เมก้า ไลฟ์ ไซแอ๊นซ์ ลงทุนขยายฐานการผลิตใหม่ในออสเตรเลีย พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับตลาดประเทศไทย

บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน และยารักษาโรคคุณภาพสูง ประกาศกลยุทธ์ทางธุรกิจในการเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับตลาดประเทศไทย ซึ่งผลิตภัณฑ์ชั้นนำของบริษัทฯ อย่างแนทซี (Nat C) แนทบี (Nat B) น้ำมันปลาและโกเฟน (Gofen) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำด้านคุณภาพตั้งแต่เริ่มการผลิตมาตั้งแต่ปี 2528 บริษัทฯ ได้ประกาศ 3 กลยุทธ์หลักเพื่อเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ อันได้แก่ การขยายฐานการผลิตใหม่ในประเทศออสเตรเลีย การลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคุณภาพในประเทศไทย รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของบริษัทฯ

การประกาศกลยุทธ์ครั้งนี้สืบเนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ที่ยอดขายผลิตภัณฑ์โดยรวมเติบโตถึงร้อยละ 30.1 โดยสามารถทำยอดขายถึง 566.9 ล้านบาทเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 นอกจากนี้ ยอดขายทั่วโลกของบริษัทฯ ก็เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 โดยยอดขายทั่วโลกเติบโตขึ้นถึง 20.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและชีฟโค้ช บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการพัฒนาครั้งนี้ว่า “ในโรงงานการผลิตของเรา และในตลาดประเทศอื่นๆ อีก 29 ประเทศที่สินค้าภายใต้แบรนด์ของเราจำหน่าย เมก้ายึดมั่นต่อคุณภาพและการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ภายใต้การผลิตทางเภสัชกรรมระดับโลก โดยกลยุทธ์หลัก 3 ประการของเราเพื่อเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับตลาดประเทศไทย ได้แก่ การขยายฐานการผลิตอันทันสมัยแห่งใหม่ในประเทศออสเตรเลียเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทยรวมถึงตลาดอื่นๆ ของเมก้าในต่างประเทศ การลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพในประเทศไทย ตลอดจนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงตัวใหม่และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยสำหรับตลาดประเทศไทย ทั้งหมดเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย โดยความสำเร็จในครึ่งปีแรกที่ผ่านมานับเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในประเทศไทย ซึ่งกลยุทธ์ด้านคุณภาพของเราจะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ”

องค์ประกอบแรกในกลยุทธ์ของเมก้า คือการขยายฐานการผลิตใหม่อันทันสมัยของเมก้าในประเทศออสเตรเลียเพื่อเป็นศูนย์การกลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดเคี้ยว โดยมีกำลังผลิตสูงสุดต่อผลิตภัณฑ์ชนิดผง 650 เมตริกตัน, ผลิตภัณฑ์แคปซูลแข็ง 13 ล้านแคปซูล และผลิตภัณฑ์ชนิดเม็ด 155 ล้านเม็ดต่อปี ทั้งนี้ เมก้าเป็นบริษัทด้านเภสัชกรรมของไทยบริษัทแรก ที่ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากโรงงานผลิตของตัวเองในประเทศออสเตรเลียมายังประเทศไทยตั้งแต่ปี 2545 จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของตลาด โรงงานที่ออสเตรเลียของเมก้าจะสามารถขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดประเทศไทย และเพิ่มศักยภาพการผลิตของโรงงานในประเทศไทย

“ตลาดผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในประเทศออสเตรเลีย เป็นตลาดที่ได้รับการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก” นายวิเวกกล่าว เพิ่มเติม “คุณภาพเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยการตรวจสอบคุณภาพของเรามีมาตรฐานเหนือกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ และนวัตกรรมจากโรงงานของเราในออสเตรเลียก็ส่งผลดีต่อตลาดประเทศไทย และเรากำลังรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

องค์ประกอบที่ 2 ในกลยุทธ์ทางธุรกิจของเมก้า คือการลงทุนอย่างต่อเนื่องของเมก้าในการควบคุมและการประกันคุณภาพที่โรงงานผลิต ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปูในประเทศไทย โดยเมก้าได้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องสำหรับห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพและจ้างผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คนที่ทำงานอย่างทุ่มเทในการควบคุมคุณภาพ การประกันคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงนักเคมีและเภสัชกรกว่า 100 คน โดยทั้งหมดนี้ได้รับการรับรองคุณภาพจากสถาบัน Therapeutic Goods Administration ของออสเตรเลียในปี 2536 The Federal Institute for Drugs and Medical Devices (BfArM – ประเทศเยอรมนี) ในปี 2544 อีกทั้งได้ดำเนินงานตามมาตรฐานการผลิตของสหภาพยุโรป (European Union Good Manufacturing Practices) นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ยูเครน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย เปรู เยเมน ยูกันดา และจากอีกหลายประเทศทั่วโลก

กลยุทธ์ประการที่ 3 ของเมก้า คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงใหม่ๆ และเทคโนโลยีอันก้าวล้ำที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคชาวไทย โดยในปี 2556 มีการเปิดตัว แนทดี (Nat D) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินดีที่พัฒนาและผลิตขึ้นในประเทศออสเตรเลียและปัจจุบันมีจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดรับกับความมุ่งมั่นของเมก้า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ และเป็นไปตามคำแนะนำขององค์กรด้านอาหารและสุขภาพชั้นนำของโลก

“เมก้ามีผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 138 ชนิดที่อยู่ในกระบวนการเตรียมการ โดยอยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 59 ชนิด และอยู่ระหว่างการขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ 79 ชนิด โดยเราได้จัดสรรเงินลงทุนประมาณร้อยละ 1.5 ถึงร้อยละ 2 ของยอดขายทั้งปีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ผลิตภัณฑ์ของเมก้าเหล่านี้จะช่วยดูแลสุขภาพของคนไทยให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้บริษัทมีความแข่งแกร่งทางการแข่งขันมากขึ้น” นายวิเวก กล่าวเพิ่มเติม

ในด้านเทคโนโลยี เมก้าจะเปิดตัว อเลอเทน คิว 100 (Alerten – โคเอ็นไซม์ คิว 10) ที่ผลิตโดยเทคโนโลยีที่ได้จดสิทธิบัตรจาก เวย์ซิซอฟ (VESIsorb®) ที่เพิ่มการดูดซึมโคเอ็นไซม์คิว 10 สารอาหารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองและจำเป็นต่อการทำงานพื้นฐานของเซลล์ ซึ่งอาจต้องได้รับเพิ่มในบางกรณี โดยเมก้าเป็นผู้ผลิตรายเดียวในประเทศไทยที่ได้สิทธิบัตรของเทคโนโลยีดังกล่าวที่พัฒนาโนโดยบริษัท เวย์ซิแฟค (Vesifact) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ นอกเหนือไปจากเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว เมก้ายังมีเทคโนโลยีของบริษัทฯ เช่น เทคโนโลยีเคลียร์แคป (Clearcap) อีมัลแคป (Emulcap) และ เอ็มเอสซีซี คอมเพล็กซ์ แอคติโซม (MSCC Complex Actisome) เทคโนโลยีทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค และทำให้ผลิตภัณฑ์ของเมก้าแตกต่างจากคู่แข่งอย่างแท้จริง

“มาตรฐานด้านคุณภาพของเมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก” นายวิเวกกล่าวสรุป “ในขณะเดียวกันคุณภาพก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง และทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาด โดยองค์ประกอบหลัก 3 ประการของกลยุทธ์ทางธุรกิจของเราจะเพิ่มศักยภาพในอนาคตของเราในประเทศไทยอย่างแน่นอน”