวางแผนลงทุนด้านแหล่งพลังงานทดแทนและการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
มร. เชน โรบิสัน รองประธานบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ด้านบริหารกลยุทธ์และเทคโนโลยี เอชพี กล่าวว่า “การสร้างสรรค์โครงการต่างๆ และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใสสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของเอชพีที่มุ่งมั่นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เอชพียึดถือและปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ทั้งนี้ เอชพีจะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วโลก โดยร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรดำเนินการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง”
ในระหว่างปี พ.ศ. 2548 – 2551 เอชพีได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ล้ำสมัย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ
การปฏิบัติงานในองค์กร ส่งผลให้บริษัทช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 4 พันล้านตัน ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2548 เอชพีสามารถลดการใช้พลังงานในส่วนการปฏิบัติงานต่างๆ ได้ถึงร้อยละ 9 โดยมีเป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานให้ได้ร้อยละ 16 ภายในปี พ.ศ. 2553(1)
ทั้งนี้ จากการควบรวมกิจการของอีดีเอสกับเอชพีในปี พ.ศ. 2551 และการรวมสำนักงานของทั้ง 2 บริษัทเข้าไว้ด้วยกัน ส่งผลให้เอชพีมีการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 ดังนั้น บริษัทจึงแยกเป้าหมาย
การดำเนินงานและเป้าหมายผลิตภัณฑ์ออกจากกันอย่างชัดเจน
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
นวัตกรรมด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการลดปริมาณการใช้พลังงาน และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์เอชพี ส่งผลให้ลูกค้าใช้ชีวิตและทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
เอชพีได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 ว่าภายในปี พ.ศ. 2553 จะลดการใช้พลังงานของผลิตภัณฑ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งโน้ตบุ๊คและเดสก์ท้อป ให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าร้อยละ 25 เทียบกับสถิติของปี พ.ศ. 2548 ซึ่งทำได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ สำหรับเครื่องเดสก์ท้อปและโน้ตบุ๊คที่มียอดจำหน่ายสูงสุดนั้น มีขีดความสามารถในการประหยัดพลังงานมากถึงร้อยละ 41 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา
แนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้านอื่นๆ ของเอชพีมีดังนี้
• เอชพีเป็นผู้ผลิตหมึกพิมพ์รายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมไอทีที่ผลิตและจำหน่ายตลับหมึกพิมพ์สำหรับเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทซึ่งผ่านกระบวนการนำพลาสติกของตลับหมึกพิมพ์ที่ใช้แล้วมาแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ตามกระบวนการแบบ Close Loop รวมกว่า 500 ล้านตลับลงสู่ตลาดทั่วโลก ทั้งนี้ กระบวนการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Planet Partners (เปิดรับตลับหมึกพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทและเลเซอร์เจ็ทที่หมดแล้วเพื่อนำมาแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ จนถึงขณะนี้ โครงการฯ ได้รับคืนตลับหมึกพิมพ์ของเอชพีที่ใช้หมดแล้วรวมทั้งสิ้นกว่า 300 ล้านตลับเพื่อรวบรวมและนำกลับไปผลิตใหม่ต่อไป(2)) รวมถึง
การใช้พลาสติกจากแหล่งอื่นๆ เพื่อใช้ในการผลิตตลับหมึกพิมพ์ใหม่แบบ Original HP(3)
• เอชพีเป็นหนึ่งในผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายแรกๆ ที่ใช้แผ่นกันกระแทกที่ผลิตจากสาร
โพลีเอทีลีน (หรือ expanded polyethylene : EPE) ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ใช้แล้วและนำกลับมาใช้ใหม่ร้อยละ 100 เพื่อใช้บรรจุเครื่องเดสก์ท้อปรุ่น HP Compaq 6000 Pro ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและละตินอเมริกา
• เอชพีต่อยอดการออกแบบอุปกรณ์จ่ายไฟภายในที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งผ่านการรับประกันจาก ENERGY STAR? 5.0 สำหรับติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรวมถึงเพิ่มคุณสมบัติ
การบริหารจัดการพลังงานอันล้ำสมัย โดยเปิดตัวเครื่อง thin client เครื่องแรกที่ได้รับการรับรองจาก ENERGY STAR และ EPEAT
• เครื่องพิมพ์ HP Photosmart ML1000D Minilab ช่วยให้ลูกค้าประหยัดไฟฟ้าได้สูงถึงร้อยละ 64 และลดการปล่อยสารเคมีและน้ำเสียเฉลี่ยปีละ 800 แกลลอน เมื่อเทียบกับระบบการล้างอัดภาพแบบ silver-halide(4)
• เครื่องเซิร์ฟเวอร์ HP Proliant Generation 6 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2552 มีสมรรถนะการทำงานเพิ่มขึ้น 2 เท่า แต่ใช้ไฟเพียงครึ่งหนึ่งของรุ่นเดิม(5)
• เครื่องเซิร์ฟเวอร์ HP Proliant รุ่น DL 360 และ 380 เป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นแรกที่ได้รับการรับประกันจาก ENERGY STAR ตามมาตรฐานของ Computer Server 1.0 Guidelines ซึ่งกำหนดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีคุณสมบัติประหยัดพลังงานสูงสุดในวงการไอที และคาดว่าจะติดตั้งคุณสมบัติเหล่านี้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในอนาคตด้วย
เอชพีช่วยลูกค้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ด้วยปณิธานของเอชพีที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทั่วทุกระบบการดำเนินงานของบริษัท ได้แก่ การปรับปรุงและยกระดับผลิตภัณฑ์ การพัฒนาโซลูชั่น Telepresence ซึ่งเป็นระบบการประชุมทางไกลที่ให้ประสบการณ์เสมือนหนึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน รวมถึงบริการต่างๆ ด้านการบริหารจัดการเครื่องพิมพ์ โดยคาดว่าลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของเอชพีจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1,900 ล้านตัน(6) ซึ่งเป็นปริมาณที่เทียบเท่ากับการลดการใช้รถยนต์บนท้องถนนมากกว่า 354,000 คันต่อปี(7)
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าหากลูกค้าเลือกใช้โซลูชั่น HP Eco Solutions จะสนับสนุนให้ลูกค้าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 4 ล้านตัน ภายในปี พ.ศ. 2548 – 2554 ซึ่งเทียบเท่ากับการลดการใช้รถยนต์มากกว่า 741,000 คันต่อปี(7) จึงช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้ด้วย โซลูชั่น HP Eco Solutions ประกอบด้วย
• โซลูชั่น HP Halo เป็นระบบประชุมทางไกลสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลกัน ซึ่งช่วยลด
การเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจลงได้เป็นอย่างดี
• โซลูชั่น HP Eco Solutions สำหรับระบบการพิมพ์ในองค์กรขนาดใหญ่ ประกอบด้วย
ชุดเครื่องมือ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ บริการ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ช่วยลูกค้าลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดค่าใช้จ่าย
• การปรับปรุงและยกระดับผลิตภัณฑ์ของเอชพีทั่วโลก คือ การนำผลิตภัณฑ์และตลับหมึกพิมพ์ที่ใช้แล้วกลับมาหมุนเวียนผลิตเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกครั้ง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น HP Eco Solutions เข้าไปดูได้ที่ http://www.hp.com/go/ecosolutions/reduceimpact