เอปสัน ประเทศไทย เปิดฉากรุกหนักตลาดปี 2554 ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ‘Epson = Value’ ชูคุณค่าโดยรวมที่ลูกค้าจะได้รับหลังซื้อสินค้า พร้อมเพิ่มไลน์สินค้าใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งปี มั่นใจธุรกิจโต 15%
มร.เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจไอทีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองช่วงครึ่งปีแรกและปัญหาน้ำท่วมหนักในครึ่งปีหลัง สำหรับเอปสัน ประเทศไทย เองสามารถรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ที่ 5% หรือมียอดรายได้รวมที่ 2,200 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่เอปสันเน้นที่ทำตลาดภาคธุรกิจ เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนกับการพัฒนาบุคลากรและเพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่มนี้ ทำให้ผลกระทบในปีที่แล้วไม่รุนแรงมาก และฟื้นตัวได้เร็ว
“กลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุดในปีที่ผ่านมาได้แก่กลุ่มสินค้าธุรกิจ โดยขยายมากกว่า 25% แยกเป็นดอทเมตริกซ์ พรินเตอร์ โตขึ้น 25% เป็นผลจากการลงทุนของภาครัฐ พรินเตอร์พาสบุ๊ค ที่โตขึ้นมากกว่า 100% จากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าธนาคาร และทีเอ็มพรินเตอร์ ที่โต 15% เนื่องจากโครงการของลูกค้ากลุ่มร้านค้าและห้างสรรพสินค้า”
“ส่วนพรินเตอร์หน้ากว้างมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งมาจากการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มพรีเพรสเป็นส่วนใหญ่ สำหรับโปรเจคเตอร์ ซึ่งเอปสันยังคงตำแหน่งผู้นำตลาดอยู่ในปัจจุบัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 28% เช่นเดียวกับอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ที่เอปสันยังคงเป็น1 ใน 3 ท็อปแบรนด์ของตลาด” มร.คาโตะกล่าว
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายในปี 2554 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15% โดยในส่วนของสินค้าคอนซูเมอร์ อาทิ อิงค์เจ็ทและเลเซอร์พรินเตอร์ สแกนเนอร์ ตั้งเป้าเติบโตที่ 10% หรือ 1,150 ล้านบาท โดยไฮไลท์อยู่ที่สินค้าไลน์ใหม่ พรินเตอร์ระบบหมึกสีต่อเนื่อง (Continuous Ink Supply System) ส่วนโปรเจคเตอร์ คาดว่าจะโตขึ้นอีก 50% หรือ 550 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นสินค้าระดับกลางและบนเป็นหลัก และมีเครื่องในกลุ่มโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เข้ามาช่วยเพิ่มฐานลูกค้า เอปสันตั้งเป้าจะรักษาตำแหน่งเจ้าตลาดต่อไป พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 40%
“สำหรับพรินเตอร์หน้ากว้าง ตั้งเป้าว่าจะโตไม่น้อยกว่า 20% หรือ 150 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะมีนวัตกรรมเข้ามา เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ อีกด้วย และในกลุ่มสินค้าธุรกิจ ซึ่งเอปสันเป็นเจ้าตลาดอยู่ คาดว่าจะมียอดรายได้รวมที่ 650 ล้านบาท โดยดอทเมตริกซ์ พรินเตอร์ โตขึ้นอีก 5% ส่วนทีเอ็มพรินเตอร์ โต 40%”
นายยรรยงกล่าวต่อว่า “เป้าหมายที่ตั้งไว้นับว่าท้าทายมาก และจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ได้ผล ทางเอปสัน ประเทศไทย จึงได้กำหนดกลยุทธ์ใหม่ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่า เอปสันหมายถึงคุณค่า ‘Epson = Value’ ซึ่งคุณค่าที่ทุกคนจะได้รับจากเอปสัน ประกอบด้วย คุณค่าของผลิตภัณฑ์ คุณค่าจากแบรนด์ และคุณค่าเพื่อผู้บริโภค”
“คุณค่าของผลิตภัณฑ์ (Value Products) หมายถึงลูกค้าของเอปสันจะได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย พบความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น พรินเตอร์ที่ให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่ถูก และได้เลือกสินค้าที่เหมาะกับความต้องการของตัวเองจากไลน์สินค้าใหม่จำนวนมาก ส่วนคุณค่าจากแบรนด์ (Value Brand) คือการที่ลูกค้าจะได้พบกับความอุ่นใจและมั่นใจเมื่อซื้อสินค้าเอปสัน ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ของเราผ่านแคมเปญต่างๆ การตลาดบนโซเชียล เน็ทเวิร์ค กิจกรรมเพื่อสังคม รวมไปถึงกิจกรรมร่วมแบรนด์ของเอปสันและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
“สุดท้ายคือคุณค่าเพื่อผู้บริโภค (Value Customers) หมายถึงการรับประกันความพึงพอใจของลูกค้าด้วยบริการหลังการขาย ซึ่งวินาทีนี้ เอปสันเป็นเพียงแบรนด์เดียวที่ประสบความสำเร็จในการให้บริการซ่อมสินค้า ซึ่งสามารถซ่อมเสร็จภายในกำหนดเวลา 5 วันเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการรับประกันสินค้า โปรแกรมให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าชนิดต่างๆ รวมถึงช่องทางขายและการให้บริการกว่า 170 แห่ง ครอบคลุมทุกพื้นที่ เข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย”
สำหรับพรินเตอร์ระบบหมึกสีต่อเนื่อง หรือ ‘แอล ซีรี่ส์’ ที่เปิดตัวเป็นทางการ พร้อมกัน 3 รุ่นในครั้งนี้ นายยรรยงกล่าวว่า “เป็นไลน์สินค้าใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องพิมพ์งานจำนวนมาก และให้น้ำหนักความสำคัญกับต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่คุ้มค่า ซึ่งคาดว่าได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ออฟฟิศขนาดเล็ก ธุรกิจโซโห หน่วยงานราชการ และสถาบันศึกษา”
“เอปสันได้ทดลองตลาดแล้วในช่วงต้นปี ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีมาก จนกลายเป็นชื่อติดปากของพวกตัวแทนจำหน่ายว่า ‘เครื่องแท็งค์แท้’ สำหรับเครื่องแอล ซีรี่ส์นี้ มีจุดเด่นตรงที่ประสิทธิภาพในการพิมพ์งานต่อเนื่อง โดยไม่ต้องหยุดเครื่องเพื่อเปลี่ยนตลับหมึกบ่อยๆ ประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยระบบหมึกแท็งค์ และต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่ถูก ที่สำคัญผู้ใช้จะได้งานพิมพ์คุณภาพสูง ด้วยหมึกพิมพ์แท้ของเอปสัน และยังได้รับประกันหลังการขายจากเอปสันแน่นอน”
“ระบบแท็งค์ของเอปสันแตกต่างจากเครื่องอิงค์แท็งค์ที่ไม่ได้มาตรฐานที่วางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด เพราะเป็นระบบปิด ป้องกันฝุ่นเข้าไปปนเปื้อนในน้ำหมึก ป้องกันหมึกระเหยจนหมดเร็ว ทั้งยังมีกลไกควบคุมการไหลของน้ำหมึก ช่วยป้องกันหมึกรั่ว และขนย้ายสะดวก ไม่เกิดฟองอากาศภายในท่อส่งหมึกระหว่างการขนย้าย การเติมน้ำหมึกก็ทำได้ง่ายกว่ามาก ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า FIT ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าไม่มีรอยรั่วหรือหมึกเลอะในขณะที่เติมหมึก”
Epson L100 เป็นเครื่องรุ่นซิงเกิ้ลฟังก์ชั่น เปิดตัวในราคา 5,290 บาท และ Epson L200 ที่เป็นมัลติฟังก์ชั่นพรินเตอร์ ราคา 6,290 บาท สามารถพิมพ์งานขาวดำ ได้มากถึง 4,000 แผ่นต่อหมึกดำ 1 ขวด ด้วยต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นเพียง 6 สตางค์ และพิมพ์สีได้ถึง 6,500 แผ่น เพียง 11 สตางค์ต่อแผ่น สำหรับชุดโปรโมชั่น เอปสันแถมหมึกดำเพิ่ม 2 ขวด พร้อมเครื่อง และรับประกันการใช้นาน 1 ปี หรือ 15,000 แผ่น
ส่วนเครื่องรุ่นล่าสุด Epson L800 เป็นโฟโต้พรินเตอร์ 6 สี แบบซิงเกิ้ลฟังก์ชั่น เปิดตัวในราคา 9,900 บาท สามารถพิมพ์ภาพขนาด 4R ด้วยต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นเพียง 1.5 บาท ได้มากถึง 1,800 ภาพ ทั้งยังพิมพ์บนซีดีและดีวีดีได้ เหมาะกับธุรกิจโฟโต้แล็ป
“2554 นี้ จะเป็นปีที่เอปสันเร่งเครื่องรุกตลาดตลอดทั้งปี มีการขยายตัวในหลายด้าน ทั้งไลน์สินค้า กลุ่มลูกค้า และแผนการตลาด เพื่อให้ลูกค้าของเราจะได้สัมผัสกับคุณค่าทุกด้าน” นายยรรยง กล่าวสรุป