เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่สาม และ 9 เดือนแรกของปี 2557 มุ่งผลักดันสินค้า HVA ต่อเนื่อง คว้าที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน 4 ปีซ้อนจาก DJSI

ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่สาม มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่กำไรลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่สาม ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ ประกาศเดินหน้าโครงการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ตามกลยุทธ์มุ่งสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียน พร้อมคว้าที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Construction Materials Industry) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จากการประเมินและจัดอันดับของ DJSI

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สาม ปี 2557 มีรายได้จากการขาย 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่รายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 7,846 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่สาม ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 24,759 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 ประกอบกับมีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง

สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขาย 32,565 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สามของปี 2557 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนมีรายได้จากการขาย 11,204 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Vina Kraft ผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเวียดนาม และ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม รวมถึงคอนกรีตผสมเสร็จและปูนซีเมนต์ในกัมพูชา ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มูลค่า 79,235 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 มีมูลค่า 473,405 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สาม ปี 2557 แยกตามรายธุรกิจดังนี้

เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 46,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ของกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนและรายได้จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,072 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท

เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 64,337 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขาย Polyolefins ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 16,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของทั้งสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ และสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีกำไรสำหรับงวด 715 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลง

นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในปี 2558 ทั้งนี้ เอสซีจียังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุนมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ในโครงการขยายการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป (Mortar) ปูนสำเร็จรูป HVA สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนัง ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ สะดวกต่อการใช้งาน และเหมาะกับการใช้ในงานก่อ-ฉาบอิฐมวลเบา โดยเอสซีจีได้ขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป 2 ล้านตันต่อปี เป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยก่อสร้างที่จังหวัดขอนแก่นและลำปาง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 และโครงการร่วมทุนธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในอาเซียน โดยเอสซีจีจะเข้าร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50:50 กับบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัทโกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยเป็นเงินลงทุนในส่วนของเอสซีจีประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน

ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนของเอสซีจี ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ โดยโครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย และโครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่สองในกัมพูชาจะแล้วเสร็จ และเริ่มผลิตได้ในปี 2558 ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะสามารถสรุปวงเงินลงทุนได้ภายในต้นปีหน้า นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการ Precast Concrete Panel นวัตกรรมผนังสำเร็จรูป เพื่อทดแทนการก่ออิฐและฉาบผนังแบบเดิม ที่มีความแข็งแรง ติดตั้งง่าย ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน 2 แห่ง คือที่จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดสระบุรี คาดว่าจะสามารถผลิตได้ในไตรมาสที่สอง ปี 2558

สำหรับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนนั้น ที่ผ่านมา เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสที่สามของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 42,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 36,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 29 ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล่าสุด เอสซีจีได้รับการประเมินและจัดอันดับในดัชนีวัดประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนดาวน์โจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) ให้เป็นที่ 1 ของโลก (Industry Leader) ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Construction Materials) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับ Gold Class ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ตั้งแต่ปี 2551 สะท้อนความมุ่งมั่นของเอสซีจีในการสร้างประโยชน์สูงสุดต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมร่วมผลักดันให้ทุกภาคส่วนนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสร้างเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน