ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่สอง มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่กำไรลดลง เนื่องจากความต้องการสินค้าในประเทศชะลอตัวลง เชื่อมั่นในระยะยาวเศรษฐกิจไทยและอาเซียนยังเติบโต มุ่งพัฒนาสินค้า HVA และเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ก้าวสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน พร้อมเสนอจ่ายปันผลงวดระหว่างกาลในครึ่งปีแรก 5.5 บาทต่อหุ้น
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่างบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สอง ปี 2557 มีรายได้จากการขาย 124,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 8,532 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจการลงทุนและธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมทั้งความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศชะลอตัวลง ทำให้ต้องเพิ่มสัดส่วนการส่งออก ซึ่งมีมาร์จิ้นน้อยกว่า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากธุรกิจการลงทุน ซึ่งชดเชยผลการดำเนินงานของทุกธุรกิจที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนได้
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 246,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจ มีกำไรสำหรับงวด 16,913 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ประกอบกับในปีนี้มีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขาย 21,361 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สองของปี 2557 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย มีรายได้จากการขาย 11,100 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม คอนกรีตผสมเสร็จในเมียนมาร์ และปูนซีเมนต์ในกัมพูชา ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มูลค่า 76,811 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มีมูลค่า 462,386 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สอง ปี 2557 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 46,378 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม และการรับรู้รายได้ของบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด ตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ปี 2556 แต่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 64,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,259 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น ส่วนต่างราคา PVC-EDC/C2 ลดลงค่อนข้างมาก และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 15,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่ลดลงของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไรสำหรับงวด 887 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 29จากไตรมาสก่อน
นายกานต์ กล่าวว่า สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA products and services) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 84,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 74,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 30 ของยอดขายรวม
“เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอตัวลง และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่สาม แต่ด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของภาคประชาชนและธุรกิจ ประกอบกับทิศทางการส่งออกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวกลับคืนมาได้ในไตรมาสสุดท้าย และจะเห็นผลชัดเจนในปี 2558 ทั้งนี้ เอสซีจี ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นขยายการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกของเอสซีจีในไตรมาสที่สอง ปี 2557 เท่ากับ 37,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่ารายได้จากการส่งออกในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน นอกจากนี้ เอสซีจี ยังเชื่อมั่นว่าในระยะยาวเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่ได้วางไว้ อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน สปป.ลาว อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน” นายกานต์ กล่าว
คณะกรรมการบริษัท มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2557(SCC18OA) จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้
จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC14OA จำนวน 5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยเสนอขายให้กับ (1) ผู้ถือหุ้นกู้ (SCC14OA) ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป (2) ผู้ถือหุ้นกู้ SCC ชุดอื่น ๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และ (3) นักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ตามรายละเอียดที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 151,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2557 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 6,600 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 7 สิงหาคม 2557 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 13 สิงหาคม 2557 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 14 สิงหาคม 2557