ยอดส่งออกฮอนด้าฉลุย โต 45% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553

จากรูป: นายฟูมิฮิโกะ อิเคะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัดในงานแถลงข่าวเปิดตัวรถจักรยานยนต์แนวสปอร์ตรุ่น CBR250R เป็นครั้งแรกซึ่งจะผลิตในประเทศไทยและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ประเทศ

บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย เผยยอดส่งออกผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าประเทศไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 74,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 45% โดยยอดส่งออกของไตรมาสที่ 3 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 24,419ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยคาดว่ายอดส่งออกของฮอนด้าในไตรมาสที่ 4 ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และคาดการณ์ยอดส่งออกของฮอนด้าตลอดปี 2553 จะมีมูลค่ารวม 98,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากปีที่แล้ว

นายฟูมิฮิโกะ อิเคะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า “ยอดส่งออกใน 9 เดือนแรกของปี 2553 ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี้ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย โดยในบรรดาผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกของฮอนด้าทั้งหมด รถจักรยานยนต์สำเร็จรูปมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุด ซึ่งได้รับอานิสงส์มาจากรถจักรยานยนต์รุ่น PCX และเพื่อตอกย้ำการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อวานนี้ฮอนด้ายังได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์แนวสปอร์ตรุ่น CBR250R เป็นครั้งแรกซึ่งจะผลิตในประเทศไทยและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ประเทศ เรามั่นใจว่ารถจักรยานยนต์รุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก”
รถยนต์

มูลค่าส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์ของฮอนด้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 47% คิดเป็น 46,579 ล้านบาท โดยยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเติบโต 55% คิดเป็นมูลค่า 25,285 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 47,161 คัน เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรถยนต์ฮอนด้าซีวิคเป็นรุ่นที่มีการส่งออกมากที่สุด เป็นจำนวน 10,475 คัน ตามด้วยฮอนด้าซิตี้ 10,426 คัน และฮอนด้าแจ๊ซ 9,884 คัน ในขณะที่ชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์มีมูลค่าการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกทั้งสิ้น 21,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% ทั้งนี้ ปัจจุบันฮอนด้าส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปยังประเทศต่างๆ กว่า 40 ประเทศทั่วโลก

รถจักรยานยนต์
สำหรับรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 เติบโต 46% คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 16,362 ล้านบาท โดยยอดส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปเติบโตถึง 431% คิดเป็นมูลค่า 2,342 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 38,358 คัน เพิ่มขึ้น 369% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปัจจัยแห่งความสำเร็จในครั้งนี้มาจากรถจักรยานยนต์รุ่น PCX เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของรถจักรยานยนต์รุ่นดังกล่าว โดยส่งออกไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ยอดส่งออกชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถจักรยานยนต์ในรอบ 9 เดือนแรกมีมูลค่ารวม 14,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

เครื่องยนต์อเนกประสงค์
ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์เพื่อการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้า โดยปัจจุบันได้ส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องยนต์อเนกประสงค์หลากหลายประเภทไปยังประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศทั่วโลก โดยมีตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย สหรัฐอเมริกาและยุโรป สำหรับไตรมาสที่สามของปี 2553 ยอดส่งออกเครื่องยนต์อเนกประสงค์และชิ้นส่วนของฮอนด้ามีจำนวนทั้งสิ้น 515,627 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 3,096 ล้านบาท

โดยเพิ่มขึ้น 60% ทั้งจำนวนและมูลค่า เมื่อผนวกกับสองไตรมาสที่ผ่านมา ยอดส่งออกเครื่องยนต์อเนกประสงค์และชิ้นส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,489,731 เครื่อง เพิ่มขึ้น 60% คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้วชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง และแม่พิมพ์

นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มหลักข้างต้น ฮอนด้ายังได้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง และแม่พิมพ์จากประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ชิ้นส่วนเหล่านี้มีอัตราการส่งออกคงที่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,770 ล้านบาท

ฮอนด้านับเป็นผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ซึ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย อีกทั้งยังเป็นผู้นำในด้านการผลิตเครื่องยนต์มลพิษต่ำ ประหยัดน้ำมัน และเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ฮอนด้าเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยในปี 2530 โดยมีจำนวนและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ฮอนด้าคาดการณ์ว่า ยอดส่งออกของฮอนด้ารวมทุกผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยไปยังกว่า 80 ประเทศทั่วโลก จะมีมูลค่าสะสมสูงถึง 724,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2553