ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มอง ปัญหาหนี้ครัวเรือน ต้องแก้ด้วยการส่งเสริมการออมทั้งระบบและใช้จ่ายให้น้อยลง เป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศในระยะยาว
หนี้ครัวเรือนของไทยที่เกิดจากระบบสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้นเร็วจนมีขนาดร้อยละ 75 ของ GDP ในไตรมาสแรกปีนี้ จากร้อยละ 57 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 โดยมาจากธนาคารพาณิชย์ร้อยละ 42 สถาบันการเงินของรัฐร้อยละ 30 สหกรณ์ออมทรัพย์ร้อยละ 15 บริษัทบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลร้อยละ 10 และ อื่นๆ เช่น บริษัทประกัน โรงรับจำนำ อีกร้อยละ 3 สำหรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตามการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ แบ่งหลักๆได้เป็นสินเชื่อเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 46 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ร้อยละ 29 และ สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคอื่นๆ (รวมสินเชื่อเงินสด) ร้อยละ 24 ซึ่งหากสังเกตการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเทียบกับสิ้นปี 2551 พบว่าสัดส่วนสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ลดลงร้อยละ 8 ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อและบริโภคอื่นๆมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เห็นได้ชัดว่าการกู้เพื่อมาอุปโภคบริโภคนั้นมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์หนี้ที่เน้นการอุปโภคบริโภคอย่างการซื้อรถ เครดิตการ์ด และสินเชื่อเงินสดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนใจให้เราต้องกลับมาคิดใหม่ว่าควรปรับการบริหารการใช้จ่ายใหม่หรือไม่ เนื่องจากสถิติช่วงประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา พบว่า การใช้จ่ายภาคเอกชนต่อหัวโดยประมาณว่าเป็นตัวแทนของครัวเรือนเพิ่มร้อยละ 5.4 ต่อปี
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ เงินฝากถัวเฉลี่ยต่อบัญชีที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท เพิ่มจาก 72,389 บาท เป็น 87,141 บาท ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนประกันชีวิตมีจำนวนเงินเอาประกันต่อกรมธรรม์เพิ่มจาก 194,745 บาท เป็น 230,880 บาท แสดงให้เห็นว่าการออมผ่านเงินฝากและการทำประกันชีวิต ซึ่งถือเป็นการออมขั้นพื้นฐานเพราะเข้าถึงได้ง่าย เพิ่มขึ้นในอัตราพอๆกันคือประมาณร้อยละ 3 ต่อปีเท่านั้น ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของการใช้จ่าย
เราจึงต้องหันกลับมาใส่ใจและปรับตัวก่อนที่เหตุการณ์จะสายเกินแก้ ไม่ว่าจะเป็นการลดการบริโภคในสิ่งที่เกินตัวหรือเกินความจำเป็นโดยหันมาเก็บออมให้มากขึ้น การที่เราจะประสบความสำเร็จดังกล่าวได้ ต้องมีการร่วมกันในทุกภาคส่วน กล่าวคือ ด้านสถาบันการเงินควรนำเสนอผลิตภัณฑ์การออมที่หลากหลายแก่ผู้บริโภคให้ออมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่ทางการควรพิจารณาและดำเนินการออกกฎหมายสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้เกิดการออมมากขึ้น เช่น การลดหรือยกเลิกอัตราภาษีดอกเบี้ยเงินฝากประจำ การเพิ่มลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิตให้มากกว่า 100,000 บาท เป็นต้น รวมถึงการสร้างวินัยการออมที่ดูเหมือนเป็นการบังคับแต่จริงๆแล้วมีความสมัครใจเป็นพื้นฐานอย่างกองทุนการออมแห่งชาติที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 11 พฤษภาคม 2554 แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้น โดยกองทุนนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนที่อยู่นอกระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น สามารถออมโดยรัฐบาลช่วยสมทบเงินให้ส่วนหนึ่งด้วย เช่นเดียวกับกองทุนทั้งสองดังกล่าวที่ฝั่งรัฐบาลหรือนายจ้างจะช่วยจ่ายเงินสมทบออมให้ ซึ่งเมื่อเกิดแรงจูงใจที่ผู้บริโภคสามารถรู้สึกและสัมผัสได้ว่า การเก็บออมคุ้มค่ากว่าการใช้จ่าย ระดับการออมก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและการก่อหนี้ก็จะลดลงโดยปริยาย
การออมของประชาชนจึงมีความสำคัญมากต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ทั้งในระยะสั้นและยาว เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทยที่จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะเราคงไม่ควรหวังพึ่งน้ำบ่อหน้ามากนัก เนื่องจากจะไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า เมื่อถึงเวลาต้องชะโงกหน้าเหนือบ่อแล้ว ท้ายสุดจะมีน้ำเหลือให้เราหรือไม่