แบรนด์ไฮโซลดชั้น จับกลุ่มชนชั้นกลาง

เพราะว่าชนชั้นกลางของโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นสูง ในตลาดเอเชียจะมีกลุ่มชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น 85% ในปี ค.ศ. 2020 ส่วนเมืองอื่นๆ ในประเทศกำลังเติบโตหรือแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ก็มีแนวโน้มเดียวกัน และคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นพลังสำคัญของโลก ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ แบรนด์หรูทั้งหลายเลยมองว่าเป็นโอกาสที่จะเติบโตจากคนกลุ่มนี้เพื่อขยายฐานลูกค้าจากเดิมที่มีแค่กลุ่มไฮโซเท่านั้น

อินไซท์ของชนชั้นกลางกลุ่มนี้ก็คือ ต้องการแสดงสถานะทางสังคมที่เพิ่งได้มาใหม่ ยอมเก็บเงินหลายเดือนเพื่อซื้อกระเป๋าหรูใบเดียว หรือยอมซื้อสินค้าเงินผ่อน ซึ่งทำให้แบรนด์หรูทั้งหลายปรับตัวหลายวิธีเพื่อสร้างสรรค์โปรดักต์เข้าถึงคนกลุ่มนี้ โดยใช้การปรับลดความหรูหราลงมาผลิตสินค้าที่ลูกค้าชนชั้นกลางสามารถเลือกซื้อได้ แบรนด์แฟชั่นที่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราอย่าง Louis Vuitton สร้าง Position ให้กับสินค้ากลุ่มที่เรียกว่า Mass-Chic ในตลาดที่เซี่ยงไฮ้จนกลายเป็นตลาดอันดับ 2 ของหลุยส์ วิตอง สอดคล้องกับแบรนด์ Coach ที่ยอมรับว่าคอลเลกชั่นจากรันเวย์หรือสินค้าระดับไฮเอนด์เป็นตัวสร้างภาพลักษณ์เท่านั้น รายได้จริงมาจากกลุ่มสินค้าที่ราคาแข่งขันได้ และตอนนี้ตลาดที่ Coach สนใจก็คือเอเชีย แต่มีแผนมองที่ละตินอเมริกาไว้แล้ว ขณะที่แบรนด์หรูอื่นอย่าง Chloe, Hermes และ Patek Philippe ยังยึดติดอยู่กับการขายให้กับกลุ่มลูกค้า Ultra Rich อยู่

ส่วนแบรนด์หรูจากฝั่งอังกฤษอย่าง Jimmy Choo กับ Burberry ก็เน้นที่การบุกตลาดในเมืองใหญ่ ด้วยความหวังที่ว่าภายในปี 2015 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 60% จากกลุ่มเป้าหมายนี้ในจีน บราซิล และอินเดีย แบรนด์หรูของอังกฤษจับมือกันทำอีเวนต์ที่ชื่อว่า British Luxury in China ภายใต้การนำของรัฐบาล ด้วยการเปิดตัวที่การแข่งขันรถฟอร์มูล่า 1 ที่เซี่ยงไฮ้และมีแผนจะทำแบบเดียวกันนนี้ที่อินเดีย Vince Cable รัฐมนตรีด้านธุรกิจของรัฐบาลอังกฤษ กล่าวว่า ที่ทำแคมเปญดังกล่าวก็เพื่อที่จะครองตลาดชนชั้นกลางในประเทศเหล่านี้ให้ได้ก่อนที่แบรนด์อื่นจะทำ Angela Ahrendts ซีอีโอ Burberry เองก็บอกว่าสถานการร์ของแบรนก์แฟชั่นหรูเปลี่ยนแปลงไปจากปี 2006 ก่อนที่เธอจะรับตำแหน่งอย่างสิ้นเชิง ในระยะหลัง Burberry จึงต้องใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เข้าถึงผู้บริโภคระดับแมสมากขึ้น

ในประเทศพัฒนาแล้วชนชั้นกลางก็มีอิทธิพลมากขึ้นเช่นกัน ทำให้จากเดิม British Virgin Islands หมู่เกาะที่โปรโมตว่าตัวเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดหรูมาตลอดเกือบ 2 ทศวรรษ ก็ปรับตัวเพื่อตอบรับชนชั้นกลางของอเมริกากับแคนาดาที่เดินทางมาท่องที่ยวมากขึ้นทุกวัน เริ่มมีโรงแรมไล่ระดับตั้งแต่ 2-5 ดาวและต้องการพนักงานในภาคบริการเพิ่ม จากเดิมที่มีแต่บริการหรูๆ เท่านั้น โดยอินไซท์ที่สำคัญที่บอร์ดการท่องเที่ยวของหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้นค้นพบก็คือ นักท่องเที่ยวเริ่มมองว่าบริการท่องเที่ยว การเดินทางสะดวกในราคาที่ต่ำลง และมีแคมเปญโฆษณาหมู่เกาะแห่งนี้โฟกัสที่ตลาดลูกค้าในอเมริกาเหนืออย่างจริงจัง

Burberry ใช้ Romeo Beckham ลูกชายของ เดวิด-วิคตอเรีย เบ็คแฮม ในผลงานโฆษณาคอลเลกชั่น Spring/Summer 2013 ขยายตลาดเสื้อผ้าเด็กด้วยคนที่มีชื่อเสียงระดับแมส