ความท้าทายรัฐบาลใหม่อังกฤษ … ภายใต้ปัญหาทางเศรษฐกิจหลายด้านปี 2553

พรรคอนุรักษ์นิยม อดีตพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล โดยสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคเสรีประชาธิปไตย หลังจากที่มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้นายเดวิด คาเมรอน ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และนายนิก เคลกก์ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตยขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายรัฐบาลเดิมภายใต้การนำของนายโทนี แบลร์ ที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับที่ 2 รองจากพรรคอนุรักษ์นิยม ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน ถือเป็นการปิดฉากรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคแรงงานที่บริหารประเทศมายาวนานถึง 13 ปี

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายเดวิด คาเมรอน ถือเป็นการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นครั้งแรกในรอบ 65 ปีของอังกฤษ นอกจากรัฐบาลใหม่จะต้องปรับผสานนโยบายของแต่ละพรรคให้สอดคล้องกันเพื่อให้การบริหารงานเป็นไปโดยราบรื่นแล้ว รัฐบาลใหม่ยังต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจหลายด้านเพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษได้ก้าวพ้นจากภาวะถดถอยมาแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 แต่ปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ หลายประเทศในยุโรปและประเทศพัฒนาทั้งหลาย รวมทั้งปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัญหาหนี้ในยุโรปหลายประเทศที่อาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปโดยรวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของอังกฤษที่ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของอังกฤษ ขณะเดียวกันอังกฤษถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยในกลุ่มยุโรป ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษที่มีแนวโน้มเติบโตไม่สูงนักในปีนี้ภายใต้ความเสี่ยงข้างต้น อาจทำให้การส่งออกของไทยไปอังกฤษในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจเผชิญข้อจำกัดให้เติบโตได้อย่างช้าๆ หลังจากที่ไทยส่งออกไปอังกฤษขยายตัวกลับมาขยายตัวค่อนข้างสูงร้อยละ 25.6 ในไตรมาสแรก (YoY)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าปัญหาสำคัญๆ ที่รัฐบาลใหม่ของอังกฤษคงต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเพื่อรักษาอัตราการเติบโตในปีนี้ มีประเด็นสำคัญสรุปได้ดังนี้
? แม้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษหลุดพ้นจากภาวะถดถอยโดยกลับมาเติบโตร้อยละ 0.4 ในไตรมาสที่ 4/2552 (QoQ) เป็นครั้งแรก หลังจากที่หดตัวติดต่อกันมา 6 ไตรมาส แต่ก็ถือว่าช้ากว่าประเทศในยุโรปอย่างเยอรมนี และฝรั่งเศส และในไตรมาสที่ 1/2553 เศรษฐกิจอังกฤษยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 0.2 (QoQ) แต่ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสภาพอากาศแปรปรวนในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคการปลีก

? คณะรัฐบาลใหม่ของอังกฤษที่ได้ประชุมครั้งแรกในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เห็นชอบร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องลดการขาดดุลการคลังที่พุ่งสูงในขณะนี้ มูลค่าขาดดุลการคลังของอังกฤษเพิ่มขึ้นเป็น 163.4 พันล้านปอนด์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.6 ของจีดีพีในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2553 โดยมีการกู้ยืมของทางการในเดือนมีนาคม 2553 มูลค่า 23.5 พันล้านปอนด์ นับว่าสัดส่วนการขาดดุลการคลังต่อจีดีพีของอังกฤษอยู่ในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และถือว่าสูงสุดในบรรดากลุ่มประเทศจี 7 ขณะที่หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม อยู่ที่ 890 พันล้านปอนด์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.2 ต่อจีดีพีในเดือนกุมภาพันธ์

? รัฐบาลใหม่วางแผนลดค่าใช้จ่าย 6 พันล้านปอนด์ หรือ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดการขาดดุลการคลัง โดยตัดรายจ่ายของการให้บริการที่ยังไม่ได้อยู่ในแผนงานในลำดับแรกๆ และลดค่าใช้จ่ายใน Child Trust Funds รวมทั้งปรับลดภาษีคืน (Tax Credit) ที่ให้ประชาชนที่มีรายได้สูง รวมทั้งการปรับเพิ่มภาษีเงินได้ ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการรักษาเสถียรภาพการคลัง ซึ่งผลของการดำเนินมาตรการลดรายจ่ายและเพิ่มภาษีด้งกล่าวคาดว่าอาจจะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในอังกฤษอาจอ่อนแรงลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากเม็ดเงินที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจคงมีไม่มากนัก ซึ่งอาจะเป็นปัจจัยท้าทายต่อปัญหาการว่างงานในอังกฤษที่ปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราการว่างงานในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เป็นร้อยละ 8 ถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 16 ปีตั้งแต่ปี 2539 แต่ภาคการบริโภคและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่กระเตื้องขึ้นบ้างแล้วอาจช่วยชะลออัตราการว่างงานได้ในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้ายังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากแผนการปรับลดรายจ่ายภาครัฐ ทำให้แรงผลักดันการขยายตัวของภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศมีค่อนข้างจำกัด

? สำหรับเสถียรภาพด้านราคายังคงปรับสูงขึ้น เงินเฟ้อวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ในเดือนมีนาคม สูงขึ้นจากร้อยละ 3.0 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับว่าสูงกว่าเป้าหมายของทางการอังกฤษที่อยู่ที่ร้อยละ 2 ในปีนี้ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในเดือนเมษายน นับว่าสูงที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น แต่ธนาคารกลางอังกฤษยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำไว้ที่ร้อยละ 0.5 ในเดือนพฤษภาคม ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14 เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงต้องเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังคงขนาดโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มูลค่า 200 พันล้านปอนด์ไว้ ในภาวะที่การขาดดุลการคลังยังอยู่ในระดับสูง

? ภาคส่งออกยังมีปัจจัยเสี่ยง อานิสงส์จากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงราวร้อยละ 25 เทียบกับสกุลเงินในตระกร้าที่มีการค้าขายถ่วงน้ำหนัก ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ได้ช่วยให้สินค้าส่งออกของอังกฤษเติบโตได้ต่อเนื่องตามขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น อานิสงส์จากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงราวร้อยละ 25 เทียบกับสกุลเงินในตระกร้าที่มีการค้าขายถ่วงน้ำหนัก ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ได้ช่วยให้สินค้าส่งออกของอังกฤษเติบโตได้ต่อเนื่องตามขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกของอังกฤษยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากเศรษฐกิจยูโรที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของอังกฤษ ที่อาจต้องถูกกดดันจากปัญหาหนี้สินของหลายประเทศในยุโรปที่มีหนี้สาธารณะและการขาดดุลการคลังต่อจีดีพีในระดับสูงอย่างกลุ่ม PIIGS (กรีซ โปรตุเกส สเปน ไอร์แลนด์ และอิตาลี) ที่อาจส่งผลกระทบให้การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโดยรวมเป็นไปอย่างช้าๆ โดยเฉพาะประเทศยูโรที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของอังกฤษ ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งประเทศเหล่านี้ต้องให้เงินช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาหนี้ ขณะเดียวกันก็มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของประเทศกลุ่ม PIIGS ด้วย ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีข้อจำกัดในช่วงที่เหลือของปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรในปีนี้จึงคาดว่าจะไม่สูงนัก จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)

ทั้งนี้ การส่งออกของอังกฤษในเดือนมีนาคมขยายตัวร้อยละ 1 ขณะที่ความต้องการภายในของอังกฤษเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้การนำเข้าเติบโตร้อยละ 5.2 สูงสุดในรอบ 18 เดือน สินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ และสินค้าขั้นกลาง เช่น อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ ส่งผลให้มูลค่าขาดดุลการค้าของอังกฤษเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 พันล้านปอนด์ จาก 6.2 พันล้านปอนด์ ในเดือนกุมภาพันธ์

? เศรษฐกิจภายในยังมีข้อจำกัดต่อการฟื้นตัว การส่งออกที่กระเตื้องขึ้นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยการบริโภคภายในปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 (YoY) ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงขึ้น โดยในเดือนมีนาคมขยายตัวร้อยละ 2.3 จากเดือนก่อนหน้า (MoM) เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ (MoM) สาขาการผลิตต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหล็กและผลิตภัณฑ์ รถยนต์ และกระดาษ ขณะที่ยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 (YoY) ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 อย่างไรก็ตาม ปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงและการลดการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการอังกฤษ รวมถึงภาคส่งออกที่อาจฟื้นตัวได้ไม่มากนัก อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจภายในมีข้อจำกัดต่อการฟื้นตัว

สำหรับภาคการเงิน แม้การปรับปรุงระบบการเงินอาจไม่ได้เป็นนโยบายเร่งด่วนของอังกฤษเมื่อเทียบกับการแก้ไขปัญหาด้านการคลังและปัญหาการว่างงาน แต่ก็ถือเป็นมาตรการสำคัญที่สร้างกลไกระบบการเงินให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสซึ่งอาจจะช่วยไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินได้ง่ายนักในอนาคต ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของอังกฤษเห็นชอบให้คงหน้าที่ของหน่วยงานกำกับด้านบริการการเงิน (Financial Services Authority : FSA) ที่รายงานตรงต่อธนาคารกลางอังกฤษ จากก่อนหน้านี้ที่พรรคอนุรักษ์นิยมมีข้อเสนอในเดือนกรกฎาคม 2552 ให้ยกเลิกหน่วยงาน FSA ซึ่งตั้งโดยพรรคแรงงานตั้งแต่ปี 2550 นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังเห็นชอบให้ธนาคารกลางมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ในการกำกับดูแลระบบการธนาคารและกฎระเบียบภาคการเงิน รวมทั้งมีอำนาจให้การตรวจสอบความเสี่ยงภาคการเงิน ซึ่งถือเป็นแผนของนโยบายเดิมของพรรคอนุรักษ์นิยม นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่เห็นว่าการปฏิรูประบบการกำกับดูแลมีความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดวิกฤติการเงินขึ้นอีก และเสนอให้ธนาคารกลางอังกฤษควบคุมกฎระเบียบด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค (macro-prudential regulation) และตรวจสอบกฎระเบียบที่สร้างเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจจุลภาค (micro-prudential regulation) ด้วย ขณะที่ยังวางแผนแก้ไขปัญหาการจ่ายโบนัสที่ไม่เหมาะสมในภาคการเงิน

สรุป
รัฐบาลใหม่ของอังกฤษต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจหลายๆ ด้าน แม้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษได้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยมาในช่วงปลายปี 2552 แล้ว ปัญหาสำคัญที่เร่งด่วน ได้แก่ การลดการขาดดุลการคลังที่อยู่ในระดับสูงเกือบร้อยละ 12 ต่อจีดีพี สูงที่สุดในบรรดากลุ่มประเทศจี 7 ซึ่งทำให้รัฐบาลใหม่ต้องวางแผนลดรายจ่ายและเพิ่มภาษีเพื่อรักษาฐานะการคลัง ซึ่งคาดว่าอาจทำให้เศรษฐกิจอังกฤษเติบโตได้ไม่มากนักในปีนี้ จากที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 ในไตรมาสแรก (QoQ) ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงยังเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญ แม้ว่าการบริโภคและการผลิตภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณกระเตื้องขึ้นบ้างแล้วอาจส่งผลช่วยให้อัตราการว่างงานชะลอลงในระยะเดือนถัดๆ ไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาคส่งออก ที่แม้ว่าขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมาจากอานิสงส์ของเงินปอนด์ที่มีทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 แต่อาจต้องได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของอังกฤษ ทำให้การส่งออกของอังกฤษไปกลุ่มยุโรปอาจเติบโตได้ไม่สูงนัก ซึ่งคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคและลงทุนของอังกฤษในช่วงที่เหลือของปีนี้ ปัจจัยท้าทายต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นภาระสำคัญที่รัฐบาลใหม่ของอังกฤษต้องเร่งแก้ไขในปีนี้เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ ในขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงจากเสถียรภาพของรัฐบาลเองจากการบริหารประเทศ เนื่องจากการเป็นรัฐบาลผสมของ 2 พรรค ทำให้การดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องมีการปรับประสานให้สอดคล้องกัน จากเดิมที่นโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรคในบางด้านยังมีความต่างกันในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

สำหรับประเทศไทย อังกฤษถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทยในกลุ่มยุโรป รองจากเนเธอร์แลนด์ โดยการส่งออกไปอังกฤษคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 2 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย มูลค่าการส่งออกของไทยไปอังกฤษในไตรมาสที่ 1/2553 กลับมาเติบโตร้อยละ 25.6 (YoY) เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 18.4 ในปี 2552 สินค้าส่งออกสำคัญๆ ไปอังกฤษที่เติบโตในอัตราสูง ได้แก่ ไก่แปรรูป (+25.5) เครื่องคอมพิวเตอร์/ชิ้นส่วน (+131.5%) รถยนต์/ชิ้นส่วน (+269%) และรถจักรยานยนต์/ชิ้นส่วน (+67%) แม้ว่ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านที่อาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจอังกฤษในปีนี้อาจจะเติบโตได้ไม่สูงนัก ราวร้อยละ 1.0-1.3 จากที่หดตัวร้อยละ 4.9 ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปี 2552 และการส่งออกไปอังกฤษในไตรมาสแรกที่ขยายตัวได้ดี ทำให้การส่งออกของไทยไปอังกฤษในปี 2553 นี้มีแนวโน้มยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ แม้ว่าจะไม่สูงนัก โดยคาดว่าอาจเติบโตราวร้อยละ 5.0 จากที่ต้องประสบภาวะหดตัวร้อยละ 18.1 ในปี 2552