เจาะปรากฏการณ์เพจฮอต “ผมนี่…”

เปิดตัวไม่ถึง 2 เดือน ยอดไลค์ทะลุ 2 แสนไปแล้ว เพจ “ผมนี่…” ตามด้วยมุกต่างๆ ได้กลายเป็นวลีสุดฮอตจากโลกออนไลน์ มาพร้อมกับการ์ตูนลายเส้นกวนๆ สีขาวบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ 

ที่มาของเพจ “ผมนี่”

ที่มาของคาแร็กเตอร์ของตัวการ์ตูนสีขาวที่นั่งหน้าโต๊ะคอมพ์ มาจากรูปของทางต่างประเทศได้ทำขึ้นไว้ เพื่อสื่อถึงคนที่ไปเจอรูปภาพวาบหวิวอะไรในอินเทอร์เน็ต แล้วเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา จึงจะมีความหมายไปในแนวทะลึ่งนิดๆ

 

ไทยจึงมีการดัดแปลง โดยการมีตัวคาแร็กเตอร์สีขาวหน้าโต๊ะคอมพ์ตัวเดิม แต่ใส่ข้อความเป็นวลีต่างๆ เข้าไป เช่น “ผมนี่ยืนขึ้นเลย” มีที่มาจากมุกของ “ค่อม ชวนชื่น” จากภาพยนตร์เรื่อง “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” ด้วยวลีที่ว่า “กูยืนขึ้นเลย” ผสมกับวลี “ผมอึ้งไปเลย” ของ “ลุงเนลสัน” ที่โด่งดังจากคลิปวิดีโอโปรโมตหนังสือ “New York 1st Time”

จากนั้นในโซเชียลมีเดียก็เกิดรูปภาพมากมาย และเพจ “ผมนี่” ในเฟซบุ๊กก็กลายเป็นเพจที่ยอดนิยมขึ้นมาทันที เพราะเป็นแหล่งรวบรวมรูปภาพและมุกต่างๆ ที่หลายคนได้แชร์ในโซเชียลมีเดีย ก่อตั้งได้ไม่ถึงเดือน ก็มียอดไลค์กว่า 200,000 ไลค์เข้าไปแล้ว โดย “ตุ้ย – วีรวัฒน์ จีนสุกแสง” เป็นแอดมินผู้ดูเลเพจ ”ผมนี่”

“จริงๆ แล้วมีรูปจากทางฝรั่งได้ทำมาตั้งแต่ปีก่อนหน้าแล้ว แต่คนไทยเอามาดัดแปลงใส่มุก ใส่ข้อความต่างๆ เริ่มจากผมนี่ยืนขึ้นเลย ผมนี่นั่งเลย ผมนี่ตกเก้าอี้ แต่ไม่มีที่มาชัดเจนว่าใครเป็นคนทำขึ้นมาคนแรก แต่มีการแชร์ในเฟซบุ๊กมาก พอเห็นคนสนใจเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลยทำเพจขึ้นมาเพื่อรวบรวมแก๊กต่างๆ ไว้ โดยที่ผมก็ทำแก๊กเองแล้วแชร์ในเพจด้วย หลังๆ มาก็มีการทำคลิปวิดีโอสอนแฟนเพจในการตัดต่อรูปภาพทำมุกเองได้ง่ายๆ ด้วย” ตุ้ย – วีรวัฒน์ เล่าถึงความเป็นมาของเพจผมนี่

แอดมินในวัย 22 ปีรายนี้ ทำงานในวงการไอทีอยู่แล้ว เป็นฟรีแลนซ์ทำ Web Programmer พร้อมกับทำงานประจำดูแลร้านมือถือในห้างสรรพสินค้าควบคู่ไปด้วย และใช้เวลาว่างวาดรูปในไอแพด แล้วแชร์ในเพจทันที

วีรวัฒน์ บอกว่า เขาสร้างเพจขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2557 ในวันแรกมียอดไลค์เพียง 600 คนเท่านั้น ต่อมาเพิ่มขึ้นถึงวันละ 1-2 หมื่น ใช้เวลาเพียง 5 วันก็มีแฟนเพจครบ 1 แสนไลค์ และมียอดไลค์ทะลุ 2 แสน ในวันที่ 4 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา

จุดเริ่มต้นของเพจคือรวบรวมเอามุกต่างๆ มารวมไว้ในเพจ เพื่อเป็นคอมมูนิตี้ให้คนที่ชื่นชอบได้แลกเปลี่ยนมุกเพื่อเอาไปใช้กัน เนื้อหาในเพจจึงมี 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. รูปภาพที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว 2. มุกที่แฟนเพจส่งมาให้แชร์ 3. รูปภาพที่วีรวัฒน์เป็นคนวาดเอง

“ต้องยอมรับว่ารูปภาพนี้เป็นเทรนด์ในกลุ่มโซเชียล บุคคลทั่วไปสามารถเอาใช้ได้ปกติ หรือแม้แต่แบรนด์ต่างๆ ที่เห็นเอาไปใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จะเป็นเฉพาะบางรูปเท่านั้นที่แชร์ในเพจ ก็จะมีระบุเครดิตไว้ในภาพอยู่แล้วว่าเป็นสัญญาอนุญาตของเนื้อหาแบบ Creative Commons คืออนุญาตให้นำเนื้อหาไปใช้ต่อได้ แต่ต้องระบุที่มา หรืออย่าไปตัดต่อในเชิงพาณิชย์อีกทีเท่านั้น”

ความนิยมของตัว “ผมนี่” เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งตัวคอนเทนต์เอง เป็นตัวการ์ตูนที่ไม่ได้ซับซ้อน แม้จะเป็นลายเส้นง่ายๆ แต่ก็สื่อความหมายได้ และสามารถวาด หรือตัดต่อเองได้ง่ายๆ ทันที
อีกทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียก็เป็นตัวจุดกระแสให้ดังเป็นวงกว้าง เพราะเฟซบุ๊กได้มีฟีเจอร์ที่สามารถแสดงความคิดเห็นเป็นรูปภาพได้ หลายคนก็แต่งภาพ ใส่ข้อความของตนเองมาเมนต์กันได้ อย่างเวลาไปเจอคลิปวิดีโอ หรือรูปภาพที่โดนใจ ก็ใช้รูปภาพ “ผมนี่” แทนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเข้าไปได้ เช่น ผมนี่ยืนขึ้นเลย หมายถึง อาการอึ้ง ตกใจ ประหลาดใจ หรือ ผมนี่คลอเบ้าเลย ก็สื่อถึงว่าคอนเทนต์นั้นลึกซึ้งกินใจมาก

นอกจากนี้สิ่งที่วีรวัฒน์จะต่อยอดได้จากเพจผมนี่จะเป็นเรื่องรายได้จากสปอนเซอร์แล้ว การต่อยอดจากคอนเทนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เพจโตไปอย่างยั่งยืน นำคาแร็กเตอร์ตัวขาวนั่งหน้าคอมพ์มาพัฒนาเป็นคอนเทนต์ต่อไป

“ตอนนี้มีคนมาติดต่อลงสปอนเซอร์เข้ามาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะให้ทำมุกเพื่อแชร์ในเพจ มีที่ทำไปแล้วจะมี 3 แบรนด์ อย่างเพจเกม คลินิกรักษาผิว แต่ก็จะพิจารณาดูคอนเทนต์ด้วย เพราะอย่างเกม คนในเพจทุกคนก็ไม่ได้เล่นเสมอไป บางทีก็จะดูขายของมากเกินไป ส่วนเรตราคาส่วนใหญ่จะคิดเป็นราคาต่อโพสต์มากกว่า

แต่ต้องบอกว่าคอนเทนต์แบบนี้อาจจะอยู่ได้ไม่นานหรอก เป็นแค่กระแสเท่านั้น มันมาแล้วเดี๋ยวมันก็ไปเหมือนกระแสอื่นๆ แต่ขึ้นอยู่กับการเอาไปต่อยอดอย่างไร ผมมีแผนที่อาจจะต่อยอดทำเป็นการ์ตูน 3 ช่อง หรือทำเป็นเรื่องราวมากขึ้น สร้างตัวการ์ตูน หรือคาแร็กเตอร์ให้ผมนี่เป็นมากกว่ามุกที่ใช้คอมเมนต์ในเฟซบุ๊กเท่านั้น” วีรวัฒน์พูดปิดท้าย

แบรนด์ดัง – เพจดัง เกาะกระแส  “ผมนี่…”

นอกจากชาวเน็ตที่จะฮือฮากับการใช้มุก “ผมนี่” จนเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ในโลกโซเชียลแล้ว ยังพบว่ากระแสนี้ได้แพร่ไปถึงเพจดังๆ อีกมากมาย เช่น JayTheRabbit หรือคนอะไรเป็นแฟนหมี เกาะกระแสสร้างมุก “ผมนี่” ในคาแร็กเตอร์ของตัวเองด้วย

หรือแม้แต่เจ้าพ่อชาเขียว “ตัน ภาสกรนที” ที่ขึ้นชื่อในการอินเทรนด์ตามกระแสอยู่แล้ว ก็ได้ใช้มุกผมนี่ผสมไปกับแคมเปญ “แจกไอโฟนหก พลัส” “ผมนี่หมีแพนด้าเลย … 3 วันสุดท้าย แจกแหลก ไอโฟนหกพลัสจอใหญ่ วันศุกร์นี้ 30 เครื่อง !! ส่งรหัสฟรีใต้ฝาหรือในกล่องอิชิตันเข้ามาที่ www.ichitandrink.com เลยคับ”

เอไอเอส ก็นำวลี “ผมนี่…” ไปใช้ในโฆษณา You Mobile บริการใหม่ให้ออกแบบแพ็กเกจค่าโทรได้เอง เพื่อเรียกความสนใจด้วยเช่นกัน

ในปัจจุบันกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย แม้จะมีพลังส่งต่อมหาศาล และเป็นที่โด่งดังในช่วงข้ามคืน แต่กระแสเหล่านั้นย่อมฮิตเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่วันเท่าไร การที่แบรนด์เลือกจะเล่นกับกระแสใดๆ ควรทำในทันที หรือที่เรียกว่า “เรียลไทม์ มาร์เก็ตติ้ง” นั่นเอง 

แนะแบรนด์ต้องใช้ให้ตรงกับ Positioning

ดั่งใจถวิล อนันตชัย COO, Managing Director บริษัท INTAGE Thailand และนายกสมาคมวิจัยตลาดแห่งประเทศไทย บอกว่า การที่เพจเหล่านี้ได้รับความนิยม หรือถูกฟอลโลว์จากคนจำนวนมากที่เข้ามาติดตาม เป็นเพราะต้องการแสดงตัวตน หรือสร้างการรับรู้ให้คนอื่นๆ เห็นว่า เขาเป็นคนแบบไหน เช่น การแสดงถึงความเจ๋ง หรือการมีรสนิยม ผ่านการฟอลโลว์แฟนเพจที่มีแสดงถึงบุคลิก หรือลักษณะที่ตรงกับบุคลิกของเขา

สำหรับในแง่ของ “แบรนด์” สินค้าและบริการที่จะไป Co-brand เพื่อกระแสความดังของแฟนเพจเหล่านี้ เพื่อทำให้แบรนด์อยู่ในกระแส แต่ต้องระวังเรื่องของ Positioning ของแบรนด์ด้วยว่าตรงกันหรือไม่ เพราะอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนได้ เช่น ถ้าแบรนด์ซีเรียส แต่กับไป Co-brand กับแฟนเพจที่ไม่เน้นสาระ ก็อาจทำให้ภาพเกิดความสับสนได้

นอกจากนี้ปรากฏการณ์ที่สร้างกระแสความดังส่วนใหญ่มักจะ “มาไว ไปไว” เพราะคนเวลานี้มีสื่อให้เลือกมากมาย และมักจะสนใจอะไรสั้นๆ ไม่นาน ทำให้กระแสในโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นมักจะกินเวลาไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว