ยุคนี้ต้องขายสีพร้อมโซลูชั่น

จากที่เคยผลิตสีเพื่อขายให้กับผู้รับเหมาหรือสถาปนิก เมื่อเทรนด์ที่เจ้าของบ้านมาเป็นผู้เลือกสีสันให้บ้านด้วยตัวเอง ผู้ผลิตหลายรายจึงลงทุนในเทคโนโลยี “เครื่องผสมสี” เพื่อเพิ่มเฉดสีที่ใกล้เคียงตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ซึ่งวันนี้อาจเรียกได้ว่า เทคโนโลยีการผลิตของรายใหญ่เกือบทุกแห่งตามกันทันหมดแล้ว ดังนั้น ผู้ผลิตสีบางรายจึงต้องหนีออกไปด้วย “โซลูชั่น” ของการทาสี

เริ่มจากนิปปอนเพนท์ที่ตั้งทีม Color Design Center มาทำหน้าที่วิเคราะห์วิจัย ให้คำปรึกษา และออกแบบแนวทางสีที่ลงตัวกับความต้องการของเจ้าของ ร่วมกับฟังก์ชันการใช้งานและการผสมผสานกับสภาพแวดล้อมใกล้เคียง โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ตัวแปรต่างๆ จนได้เป็นเฉดสีสำหรับแต่ละห้องหรือบ้าน จากนั้นโปรแกรม 3D จะช่วยทำให้ลูกค้าได้มองเห็นภาพห้องหรือบ้านจำลองในเฉดสีต่างๆ เหล่านั้น

ขณะที่สีกัปตันนำทฤษฎีสวยอย่างสมดุล (60-30-10) มาเป็นจุดขาย ด้วยโปรแกรมวิเคราะห์ว่าสีเฉดใดควรทาตรงไหนในปริมาณเท่าไร ซึ่งมีหลักการว่า 60% ของพื้นที่ให้ใช้เฉดสีอ่อน 30% ใช้เฉดสีเข้มปานกลาง และ 10% ใช้เฉดสีเข้มมาก หรือกำหนดสลับกัน โดยลูกค้าจะได้เห็นจากโปรแกรม 3D ของบริษัท ว่าควรจะทาสีใดบริเวณใดบ้าง และห้องหรือบ้านจะออกมาหน้าตาอย่างไร

ทั้งนี้ “โซลูชั่น” ที่ทั้ง 2 บริษัทนำเสนอก็เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากล้าใช้เฉดสีและโทนสีที่หลากหลายภายในห้องๆ หนึ่งหรือรอบตัวบ้าน และแฝงความรู้สึกว่าการเปลี่ยนสีไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป อันจะมีส่วนลดความลังเลในการตัดสินใจซื้อ และเพิ่มยอดขายได้ด้วย

1. ตลาดผลิตภัณฑ์สีในปี 2547 มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท
– สีทาบ้านและอาคาร 12,000 ล้านบาท (54.5%), สีพ่นรถยนต์ 5,000 ล้านบาท (22.7), สีอุตสาหกรรม 2,000 ล้านบาท (9.2) และสีอื่นๆ 3,000 ล้านบาท (13.6)
ที่มา : ฝ่ายการตลาด บริษัท กัปตัน

2. ส่วนแบ่งตลาดในตลาดผลิตภัณฑ์สี 2547 มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท (100%)
– กัปตันมี market share 20% – นิปปอนเพนท์ 18% และอื่นๆ (TOA, โจตัน เดลต้า เป็นต้น) 62%

Did you know?

เชื่อหรือไม่ ?

คนตาบอดสามารถรับรู้ภาษาของสีที่สื่อสารออกมาได้ใกล้เคียงคนที่มองเห็น เพราะรังสีของแสงที่อยู่ในตัวสีสามารถส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว และคนที่เข้าไปสัมผัส ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับต่อสีแต่ละเฉดต่างกัน ซึ่งจากการพิสูจน์พบว่า ชีพจรของคนตาบอดจะเต้นแรงขึ้นเมื่อเข้าไปอยู่ในห้องที่ทาด้วยสีแดงสดเหมือนๆ กับคนที่มองเห็น

Color Tips for Office by Nippon

1. สีเขียว : ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น และสบายตัว เหมาะที่จะใช้ในโซนพักผ่อน ห้องนั่งเล่น และบริเวณนั่งคอย จะช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัด กระวนกระวาย และยังทำให้รู้สึกสงบนิ่งและเกิดความหวังด้วย
รู้หรือไม่ ? สีเขียวยังมีแนวโน้มถึงความรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นโลโก้โรงพยาบาลหลายแห่งจึงใช้สีเขียว

2. สีม่วง : กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และให้แรงบันดาลใจ (ถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจเกิดการท่วมท้นทางอารมณ์ได้) สีม่วงอ่อนจึงเหมาะกับฝ่ายครีเอทีฟ ออกแบบ การตลาด หรือห้องผู้บริหารระดับสูง เป็นต้น
รู้หรือไม่ ? เหตุที่สีม่วงใช้หมายถึงกลุ่มชายไม่จริง เพราะคนกลุ่มนี้สร้างสรรค์สูง และเทียบกับความเป็นกลางของสีม่วงซึ่งอยู่ระหว่างโทนสีเย็นและโทนสีร้อน

3. สีเหลือง : ให้ความอ่อนโยน อบอุ่น ร่าเริง และกระตือรือร้น สีเหลืองอ่อนจะช่วยทำให้อารมณ์ดีและมองโลกในแง่ดี เหมาะกับฝ่ายที่ต้องพบปะสื่อสาร เช่น ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ธุรการ บุคคล เป็นต้น

4. สีเทา : เป็นสีที่อยู่ระหว่างสีดำกับสีขาวจึงให้อารมณ์ความเป็นกลาง ไม่แสดงความรู้สึกชัดเจน และไม่รบกวนสายตาและความคิด ขณะที่สีเทาออกขาวเป็นเหมือนผ้าใบไว้ละเลงความคิดในจินตนาการ เหมาะกับฝ่ายที่ต้องมีการทดลอง หรือห้องดีไซเนอร์

5. สีแดง : กระตุ้นความตื่นเต้น ตื่นตัว มีชีวิตชีวา และเรียกร้องความสนใจได้ดีในชั่วขณะ แต่สีแดงเป็นสีโทนร้อนที่มีความแรงจึงไม่ควรใช้ในปริมาณมากเกินไป และเหมาะกับพื้นที่ใช้งานเฉพาะกิจหรือใช้ในเวลาไม่นาน เพื่อไม่ให้เกิดความล้าหรือร้อนแรงเกินไป เช่น ห้องประชุม ห้องสัมมนา หรือประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

รู้หรือไม่ ? สีแดงมีนัยของอันตราย จึงใช้สีแดงแทนไฟจราจรสีแดงที่บอกถึงการหยุดและป้ายห้าม