เซ็นจูรี 21 มั่นใจกำลังซื้อคอนโดยังมีต่อเนื่องหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว

เซ็นจูรี 21(ประเทศไทย) มั่นใจตลาดคอนโดมิเนียมอนาคตยังสดใส หลังกำลังซื้อยังคงมีต่อเนื่องขณะที่ สิงคโปร์ ฮ่องกง ราคาอสังหาฯเพิ่มขึ้นหลังนักลงทุนเล็งหาผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย เผยคอนโดฯราคา 60,000 – 80,000 ต่อตารางเมตรในไทย ยังได้รับความนิยมสูงสุด มั่นใจอนาคตราคาปรับขึ้นแน่นอน ชี้ทำเลที่ เกี่ยวข้อง กับการท่องเที่ยวอย่าง พัทยา หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ ยังน่าสนใจ พร้อมรุกตั้งแฟรนไชส์จับลูกค้าต่างชาติ แนะผู้ประกอบการรายใหม่เร่งปรับตัวสร้างจุดเด่นรองรับการแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่

นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเซ็นจูรี 21(ไทยแลนด์) เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียม ในประเทศไทย ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะยังมีความต่อเนื่องมาถึงปี 2553 ขณะที่ในส่วนของผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาตินั้นในปี 2552 ได้รับผลกระทบจากภาวะทางการเมืองพอสมควร แต่สัญญาณ ของผู้บริโภคชาวต่างชาติเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 และคาดว่ากำลังซื้อของชาวต่างชาติจะกลับเข้ามาเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับตลาดเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงที่ปัจจุบันราคาของอสังหาริมทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปลายปี 2552 ที่ผ่านมา

ในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาสที่ 1 รวมถึงทิศทางในปี 2553 นั้นคาดว่า คอนโดมิเนียม ที่มีราคา ขายระหว่าง 60,000 – 80,000 บาทต่อตารางเมตร จะยังคงเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุด โดยคอนโดมิเนียมกลุ่มนี้ จะมีทำเลอยู่ห่างจากเขต CBD (Central Business District) ประมาณ 10-15 กิโลเมตร ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียม ระดับบน ยังคงอยู่ในช่วงที่ทรงตัว เนื่องจากปัจจุบันราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ราคาขายเพิ่มสูงขึ้นขณะที่ กำลังซื้อ เองก็ยังคงมีไม่มากนัก

“ไตรมาส 1 ปี 2553 ตลาดยังค่อนข้างดี มีการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ความคึกคักของตลาดมีมากขึ้น รวมถึงการซื้อขายที่ดินที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งคล้าย ๆ กับเพื่อนบ้านเรา อย่าง สิงคโปร์และฮ่องกงที่อสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เร็วมากและราคาก็เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตรา ดอกเบี้ย ของทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง อยู่ในอัตราที่ต่ำทำให้ผู้บริโภคต้องหาแนวทางในการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่ตลาดในฮ่องกงจะต่างจากประเทศไทยตรงที่กลุ่มเป้าหมายในฮ่องกงช่วงนี้จะเป็นกลุ่มเศรษฐีใหม่จากประเทศจีน ทำให้ คอนโดมิเนียมราคาแพงคือราคาตั้งแต่ 20 ล้านเหรียญฮ่องกงขึ้นไปได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน” นายกิติศักดิ์ กล่าว

นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของทำเลที่ตั้งของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ นั้น ทำเลที่ติดกับระบบขนส่ง มวลชนยังคงเป็นตัวเลือกต้น ๆ ขณะที่ราคาของคอนโดมิเนียมโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเกรด A จะมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นโดยปัจจุบันมีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 100,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตร โดยโครงการลักษณะนี้ในอนาคตจำนวนโครงการจะเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากที่ดินหาได้ยาก ประกอบกับราคาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคจะให้ความสนใจกับคอนโดมิเนียมที่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก คือขนาดประมาณ 1 ห้องนอน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคที่เป็นชาวไทย และนักลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก ขณะที่ห้องขนาด 2-3 ห้องนอน จะเป็นกลุ่ม นักลงทุนระยะยาวที่หวังผลจากการปล่อยเช่า และกลุ่มชาวต่างชาติ

นอกจากทำเล CBD และ พื้นที่ที่อยู่ติดกับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่แล้ว บริษัทฯ ประเมินว่ายังมีทำเลอื่น ๆ ที่ยังคงเป็นที่น่าสนใจในปี 2553 โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของการท่องเที่ยว อาทิ พัทยา หัว-หิน ภูเก็ต และเชียงใหม่ซึ่งยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี โดยปัจจุบันบริษัทฯได้รุกเข้าไปเปิดแฟรนไชส์ในพื้นที่ ดังกล่าว เพิ่มขึ้นด้วย เช่นกัน โดยตลาดส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นหลัก

สำหรับทิศทาง และการแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมในอนาคตนั้นความสำคัญหลัก ๆ จะอยู่ที่เรื่องของทำเลและการสร้างความเชื่อมั่นในด้านแบรนด์ให้กับกลุ่มผู้บริโภค โดยกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความได้เปรียบสูงเนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และมั่นใจในศักยภาพของผู้ประกอบการค่อนข้างมาก หากเป็นทำเลที่ใกล้เคียงกันโอกาสของผู้ประกอบการขนาดใหญ่จะมีความได้เปรียบที่สูงกว่า ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก และกลุ่มที่เป็นผู้ประกอบการรายใหม่ นอกจากจะต้องมีความโดดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการแล้ว จะต้องมีการวางยุทธวิธีทางด้านการตลาดให้มีความแตกต่าง รวมถึงต้องสร้างความแปลกใหม่ในตัวโครงการเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจดจำ ซึ่งถือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแข่งขันกับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่หรือผู้ประกอบการรายเก่า ๆ ในตลาดได้เป็นอย่างดี