จากบทบาทนักธุรกิจ “วัยรุ่นพันล้าน” เจ้าของอาณาจักร “เถ้าแก่น้อย” แบรนด์ที่ทำให้หลายคนรู้จัก “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” หรือ “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้เพิ่มบทบาทของตนเองด้วยการเป็น “ผู้ลงทุน” ในบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย เพราะเขามีความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้!
ต๊อบได้เริ่มเป็นผู้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพในนามส่วนตัวมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ล่าสุดได้ลงทุนควักกระเป๋าเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ลงทุนในกองทุน “500 Tuktuks (500 ตุ๊กตุ๊ก)” ร่วมกับ เรืองโรจน์ พูนผล หรือกระทิง, ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ หรือหมู อุ๊กบี และ โยธิน ดำเนินชาญวณิชย์ ผู้บริหาร Double A
แต่ในการลงทุนที่ผ่านมาไม่ระบุว่าลงทุนไปแล้วเท่าไหร่ และกี่บริษัท โดยที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งสิ้น
เหตุผลแรกที่ต๊อบได้ให้คำตอบถึงความสนใจในการหันมาเป็นผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพคือ “ผมเป็นเด็กติดเกมมาก่อน ทำไมผมจะไม่สนใจเทคโนโลยี” แต่แพชชั่นที่สำคัญของต๊อบคือ อยากให้ประเทศไทยมีบริษัทเทคโนโลยีสำคัญแบบกูเกิ้ล หรือแอปเปิ้ลบ้าง ซึ่งเป็นบริษัทที่เริ่มจากสตาร์ทอัพทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบันเป็นองค์กรระดับโลกสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนในโลกนี้ให้ดีขึ้นได้
“ผมก็เคยเป็นสตาร์ทอัพมาก่อน ผมจึงมีความเข้าใจดี แต่เราไม่เคยมีผู้ลงทุนมาก่อนเลย ไม่มีวีพี (VP) เรามีแต่วีทราย (We try) ผมจึงคิดว่าโอกาสที่เขาจะเริ่มต้น จะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเริ่มจาก SME ต้องมีการสนับสนุน และคิดว่าดิจิตอลจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้”
โดยวิธีการสรรหาบริษัทที่จะเลือกลงทุนนั้น มีทั้งที่เข้ามาเสนอเองโดยตรง และเป็นบริษัที่ต๊อบเลือกเอง เพราะสนใจเป็นพิเศษ อย่างเช่นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น
แต่ถ้าถามว่าการเป็นผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพ สามารถต่อยอดอะไรให้กับธุรกิจหลักของต๊อบคือ เถ้าแก่น้อยได้หรือไม่ ต๊อบได้กล่าวว่า “มันไม่ได้ต่อยอดอะไรโดยตรง แต่เหมือนเป็นการได้สนับสนุนให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ได้ลงมือทำจริงๆ เหมือนผมได้เรียนรู้ในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว นั่นคือการทำธุรกิจ ผมไปนั่งฟังหลายๆ บริษัทเล่าเรื่องของธุรกิงตัวเองหลายบริษัท เหมือนกับการไปนั่งเรียนซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้เราเก่งขึ้น!”