จัดเป็นแบรนด์น้ำอัดลมสัญชาติไทยแท้เพียงหนึ่งเดียวสำหรับ “เอส” ที่ต่อสู้ท่ามกลางแบรนด์น้ำดำอินเตอร์รอบด้าน โดยได้ทำตลาดมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วภายใต้ “เสริมสุข” ที่อยู่ใต้ร่มเงาของ “ไทยเบฟเวอเรจ”
ในปีก่อนๆ เอสได้เดินเกมด้วยหลากหลายกลยุทธ์ เพื่อคลำทางสู่เส้นทางของตัวเองให้มากที่สุด มีการใช้กลยุทธ์ทั้งในเรื่องแพ็กเกจจิ้ง ไซส์ ราคา รวมถึงในเรื่องของมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง และสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งด้วย ที่ถือเป็นสูตรการตลาดน้ำอัดลมใช้เจาะตลาดวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักมาตลอด
โดยที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2556 เอสได้ควักกระเป๋าถึง 100 ล้านบาท ในการเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แต่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถเพิ่มดีกรีความน่าสนใจให้แบรนด์เอสแตกต่างจากคู่แข่งได้ เพราะหลายคนยังมีคอมเมนต์เรื่องของ “รสชาติ” ที่ยังเป็นจุดอ่อนของเอสอยู่
เพราะฉะนั้นโจทย์หลักของเอสในปีนี้ก็คือการให้คนมาทดลองดื่ม หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่านี้ให้มาซื้อซ้ำและเป็นแฟนเลิฟ ผลลัพธ์จึงออกมาที่สูตร “โปรโมชั่น” และ “พรีเซ็นเตอร์” ให้โปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อของผู้บริโภค และให้พรีเซ็นเตอร์เป็นผู้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
โดยซัมเมอร์ในปีนี้ เอส เลือกสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งกับกีฬาฟุตบอล ในการส่งแคมปญ “เอส เชียร์สุดซี้ด ต้อง SEAT ติดขอบ” เอสมองว่า มีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดที่ทำการสนับสนุนทีมฟุตบอล หรือรายการแข่งขัน แต่เอสใช้ในเรื่องโปรโมชั่นชิงโชค พาไปดูฟุตบอลยูโรนัดชิงชนะเลิศที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะมองว่าผู้บริโภคสามารถเข้าถึงฟุตบอลที่มากกว่า และไม่ต้องเน้นภาพลักษณ์ของโกลบอลแบรนด์อย่างแบรนด์คู่แข่ง
แต่เพื่อเพิ่มดีกรีความสนใจให้กับตัวโปรโมชั่นให้แรงยิ่งขึ้น โดยเลือก “ณเดชน์ คูกิมิยะ” มาเป็น พรีเซ็นเตอร์ โดยอาศันชนความเป็นมหาชน และภาพลักษณ์ของณเดชน์ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่น และขยายฐานไปยังกลุ่มแมสมากขึ้นด้วย ซึ่งณเดชน์เองก็เป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าในเครือไทยดริ้งค์มาแล้วทั้งโออิชิ, จับใจ
แคมเปญครั้งนี้ได้ใช้งบการตลาดรวม 160 ล้านบาท มีการคาดการณ์ในช่วงซัมเมอร์ 3 เดือน เอสจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15%
วิเวก ซาห์บรา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ประเมินภาพรวมตลาดน้ำอัดลมในปีนี้ต่อว่า ยังคงเป็นตลาดที่ท้าทาย เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่เชื่อว่าปีนี้ความมั่นใจของผู้บริโภคจะกลับมาจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งมองว่าตลาดน้ำอัดลมในปีนี้ก็อาจจะโตราว 5% จากมูลค่าตลาดปี 2558 จำนวน 50,000 ล้านบาท เติบโต 5% เช่นกัน โดยที่เอสชิงส่วนแบ่งตลาดไปได้ 10% หรือมูลค่า 5,000 ล้านบาท
ทิศทางของเอสในปีนี้ การขยายฐานคนดื่ม คนที่ไม่เคยดื่มก็กระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่ม ส่วนคนที่เคยทดลองดื่มก็ปรับมาให้เป็นคนที่ซื้อประจำ การใช้โปรโมชั่นก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่มอย่างหนึ่ง จนผู้บริโภครู้สึกอย่างซื้อซ้ำ การที่เลือกกีฬาฟุตบอลเป็นแคมเปญ เพราะกีฬายังเป็นคอนเทนต์สำคัญอยู่ เหมือนเป็นของรางวัลในฝันของผู้บริโภค
ในปีที่แล้วได้มีการปรับแพ็กเกจจิ้งค่อนข้างเยอะ ในปีนี้จึงไม่เห็นเรื่องการปรับไซส์ ปรับแพ็กเกจจิ้ง แต่ในส่วนของน้ำสีในแบรนด์เอส เพลย์ยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการเป็นน้ำอัลมกลิ่นผลไม้หลายรส สร้างความแตกต่างในตลาด เช่น กลิ่นลิ้นจี่-แพร์ กลิ่นองุ่น-เบอร์รี่ ในการออกสินค้าครั้งต่อไปก็ยังคงโฟกัสในกลยุทธ์นี้อยู่
ในปีนี้จะเอสเตรียมแผนที่จะบุกตลาดอาเซียนมากขึ้น เตรียมส่งออกไปยังประเทศพม่า กัมพูชา และลาว หลังจากที่ปีที่แล้วได้นำร่องส่งออกไปยังประเทศมาเลเซียโดยผ่าน F&N ทำตลาดได้ 6 เดือน สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ 4%
และใน 3 ประเทศที่จะส่งออกต่อไปนั้น ส่วนใหญ่เข้าไปกับทาง F&N เช่นเคย ซึ่งไทยเบฟฯ ยังมีเครือข่ายในหลายๆ ประเทศ