จาการ์ตา: วันนี้ กลุ่มซีไอเอ็มบี ได้ลงนามในสัญญากับ PT Aprisma ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการนำระบบ BizChannel มาใช้ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย
นายอาร์วิน ราสยิด ประธานกรรมการ PT Bank CIMB Niaga กล่าวว่า “โครงการนี้กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการริเริ่มทางอินเตอร์เน็ตระบบร่วมเดียวกันของธุรกิจในกลุ่มซีไอเอ็มบี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าบรรษัทธุรกิจ โดยครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการทั้งด้าน Trade Finance และ Cash Management เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ของกลุ่มในการขยายบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีกระแสรายวัน (CASA) และรายได้จากค่าธรรมเนียม รวมทั้งเสริมสร้างแบรนด์ในการเป็นธนาคารที่ให้บริการธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Bank) ที่มีความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน”
ในพิธีลงนามสัญญาในนามของกลุ่ม นายอาร์วินยังกล่าวอีกว่า “เทคโนโลยีที่ PT Aprisma นำมาใช้นั้นมีตั้งแต่การใช้งานทั่วไปอย่างการเปิด Letter of Credit ไปจนถึงโมดุลด้าน Supply Chain ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ซับซ้อนสำหรับ การทำธุรกิจระหว่างประเทศ (Trade Finance) ด้วยการใช้โมเดลโครงสร้างบัญชีใหม่และการอนุมัติทางโทรศัพท์มือถือสำหรับธุรกิจ Cash Management ตลอดจนการใช้งานเพื่อการวางแผนทรัพยากรขององค์กร (Enterprise Resource Planning) ด้วย”
ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี ได้ลงนามในสัญญากับ PT Aprisma ซึ่งมี ประธานกรรมการ อีจาส ริดวัน เป็นตัวแทนการลงนาม
ขณะเดียวกัน ซูซานโต ชานดรา กรรมการผู้จัดการ PT Aprisma อินโดนีเซีย กล่าวว่า “บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติที่กลุ่มซีไอเอ็มบีได้ให้ความไว้วางใจบริษัทในการดำเนินการระบบรากฐานระดับภูมิภาคแก่กลุ่ม ด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญ ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของบริษัทจะช่วยสนับสนุนให้กลุ่ม ซีไอเอ็มบีสามารถขยายธุรกิจการให้บริการธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Banking) และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของกลุ่มซีไอเอ็มบีได้เป็นอย่างดี
นายอาร์วินกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้กำหนดขึ้นเพื่อรวมเครือข่ายการให้บริการธุรกรรมทางการเงินของกลุ่ม ซีไอเอ็มบีในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย และเพื่อส่งเสริม “การธนาคารแบบก้าวไปข้างหน้า (Forward Banking)” โดยการนำ BizChannel มาใช้เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดระดับภูมิภาค (Champion Product) สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Banking)
“การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกลุ่มซีไอเอ็มบี กับ Aprisma ครั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มซีไอเอ็มบีไม่ได้มุ่งธุรกิจอยู่เพียงในประเทศมาเลเซียเท่านั้น แต่เรายังเป็นเครือข่ายผู้ให้บริการทางการเงินระดับภูมิภาคอาเซียน และเรายังจะมอบโอกาสให้แก่บริษัทของแต่ละประเทศในภูมิภาค โดยการสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในมาเลเซียให้เข้าสู่เส้นทางระดับภูมิภาคกับเราอีกด้วย” นายอาร์วินกล่าว
ข้อมูลเกี่ยวกับ CIMB Group
CIMB Group เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับสองในมาเลเซีย และเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มผู้ให้บริการทางการเงินที่ครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ CIMB Group ให้บริการการธนาคารเพื่อการบริโภค การธนาคารเพื่อการลงทุน การธนาคารอิสลาม การบริหารจัดการสินทรัพย์ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัย สำนักงานใหญ่ของ CIMB Group ตั้งอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีสำนักงานภูมิภาคหลักในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศไทย และยังขยายไปในบรูไน พม่า และเวียดนาม นอกเหนือจากภูมิภาคอาเซียนนี้แล้ว CIMB Group ยังมีสำนักงานในฮ่องกง บาห์เรน ลอนดอน และนิวยอร์ก และยังถือหุ้น 19.99% ในธนาคารหยิงโข่วในจีน
CIMB Group ดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์หลัก 3 แบรนด์ ได้แก่ CIMB Bank, CIMB Investment Bank และ CIMB Islamic Bank นอกจากนี้ CIMB Group ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักใน CIMB Niaga ในอินโดนีเซีย และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียวใน CIMB Thai ประเทศไทย
CIMB Group จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่า มาเลเซีย ผ่าน CIMB Group Holdings Berhad (เดิมรู้จักในนาม Bumiputra-Commerce Holdings Bhd.) โดยมีมูลค่าตามราคาตลาด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ประมาณ 45.3 พันล้านริงกิต CIMB Group มีพนักงานรวม 36,000 คนใน 11 ประเทศ
ข้อมูลเกี่ยวกับ PT Aprisma (อะพริสมา อินโดนีเซีย)
อะพริสมา อินโดนีเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 และทุกวันนี้ได้เป็นหนึ่งในบริษัทซอฟต์แวร์การธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาแอพลิเคชั่นที่มีความสำคัญและมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการเงินโดยมีธนาคารชั้นนำจำนวนมากเป็นลูกค้า
วิสัยทัศน์ของบริษัท คือ เป็นผู้จัดหาโซลูชั่นชั้นนำในวงการธนาคารและตั้งเป้าเป็นธุรกิจระดับโลก พันธกิจของบริษัท คือ พัฒนาและยกระดับโซลูชั่นปฏิบัติงานและช่วยธนาคารต่างๆในการให้บริการที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ช่วยให้สถาบันขนาดใหญ่สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ได้เปรียบคู่แข่งด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว