ดังได้ใจ “เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข” กับบทบาทคุณชายพุฒิภัทร แห่งวังจุฑาเทพ ละครดังที่ผลักดันหนุ่มน้อยคนนี้โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน จนกลายเป็นกระแส “เจมส์ จิ” ถูกนำไปเทียบกับซุปตาร์ดังอย่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” แถมแบรนด์ดังยังรุมตอมคว้าไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วยค่าตัวหลัก 10 ล้านอัพ เบื้องหลังความดังของ “เจมส์ จิ” มี “ปิ๊ก ฌาณฉลาด ชายหนุ่มผมยาว คือผู้ที่ ชักพาเด็กหนุ่มจากพิจิตรเข้าสู่เส้นทางความสำเร็จวงการบันเทิง… มาดูเส้นทางชีวิต และแนวคิดของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักปั้น” ที่กำลังถูกจับตามากที่สุดคนหนึ่งของวงการบันเทิงในเวลานี้ POSITIONING พบกับ “ปิ๊ก ฌาณฉลาด” ชายหนุ่มผมยาวมาดเท่ วัย 40 กว่า ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ก่อนจะมายึดอาชีพ “ผู้จัดการดารา” ปิ๊กเคยผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ปิ๊ก เกิดและโตมาในหมู่บ้านเล็กๆ ของอำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่บ้านทำนา เลี้ยงวัวและควาย ใช้ชีวิตชนบทที่ไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ใฝ่ฝันมาใช้ชีวิตในเมืองจึงได้ติดตามพี่สาวมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เคยเป็นพนักงานเสิร์ฟ ผู้ช่วยแม่ครัวในร้านอาหาร เป็นคนงานในโรงงานรองเท้ารีบอค ได้เข้าวงการบันเทิง เป็นนายแบบสมัครเล่น ขึ้นปกหนังสือวัยรุ่น และถ่ายโฆษณา รับจ้างแจกแบบสอบถามทำวิจัยให้เอเยนซี่โฆษณา เคยทำงานเป็นช่างภาพก่อนจะเข้าสู่วงการโมเดลลิ่ง เคยทำยอด 60 ล้านบาทให้โมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง จากการหาดาวรุ่งดวงใหม่ ศรราม เทพพิทักษ์, ธัญญาเรศ รามณรงค์ จากนั้น ปิ๊กก็ใฝ่ฝันยึดอาชีพผู้จัดการดารา ใช้วิธีศึกษาจากตำราของต่างประเทศ และเปิดบริษัท บางกอก โมเดลลิ่งขึ้น มีดาราดังอย่าง รวิชญ์ เทิดวงส์, ดอน ธีระธาดา, จ๊อบ นิธิ สมุทรโคจร, พาเมล่า เบาว์เด้น, เคลลี่ ธนะพัฒน์, แดน สมุทรโคจร, วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์, ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์ “ทำไปสักพักเราก็เบื่อ เราอยากให้ดาราเขามีวงจรอยู่ได้นานๆ เหมือนกับดาราในต่างประเทศ แต่บ้านเราไม่มีพื้นที่สำหรับดาราหน้าเก่า เขาต้องการดาวรุ่งดวงใหม่ตลอดเวลา ผมก็เลยไปหาทำงานด้านการเมือง” หลังจากลงเรียนรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ภาคพิเศษ ปิ๊กได้กระโดดเข้าทำงานการเมืองเป็นที่ปรึกษา ดูแลภาพลักษณ์ ให้กับนักการเมือง พรรคการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นจนถึงการเลือกตั้งระดับประเทศอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหวนกลับมายึดอาชีพ “นักปั้น” ดาวรุ่งดวงใหม่ โดยได้มาสะดุดกับ เจมส์ จิรายุ บนเฟซบุ๊ก “ผมเจอน้องเขาในเฟซบุ๊ก รู้แค่ว่าเขาอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ก็เลยตามหาผ่านคนที่พอจะรู้จัก ครูในโรงเรียนที่น้องเคยเรียน และลิงค์ต่อไปเรื่อยๆ จนได้คุยกับคุณพ่อของน้องเขาที่พิจิตร จริงๆ แล้วก่อนหน้าผมก็มีคนมาติดต่อเขาเยอะ 7-8 ราย คุณพ่อเขาก็ถามผมว่าวางแผนอะไรให้น้องเขาบ้าง ผมก็บอกว่า จะกลับมาวงการพร้อมกับน้องเขา” จากนั้น เส้นทางบันเทิงก็เริ่มขึ้น เมื่อปิ๊กได้พาเจมส์ จิ ไปพบกับสมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการช่อง 3 ที่หยิบสัญญามาเซ็นสัญญาเป็นดาราในสังกัดสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เป็นเวลา 5 ปี และเป็นจังหวะเดียวกับที่ช่อง 3 กำลังหาดาวรุ่งดวงใหม่มาเล่นในละครพีเรียด เรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ เป็นคุณชายคนที่ 3 อยู่พอดี
ปิ๊กมองว่า ความสำเร็จของ เจมส์ จิ มาจากความเก่งผสมกับความเฮง 3 ส่วน 1.พื้นฐานครอบครัว สนับสนุนให้เข้าวงการ และฝึกฝนเรื่องของดนตรีและการแสดง 2.ความโชคดี และ3.การบริหารจัดการ “ถือว่าเจมส์เขาโชคดี ช่อง3 กำลังแคสติ้งหาคนมาเล่นเป็นคุณชายพุฒิภัทรพอดี และการได้มาเล่นละครซีรี่ส์แนวพีเรียด ซึ่งถือว่าเป็นความแปลกใหม่ในช่วงที่ละครจะมีแต่เรื่องแนวเดียวกัน ในขณะที่ละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพจะเน้นความสวยงามของภาพ เรื่องราวกระชับ ใช้ภาษา และบุคลิกภาพที่ดูทันสมัย ถูกใจคนดู” การที่เจมส์ได้มาเล่นละครซีรี่ส์ที่มีถึง 5 ตอน เท่ากับว่าได้ฝึกฝนการแสดงมาระดับหนึ่ง เมื่อมาถึงตอนที่ต้องรับบทพระเอกก็เลยแสดงได้คล่อง บวกกับการที่เจมส์ต้องผ่านการเรียนมาอย่างหนัก ก่อนหน้าจะเล่นละคร เจมส์ จิต้องเข้าคลาสเรียนร้องเพลง เรียนเต้น พัฒนาบุคลิกภาพ ของทางช่อง และในชั้นเรียนของมีตา ทาเลนต์ แมเนจเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของปิ๊กที่ร่วมหุ้นกับผู้บริหารของเจเอสแอล บริษัทมีตา ทาเลนต์ แมเนจเมนต์ จะเป็นทั้งโรงเรียน หาดาวรุ่งดวงใหม่ป้อนให้กับวงการบันเทิง รับบริหารภาพลักษณ์ เพิ่มมูลค่าในศิลปิน เช่น เมื่อเป็นดารา นักร้อง หรือคนที่มีชื่อเสียงแล้ว ชื่อเสียงไปทำอะไรได้บ้าง เช่น เป็นแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องดื่ม เมื่อวันหนึ่งการแสดงอิ่มตัวก็ยังมีรายได้ต่อเนื่อง “คนใหม่ที่อยู่กับเราทั้ง 24 คน คุณได้มาเทรนช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ต่อให้คุณไม่ได้เป็นดารา คุณก็ได้วิธีคิดไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย แต่ละคนจะมีความสามารถแตกต่างกัน บางคนเล่นดนตรีเก่ง บางคนเล่นตลก ปิ๊กบอกว่า การเฟ้นหา “ดาวรุ่ง” ของเขาเปรียบได้กับการค้นจิวเวลรี่แล้วเอามาร่อน มีทั้งคนแนะนำ หาเอาเอง โดยจะใช้ประสบการณ์ บวกกับสัญชาตญาณและประสบการณ์ที่เคยทำงานด้านภาพลักษณ์ทางการเมือง ช่วยลับความคิดของเขาในการหวนกลับมาสู่เส้นทางนี้แหลมคมมากขึ้น “ผู้จัดการดารายุคนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อน ยุคนี้เราต้องมองในแง่ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน เหมือนกับการบริหารธุรกิจ หรือกิจการ หรืออย่างนักร้องดังของเกาหลี ก็มีการวางแผนชัดเจน ต้องเริ่มจากพื้นฐาน คือตัวของนักแสดง ที่ต้องถูกฝึกฝน และทุ่มเท โดยเฉพาะเรื่องงานแสดง อะไรก็ตามที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ในวิชาชีพนี้ ผมก็หยิบเอาแรงบันดาลใจมาขับเคลื่อนธุรกิจนี้” เส้นทางการปั้นดาวรุ่งอย่าง เจมส์ จิรายุ นอกจากเล่นละคร เล่นหนัง ที่ถือเป็นเรื่องแรกที่ให้ความสำคัญ เพราะถือว่าเป็น “ต้นทาง” ของความสำคัญ “การที่คุณจะได้โฆษณาดีๆ สักเรื่องก็ต้องมาจากละครที่คุณต้องทุ่มเทมากๆ วงการนี้เก่าไป ใหม่มา โชคดีที่เจมส์เขาฝึกฝนอย่างหนักจนทำให้เรามีวันนี้ ดังนั้นผมจะให้ความสำคัญกับละครก่อนเป็นอันดับแรก”
ส่วนการโปรโมต ปิ๊กบอกว่า เริ่มทำตั้งแต่ละครออนแอร์ ส่วนใหญ่จะร่วมมือกับทางช่อง มีทั้งให้สัมภาษณกับสื่อสิ่งพิมพ์ และถ่ายปกในแมกกาซีนเล่มต่างๆ ซึ่งจะสะท้อนได้ถึงความดัง เพราะถ้านิตยสารนำไปขึ้นปก ย่อมได้รับความสนใจจากเอเยนซี่โฆษณาที่ติดต่อเข้ามาหลายแบรนด์ แต่เขามองว่า ต้องรอเวลาให้สุกงอม “มีโฆษณาติดต่อเข้ามาเยอะ แต่เราไม่อยากรีบร้อน เพราะธุรกิจการแข่งขันมันก็สูงอยู่แล้ว ความต้องการใช้พรีเซ็นเตอร์มีมาก ผมไม่อยากเลือกที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ หรือเลือกรับทีละหลายๆ ตัว แต่เลือกสินค้าหรือแบรนด์ที่มีแอคทิวิตี้ตลอดทั้งปี และเป็นแบรนด์ที่พร้อมไปกับเรา เข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง อย่างเอไอเอส ที่เขามองไปทางเดียวกับเรา คือวางให้เจมส์ จิ มีความสดใส และมีอนาคต เป็นการวางมาตรฐานเดียวกับมาตรฐานโลก “ค่าตัว 14 ล้านบาทของเอไอเอสสำหรับโฆษณาทีวี 7 ชิ้น ออกสื่อทุกสื่อ ทั้งพรินต์มีเดีย บิลบอร์ด ออนไลน์ ออกอีเวนต์ 10 งาน กับค่าตัวขนาดนี้ ถือว่าไม่สูง ถ้าคิดเป็นระยะเวลาที่ให้กับแบรนด์ ก็ต้องมีถึง 30 วัน ในช่วง 1 ปี ถือว่าไม่น้อย” สินค้าที่เหมาะกับเจมส์ จิ ควรเป็นสินค้าที่มีความทันสมัย มีดีไซน์ สนุก น่าเชื่อถือ จับต้องได้ เป็นตัวจริง นอกจากเอไอเอส วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ได้เซ็นสัญญากับค่ายรถยนต์แห่งหนึ่ง โดยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับรถยนต์อีโคคาร์ ส่วนงานอีเวนต์ ปิ๊กบอกว่า ที่ไม่เห็นเจมส์ จิออกงานเหมือนกับนักแสดงดังคนอื่นๆ ที่พอดังแล้วก็ยึดตำราน้ำขึ้นให้รีบตัก ออกงานอีเวนต์คิดค่าตัวหลักหลายแสน ในมุมของปิ๊ก เขาเลือกที่จะออกงานของแบรนด์หรือสินค้าที่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์เป็นหลัก และงานการกุศล ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เห็นชอบเท่านั้น “ผมมองว่า งานพรีเซ็นเตอร์โฆษณา งานอีเวนต์ เป็นผลพลอยได้ เราไม่ได้มุ่งหารายได้จากสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งสำคัญคืองานแสดงละคร หนัง เป็นหลัก จากนี้จะมีละครเรื่องใหม่ที่กำลังถ่ายทำ ออนแอร์เดือนตุลาคม ปลายปีมีแฟนมีทติ้งเดือนธันวาคม ช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ปีหน้ามีหนังโรงเรื่องไทม์ไลน์ ระหว่างนั้นก็มีโฆษณา มีอีเวนต์ เราจะทำให้เห็นเจมส์ จิ ตลอดทั้งปี การเป็นดาราหน้าใหม่ การมีงานต่อเนื่อง ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น ความดังของ “เจมส์ จิรายุ” เพียงชั่วข้ามคืนจึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับซุปตาร์ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ปิ๊กบอกว่า “เจมส์ จิ ไม่ใช่ซุปตาร์ แต่เป็น Rising Star เป็นนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่ที่น่าจับตา” ปิ๊กบอกว่า เขาเป็นนักปั้นที่ยังยึดสไตล์แบบดั้งเดิม คือคนที่ผมเลือกมาเขาต้องเป็นคนที่มีอะไรมาแล้ว ทั้งหน้าตา และพื้นฐานความสนใจ “ผมเป็นแบบ Old Style นักปั้นดารายุคเก่า เพราะผม ไม่มีความรู้เรื่องการปรับโครงสร้างคนให้ดูดีได้ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือถนัดปั้นดินให้เป็นดาว เขาต้องมีอะไรมาแล้วบ้าง” อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เขายังต้องทำเสมอ คือ การเพิ่มทักษะด้านการแสดงและเรียนรู้ความเป็นสากล ในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน จะเป็นช่วงที่เจมส์ จิรายุ บินไปเข้าคอร์สเรียน ร้องและเต้น กับ CUBE ENTERTAINMENT ค่ายเพลงของเกาหลี ที่มีนักร้องในสังกัดอย่าง เกิร์ลกรุ๊ป 4minute, วงบอยแบนด์ BEAST, ศิลปินหญิงฮยอนอา, วงBTOB บอยแบนด์น้องใหม่ “อย่างที่บอก เราต้องเพิ่ม เพราะสิ่งสำคัญคือตัวของน้อง เราเพิ่งคุยกัน สิ่งสำคัญบนเส้นทางของเขาคือการให้ความเอนเตอร์เทนเมนต์ เขาต้องร้อง เล่น เต้น แสดงครบเครื่อง”
ส่วนเปอร์เซ็นต์ในการคิดจากค่าตัวดารา “เป็นราคาเดียวกับท้องตลาด 30% ของรายได้จากค่าตัวการเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ถ้าเป็นงานทั่วไป งานละคร จะคิด 20% ของรายได้จากงานละคร” นี่คือเส้นทางของนักปั้นดาวรุ่ง ปิ๊ก ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์ ผู้ชายที่แจ้งเกิด เจมส์ จิรายุ