พ.ศ.นี้ ชื่อเสียงของ “โทนี่ จา” หรือ จา พนม โด่งดังถึงขนาดถูกยกเทียบชั้นกับดาราซูเปอร์สตาร์จอมบู๊ระดับโลกอย่าง “บรู๊ซ ลี” และ “เฉินหลง” จากบทบาทความสามารถลีลาคิวบู๊ของเขา แบบไม่ใช้สแตนด์อิน ความสำเร็จจาก “องค์บาก” มาสู่ “ต้มยำกุ้ง” ย่อมการันตีวิถีแห่งโชคชะตาบนแผ่นฟิล์มได้ดีว่า ตำแหน่งสุดยอดลีลาบู๊สนั่นโลก ยุคนี้ ต้องชื่อ “โทนี่ จา” เท่านั้น
ดีกรีความร้อนแรงของ “จาพนม ยีรัมย์” นาทีนี้เรียกว่า ดังแบบทะลุองศาเดือด ยิ่งในสายตาของชาวต่างประเทศด้วยแล้วชื่อเสียงของเขาโด่งดังชนิดที่ฝรั่งหลายคนต่างยกนิ้วให้ในความเป็น “สุดยอดพระเอกหนังบู๊” จากความสำเร็จภาพยนตร์เรื่ององค์บาก มาสู่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ “ต้มยำกุ้ง” ออกฉายภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ไม่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก” ได้ตอกย้ำเอกลักษณ์ความเป็นพระเอกแอ็กชั่นหมายเลขหนึ่งของไทยและเทศ
“สองปีที่ผ่านมา ดูเหมือนผมว่างนะ แต่ผมไม่ว่างเลย พอเสร็จจากองค์บาก ผมก็ต้องเดินสายไม่มีหยุดเลย เหมือนเราไม่ใช่เจ้าของชีวิตเราเอง มีตารางออกมาตลอดว่าต้องทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ กลับมาก็ต้องถ่ายหนังต้มยำกุ้ง พอต้มยำกุ้งเสร็จก็ต้องเดินสายโปรโมต พอต่างประเทศซื้อหนังไป เขาก็อยากให้ไปโชว์ตัว ต้องการเราไปโปรโมตทำข่าว ซึ่งเราก็ต้องไปวนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ”
สิ่งที่จา พนม บอกกล่าวถึงภารกิจตลอดระยะเวลา มีคิวแสดงตัวยาวเหยียดตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ย่อมชี้ชัดว่า เขากลายเป็นดารานักแสดงที่ดังที่สุด เนื้อหอมที่สุด ในวงการภาพยนตร์ไทยเวลานี้ แม้เขาจะบอกว่า เขาไม่ใช่ดารา แต่เป็นเพียงนักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ฝีไม้ลายมือจากองค์บาก ย่อมจารึกชื่อของเขาให้เป็นที่รู้จักของคนไทย และทั่วโลกเป็นอย่างดี
จุดเริ่มต้นเมื่อตอนแสดงเป็น “ทิ้ง” ในองค์บาก และการหวนกลับมาสู่เรื่องที่สอง “ต้มยำกุ้ง” รับบทเป็น “ขาม” ชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวคนเลี้ยงช้าง จา พนม เล่าว่า ต้มยำกุ้ง เหมือนนำชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเองมาใส่ในหนัง เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กเลี้ยงช้างที่จ.สุรินทร์ จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการคลุกคลีกับช้าง
ความเป็นฮีโร่ยอดนักสู้ของจา พนม กับต้มยำกุ้ง จึงเป็นที่เรื่องที่ไม่ยากนัก สำหรับบทบาทที่เขาได้รับ และเขาเชื่อว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นอีกพลังหนึ่งที่พิสูจน์ถึงสุดยอดหนังไทยระดับโลก ในลีลาศิลปะมวยไทยที่ทั่วโลกต้องตะลึง
ใครที่รู้จักจา พนม ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แม้เขาเริ่มต้นในอาชีพนักแสดง จากการเป็นสตันท์แมนมืออาชีพ แต่สิ่งที่ทำให้จา พนมแตกต่างจากพระเอกนักบู๊คนอื่นๆ ก็คือพรสวรรค์ทางด้านกีฬา เรียกว่า มีความสามารถเล่นได้เก่ง ได้ดี เกือบทุกประเภท ซึ่งเป็นเสมือนทักษะพื้นฐานความสามารถด้านศิลปะการแสดงของเขา
นิตยสาร aday เดือนมีนาคม 2003 ตั้งคำถามว่าพรสวรรค์ที่เขาได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคืออะไร เขาตอบว่า กระโดดสูง กระโดดไกล และการสปริงข้อเท้า บวกกับประสบการณ์วัยเด็กที่เขาจดจำ คือการได้เหรียญทองในกีฬาทุกชนิดที่เข้าแข่งขัน ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ได้มีมวยไทยเข้ามาเกี่ยวแม้แต่น้อย แต่เขาก็มีความสามารถนำมาประยุกต์สร้างเป็นท่วงท่ามวยไทยได้อย่างดี
ดังนั้นทักษะการต่อสู้ทุกอย่างที่เขาฝึกฝนมีพื้นฐานมาจากกีฬาทุกอย่าง ตั้งแต่การวิ่ง การกระโดดไกล การกระโดดสูง ยิมนาสติก ที่ได้ความคล่องตัว ยืดหยุ่น แม้แต่ตะกร้อไทย ซึ่งเป็นไฮไลต์พิเศษโดยเฉพาะที่เลียนแบบการปั่นตบลีลาของตะกร้อ ท่าที่ว่าคือ การกระโดดเทกตัวลอยบนอากาศ เตะสิ่งของที่อยู่สูงได้กว่า 3 เมตร โดยให้สองคนยืนต่อกัน ถือสิ่งของไว้ สุดยอดท่าทางนี้เคยเป็นไฮไลต์โชว์ต่อหน้าผู้คนกว่า 4 พันคนในเอ็มบีเอ
ศิลปะผ่านการดีไซน์ของเขา เป็นการนำเสนอศิลปะมวยไทยให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกประทับใจ จา พนม อธิบายว่า การนำเสนอต้องมีหลายองค์ประกอบ ในเรื่องของบท การดีไซน์ ไม่ใช่แค่ว่ามีศิลปะตรงนี้แล้วจะสื่ออกมาได้ ท่าบางอย่างถ้าเอามาถ่ายทอดแล้วบางท่าไม่ชัดเจน คนดูไม่เข้าใจทั้งๆ ที่มันยาก คนดูไม่เข้าใจ คิดว่าว่าธรรมดา ดังนั้นจึงต้องทำหรือออกแบบสื่อให้เห็นชัดเจน
“ไม่มีหนังเรื่องที่เตะกันจริง ต่อยกันจริง แต่ที่เราทำตรงนั้นได้เพราะว่าเราฝึกฝนมาดี มีการเซฟตี้ที่ดี ซ้อมจนรู้จักจังหวะกัน เราเลยสามารถทำออกมาให้สมบูรณ์ที่สุด”
ไม่นานมานี้ เขาได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลให้เป็นทูตวัฒนธรรมทางด้านภาพยนตร์ ในฐานะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ใน “ENTERTAINMENT WEEKLY” นิตยสารบันเทิงชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนึ่งบุคคลร้อนแรงประจำซัมเมอร์ ในฐานะประเภทดาวรุ่งมาแรง ไม่เว้นแม้แต่ฐานะล่าสุด ในตำแหน่ง “เซลส์ขายลำไย” ที่ให้ช่วยโปรโมตลำไยในต่างประเทศ
ทุกวันนี้เขากลายมาเป็นดาราชื่อดังระดับโลก เป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างพูดถึงในฐานะสตันท์แมนมืออาชีพ และนักออกแบบคิวบู๊ ประเภท “มวยไทย” รางวัล KUNGFUCINEMA AWARD ที่จา พนม คว้ารางวัลออกแบบฉากแอ็กชั่นและการต่อสู้ยอดเยี่ยม ร่วมกับ พันนา ฤทธิไกร ซึ่งสามารถสยบผู้กำกับนักบู๊อย่าง หยวนหูผิง (Kill Bill), ดอนนี่ เยน (The Twins Effect) และเฉินหลง (Shanghai Knights) ขณะเดียวกันเขาสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายที่เน้นการต่อสู้ยอดเยี่ยม เขาก็สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง ทอม ครูซ, เฉินหลง, เจ็ต ลี และเคียนู รีฟส์ (The Matrix Reloaded) อีกด้วย
“ทั้งสองอย่างผมว่ามันเป็นคนละบทบาทกัน ถ้ากำกับมันจะเป็นอีกบทบาทหนึ่ง แต่เมื่อเป็นนักแสดง ถือว่าได้กำกับตัวเอง ได้ถ่ายทอดความสามารถของเราได้อย่างเต็มที่ คือเราคิดอะไร เราได้ทำเลย” จา พนม เล่าถึงการทำงานในแต่ละบทบาทของเขา
ชีวิตในขั้นต่อไปของจา พนม เขาบอกว่าโลกนี้ยังสามารถเรียนรู้ได้อีกมาก ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ความเป็น “โทนี่” ที่เป็นชื่อที่ได้จากการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกที่สิงคโปร์ ตัว T ของคำว่า Thailand บวกกับ จาชื่อเล่นของตัวเขาเอง โดยผู้กำกับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้ตั้งชื่อให้
“ที่ต่างประเทศ ผมเป็น “โทนี่ จา” สร้างความสามารถให้คนต่างชาติดู ส่วนความเป็น “จา พนม” อยู่ที่เมืองไทย เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ภารกิจสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ต้องฝึกภาษาเพิ่ม ตอนนี้ได้หลายภาษาแต่ยังไม่เก่ง”
ภารกิจของจา พนม ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นนักแสดง หรือดาราหน้ากล้องอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง การเป็นตัวแทนของไทยในการสร้างชื่อเสียงในระดับโลก
“ตอนเด็กๆ เคยฝันว่าอยากนั่งเครื่องบินนะ แต่เดี๋ยวนี้อิ่มแล้ว ผมคิดว่าผมไปในนามประเทศไทย ไปแต่ละที่ แต่ละแห่งที่เราไปโชว์ให้เขาเห็น เพื่อทำให้เขาเชื่อว่าเราทำได้จริงๆ ถึงต้องเหนื่อยหน่อยก็คุ้ม ”
การฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับจา พนม และทีมงาน เพราะการแสดงเสี่ยงตาย เสี่ยงอันตราย ทุกอย่างต้องระมัดระวังที่สุด เซฟชีวิตมากที่สุด จา พนม บอกว่า ได้ทำประกันชีวิตของตัวเอง และทีมงานมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาท
ถามว่า ทุกวันนี้จา พนม เหนื่อยไหม? เขายิ้มแล้วตอบ “เหนื่อยมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ได้ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ได้ตอบแทนพระคุณประเทศชาติ ได้ตอบแทนพ่อแม่ เกิดมาชาตินี้ถือว่าคุ้มแล้ว