เฉินหลงชี้เหตุวิกฤตหนังกังฟูจีน

“การจะคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉากต่อสู้ในแผ่นฟิล์ม ถ้าไม่สู้กันในป่าไผ่ ก็ไปสู้กันบนหลังคาวัด หรือไม่ก็ไปสู้กันบนผิวน้ำ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผู้ชมคงดูจนเอียน !”

การจะบอกลอยๆ ว่าหนังไทยคือองค์บาก ได้ใช้ “โอกาส” และ “จังหวะ” ในขณะที่ภาพยนตร์กังฟูจีนและฮ่องกงกำลังเกิดวิกฤต ไปสร้างกระแส retro ย้อนยุคในตลาดโลกจนประสบความสำเร็จ… พูดเฉยๆ แบบนี้ คงอาจมองได้ว่าคนไทยก็ย่อมเชียร์หนังไทยเป็นธรรมดาแน่นอนที่สุด

แต่เมื่อหนึ่งในสุดยอดตำนานดาราหนังบู๊จีน ต้องเอ่ยปากออกมาอย่างอดทนไม่ไหวว่า “กังฟูกำลังถึงขั้นวิกฤต” ประโยคแรงๆ สั้นๆ แต่ได้ใจความของ “เฉิงหลง” หรือที่คุ้นปากคนไทยมานานว่า “ เฉินหลง”ในงาน เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม เฟสติวัล ดูเหมือนเป็นภาพสะท้อนสถานการณ์และวิกฤตที่หนังแอ็กชั่นฮ่องกงและจีนกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ล่าสุดจะมีข่าวคราวว่าจะมีโปรเจกต์ใหม่ล่าสุดระหว่างเขากับจางอี้โหมว ผู้กำกับดังของจีนรายนี้ก็ตาม แต่เฉินหลงก็เคยออกปากวิจารณ์แนวกังฟูในหนังของจางอี้โหมวไว้ด้วยเช่นกัน

ดังบทให้สัมภาษณ์ของเขาต่อไปนี้ จากเซกชั่น มุมจีน-บันเทิงจีน ผู้จัดการออนไลน์

….เมื่อวันก่อน เฉินหลงปรากฏตัวในงาน เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม เฟสติวัล และได้พูดถึงอิทธิพลของหนังกังฟูจีนที่มีต่อโลก โดยเฉินหลงผู้เข้าสู่วงการจอเงินตั้งแต่อายุ 6 ขวบครึ่ง และคร่ำหวอดในแวดวงหนังแอ็กชั่นมาเกือบ 50 ปี มองว่าตนเองเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่จะพูดถึงภาพยนตร์กังฟูมากที่สุด แม้ผู้กำกับชั้นแนวหน้าของจีนหลายต่อหลายคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาต่างกำลังเกาะกระแสหนังกังฟูอยู่ แต่เฉินหลงกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนนี้หนังกังฟูจีนกำลังเข้าขั้นวิกฤตเสียแล้ว…

“หนังกังฟูของเราออกนอกทางไปแล้ว แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อผมก็ไม่รู้หรอก นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก” เขาเผย

วิกฤตที่หนึ่ง “ขาดความรู้สึกแปลกใหม่”

เฉินหลงแบ่งภาพยนตร์กังฟูเป็น 2 ประเภท หนึ่ง คือ “ต่อยเตะจริง” สอง คือ “กังฟูในจินตนาการ” แม้ว่าวิธีการถ่ายทำของหนังกังฟู 2 ประเภทจะแตกต่างกัน แต่ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงให้เห็นถึงความลึกล้ำของกังฟูจีนด้วยกันทั้งสิ้น ในความคิดของเขา หนังกังฟูยุคนี้ขาดความรู้สึกแปลกใหม่

“การจะคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉากต่อสู้ในแผ่นฟิล์ม ถ้าไม่สู้กันในป่าไผ่ ก็ไปสู้กันบนหลังคาวัด หรือไม่ก็ไปสู้กันบนผิวน้ำ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผู้ชมคงดูจนเอียน!” พระเอกนักบู๊กล่าว

พร้อมกันนี้ เฉินหลงยังได้แนะนำว่า จากประสบการณ์ของเขาหนังกังฟูจะดึงดูดผู้ชมได้แค่เพียงขยันหาโลเกชั่นใหม่ๆ ในการถ่ายทำฉากต่อสู้

วิกฤตที่สอง “มีแต่นักแสดงหน้าเดิม”

“ตอนนี้ถ้าพูดถึงหนังกังฟู คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึงแต่ บรู๊ซ ลี (หลี่เสี่ยวหลง) ผม แล้วก็ เจ็ท ลี (หลี่เหลียงเจี๋ย) นอกจากสามคนนี้แล้ว ยังจะมีใครอีก…ในสภาวะที่หาเงินยากเย็นแสนเข็ญแบบนี้ คุณจะรับประกันกับผู้สร้างหนังได้อย่างไรว่าใช้นักแสดงหน้าใหม่รับรองเวิร์กแน่ๆ ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก ผมก็อายุปูนนี้แล้วยังจะต้องกระโดดไปกระโดดมา โจวเหวินฟะก็ยังต้องห้อยสลิงลอยไปลอยมาอีก หวาดเสียวจริงๆ”

วิกฤตที่สาม “ผู้กำกับไม่รู้กังฟู”

เฉินหลงที่ตรงไปตรงมา วิจารณ์ผู้กำกับหนังกังฟูที่กำลังโด่งดังของยุค อั้งลี่ (หลี่อัน) และจางอี้โหมว อย่างอ้อมๆ ว่า การที่พวกเขาไม่เป็นและไม่เข้าใจกังฟู แล้วมากำกับหนังกังฟูนั้น รู้สึกเป็นเรื่องเหลือเชื่อ “พวกเขาแค่ใช้จินตนาการของตัวเอง บวกกับเทคนิคพิเศษ ใช้เวลาไม่นานและไม่ยุ่งยากก็เสร็จแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนผมดูยังไงก็ไม่ชอบใจ แต่น่าแปลกที่ชาวต่างชาติกลับชื่นชอบ”

เฉินหลงหยิบยกเอาเรื่อง พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก ของอั้งลี่ ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้วเป็นตัวอย่าง “ผมค่อยๆ เรียนรู้ว่าภาพยนตร์กังฟูในจินตนาการเหล่านี้ที่จริงมีจุดดึงดูดอยู่ แต่จะเรียกว่าภาพยนตร์กังฟูที่แท้จริงได้หรือไม่นั้น คงต้องให้ทุกคนลองคิดกันดู สำหรับผมแล้วคงแสดงภาพยนตร์อย่างเรื่อง พยัคฆ์ระห่ำฯ ที่มีสไตล์การต่อสู้ที่เชื่องช้าไม่ได้แน่”