แซส ซอฟท์แวร์ ปรับโฉมใหม่ เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่น่าทำงานด้วยที่สุดในประเทศไทย

กรุงเทพฯ – 25 พฤศจิกายน 2552 – นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า แซส ซอฟท์แวร์ ได้ย้ายสำนักงานเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา จากอาคารสีลมคอมเพล็กซ์มาสู่ ชั้น 38 อาคารเอ็กซ์เชนจ์ ทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยสำนักงานแห่งใหม่นี้ เป็นโมบายล์ออฟฟิศเต็มรูปแบบ และมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นสัดส่วนมากขึ้น ทั้งในส่วนของผู้มาติดต่อ ส่วนของพนักงาน ส่วนฝึกอบรม และส่วนสันทนาการ

สำนักงานแห่งใหม่นี้อยู่บริเวณสี่แยกอโศก-สุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสุขุมวิท และรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีอโศก สะดวกต่อการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร สถานที่ออกกำลังกายซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารเดียวกัน หรือสวนสาธารณะที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่นในบริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่สามารถเดินทางไปได้โดยสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS เพียงสถานีเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับช็อปปิ้งมอลล์แหล่งใหญ่ ให้พนักงานสามารถเลือกพักผ่อนได้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของชีวิต

ส่วนภายในสำนักงานตบแต่งสไตล์โมเดิร์นทั้งส่วนทำงานและส่วนสันทนาการ ซึ่งมีทั้งคาราโอเกะ ห้องเล่นเกม ทีวีแอลอีดี รวมถึงเคเบิลทีวีติดตั้งไว้ โดยแบ่งสัดส่วนอย่างลงตัว พร้อมด้วยทัศนียภาพที่เปิดโล่งจากชั้น 38 ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบโดยไม่มีตึกสูงมาขวางกั้น ให้พนักงานได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่ที่บ้าน ตลอดจนติดตั้งไวร์เลสไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้กับพนักงาน

“แซสให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานเป็นอย่างมาก ยืนยันได้จากการที่สำนักงานสาขาของแซสติดอันดับต้นๆ ของสถานที่ที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ติดอันดับที่ 20 ใน 100 บริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาจากการสำรวจของนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งนับเป็นปีที่ 12 แล้วที่ แซสติดอันดับอยู่ในลิสต์นี้ หรือติดอันดับที่ 7 ของ 10 บริษัทที่น่าทำงานด้วยในประเทศฟินแลนด์ ติดอันดับ 2 ในประเทศเบลเยี่ยม เป็นอันดับ 1 ในประเทศโปรตุเกส จีน และสวีเดน ซึ่งแซสครองตำแหน่งนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว รวมถึงอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้แซสยังติดอันดับ 1 ใน 100 บริษัทที่มีบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรภาพกันมากที่สุดในอเมริกาเหนือ สำรวจโดยมูลนิธิเดฟ โธมัส (Dave Thomas Foundation for Adoption) รวมถึงติดอันอับที่ 19 ใน 100 บริษัทไอทีที่น่าทำงานด้วยจากการสำรวจของนิตยสารคอมพิวเตอร์ เวิร์ลด์ด้วย” นายทวีศักดิ์ กล่าว

นายทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน แซสพยายามอย่างยิ่งที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตการทำงานให้กับพนักงาน เพราะเราเชื่อว่าพนักงานที่ทำงานอย่างมีความสุขจะนำมาซึ่งการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และผลสุดท้ายคือลูกค้าที่จะได้รับการบริการที่ดีเยี่ยมจากพนักงานของเรา

สำนักงานแห่งใหม่นี้ ยังเพิ่มส่วนอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทั้งโซนรับแขกที่สะดวกสบาย พื้นที่ห้องประชุม ห้องเทรนนิ่งที่กว้างขวางขึ้นที่ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครัน ตลอดจนห้องสาธิตการติดตั้ง และใช้งานโซลูชั่นของแซสให้เหมาะกับธุรกิจรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าชมได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงต่างประเทศ

นอกจากนี้สำนักงานแห่งใหม่ของแซส ยังออกแบบโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้งที่ให้พนักงานสามารถเดินทางมาได้โดยสะดวก เพื่อลดการใช้พลังงาน การติดตั้งระบบ เพื่อรองรับการทำงานระยะไกล (โมบายล์ออฟฟิศ) ให้พนักงานบางส่วนสามารถเข้าถึงระบบได้แม้อยู่ภายนอกสำนักงาน ช่วยลดการเดินทางและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไปในขณะเดียวกัน รวมถึงการติดตั้งระบบประชุมทางไกล เพื่อลดการเดินทางไกลระหว่างประเทศของบุคลากรในองค์กร ตลอดจนการลดใช้กระดาษจากระบบเอกสารดิจิตอล

สำหรับบ้านใหม่ของแซส ซอฟท์แวร์ ใช้เงินลงทุนไปกว่า 20 ล้านบาท โดยเป็นส่วนหนึ่งในงบการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงสภาพคล่องทางการเงินและการเติบโตที่ดีของแซส ซอฟท์แวร์ในประเทศไทย

นายทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปรับเปลี่ยนรูปแบบสำนักงานในครั้งนี้ เป็นการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์กรหลังจากที่ได้มาตั้งสำนักงานในประเทศไทยกว่า 8 ปี และเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของแซส ซอฟท์แวร์ รวมถึงเป็นการรองรับวัฒนธรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความท้าทาย ความแปลกใหม่ และความสมดุลระหว่างการทำงานและการสันทนาการ ตลอดจนการประสานความร่วมมือระหว่างกันที่มากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการทำตามคำมั่นที่แซสให้ไว้กับลูกค้า โดยการเพิ่มการลงทุนด้วยการเพิ่มบุคลากรและขยายสำนักงาน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางช่วงเศรษฐกิจขาลงก็ตาม

“เราเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้จะสร้างความแปลกใหม่และเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดพลังในการทำงาน รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร อีกทั้งยังเป็นการตอบแทนให้กับลูกค้า ตลอดจนเป็นการรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของเราด้วย” นายทวีศักดิ์ กล่าว