จากงานศึกษาเกี่ยวกับเทรนด์สีในปี 2006 ของ Judy-Lea Engel ในฐานะ Color and Design Manger ของบริษัท Invista ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเส้นใยแบบครบวงจร สำหรับงานสิ่งทอและงานตกแต่งภายใน ได้ให้คำทำนายเกี่ยวกับสีที่น่าจะมาแรงในช่วงปี 2006-2008 ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในวงการแฟชั่น และตกแต่งภายใน
ผลการวิจัยระบุว่า ใน 2 ปีข้างหน้าจะมีกลุ่มสี 50 เฉดสีที่น่าจะมีอิทธิพลต่อวงการดีไซน์ของโลก ซึ่งแบ่งได้เป็น 10 เทรนด์ และใน 10 เทรนด์นี้ยังแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ “Trend Indicators” และ “Emerging Trends”
Trend Indicators ก็คือกลุ่มสีที่มีอิทธิพลต่อวงการดีไซน์มาแล้วหลายปีและจะยังมีต่อไป ซึ่งประกอบด้วย
1. Fashion : ประกอบด้วย 5 สี ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ Judy มองว่า สีที่มากับเทรนด์แฟชั่นปีหน้าจะเป็นโทนสีมัวๆ ทึมๆ และ “vintage look”
2. Technology : ประกอบด้วย ซึ่ง Judy เชื่อว่า เป็นกลุ่มสีที่ช่วยให้เกิดความหวังถึงอนาคตข้างหน้า เป็นเฉดสีที่พบได้บ่อยในแวดวงเทคโนโลยี บางครั้งเรียกเฉดสีกลุ่มนี้ว่า nano-colors
3. Entertainment : สีกลุ่มนี้มาจากความบันเทิงของคนยุคใหม่ที่นิยมกิจกรรมแนว adventure outdoor และ reality games เช่น extreme, artificial และ digital reality ซึ่งโทนสีเหลืองมีส่วนช่วยให้เกิดความสนุกสนานและกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมได้ และยิ่งถ้าได้แสงสีที่ไปด้วยกันได้ดีก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตาตื่นใจ เช่น แสงสีแดงจะช่วยกระตุ้นความตื่นเต้น
4. Sustainability : สีกลุ่มนี้ประกอบด้วย ซึ่งเป็นโทนที่ได้มาจากธรรมชาติ จึงกระตุ้นความรู้สึกสดชื่นและให้ความรู้สึกอบอุ่นได้ดี โดยเฉพาะกับสังคมอุตสาหกรรม Judy แนะว่า สีกลุ่มนี้เหมาะแก่การสร้างบรรยากาศในการทำงาน
5. Socio-Economic : Judy มองว่าสีกลุ่มนี้เป็นเฉดสีที่ถูกรับรู้ในแง่ของการเป็น environment –friendly เพราะสามารถนำไปใช้ดีๆ จะช่วยประหยัดพลังงานได้ เช่น สีเขียว สีฟ้า และสีเหลืองนวล ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มสีที่ให้ความรู้สึกการเป็น “social responsible” เพราะสีชมพูสื่อถึงพลังแห่งหนุ่มสาว และสีแดงบ่งบอกถึงความรักและความศรัทธา
Emerging Trends คือกลุ่มเทรนด์สีที่อาจไม่เคยคิดว่าจะมา แต่คาดว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้า น่าจะเป็นสีที่ได้รับความนิยม และบางสีอาจได้รับความนิยมยาวนานจนกลายเป็นสีในกลุ่ม Trend Indicators ได้
1. Globalization : สีกลุ่มนี้คือ กลุ่มสีนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินทางและวัฒนธรรมทั่วโลก ซึ่งเป็นสีสไตล์ “Bohemian” ที่นิยมใช้ในแฟชั่นเครื่องประดับและเสื้อผ้า
2. Indulgence : ประกอบด้วย เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและความสบาย สีกลุ่มนี้เหมาะกับห้องนั่งเล่น หรือห้องพักผ่อน และเป็นสีที่นิยมใช้ในสปา และยิ่งถ้าเพิ่มความวาวให้กับสีกลุ่มนี้ ก็จะกลายกลุ่มสีที่ให้ความรู้สึกหรูหราได้ด้วย
3. Bio-engineering : เฉดสีกลุ่มนี้เลียนแบบดัดแปลงมาจากสีธรรมชาติขององค์ประกอบเชิงชีวภาพ ซึ่งมักเป็นสีพบเห็นบ่อยในงานเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะเฉดสีกลุ่มนี้อาจช่วยระบบจัดการทางความคิดได้ด้วย
4. Generations : เฉดสีกลุ่มนี้คือ แม้จะเป็นกลุ่มสีที่ดูอนุรักษนิยม แต่ก็แฝงด้วยความโมเดิร์น จึงใช้ได้กับหลายช่วงอายุ จึงเหมาะจะใช้กับสถานที่ที่ต้องมีบุคคลหลายช่วงอายุอยู่รวมกัน เช่น ที่ทำงาน ฯลฯ สีกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีโทนสีที่แตกต่างค่อนข้างสูง
5. Spirituality : ประกอบด้วย เป็นกลุ่มสีที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบาย สดใส สงบ และร่มเย็นจากภายใน เป็นเฉดสีที่ช่วยทำให้รู้สึกถึงการฟื้นฟูและความสมดุลแห่งชีวิต
นอกจากนี้ ผลการศึกษาจากบริษัทอื่นที่พูดถึงทิศทางของสีที่จะมาในปี 2006 ไว้ว่า สีโทนอบอุ่น สีโปร่งใส และสีที่สว่างหรือมีความวาว (luminous) จะมาแรง ขณะที่ผลวิจัยบางแห่งระบุชัดลงไปเลยว่า สีส้มจะเป็นเฉดสีที่เป็นแซงโค้งทุกเฉดสี ใน 2 ปีข้างหน้า และนำหน้าสีแดงซึ่งเป็นสียอดนิยมตลอดกาลได้ด้วย
ทั้งนี้ ผลวิจัยทั้งหมดนี้จะจริงเท็จแค่ไหน ก็คงต้องรอพิสูจน์!!…
ความสำคัญของ “สี”
1. สีเป็นเสมือนอีกหนึ่งภาษาที่ช่วยสื่อสารถึงอารมณ์ ความคิด จิตใจ รวมถึงความเชื่อและวัฒนธรรม
2. สีบางสีอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และปฏิกิริยาของคนได้
3. สีที่ใช้ถูกวิธีจะช่วยประหยัดพลังงานได้ แต่ถ้าใช้ผิดวิธีอาจเป็นมลภาวะ (ทางสายตา)
4. สีมีบทบาทมากขึ้นต่อไลฟ์สไตล์ของคนเรา โดยเฉพาะในแวดวงดีไซน์
คุณสมบัติทั่วไปของ “สี”
1. สีบางสีอาจมีอิทธิพลต่อบางคน ขณะที่บางสีอาจมีอิทธิพลต่อทุกคน เช่น สีแดงคือการหยุด
2. ความรู้สึกต่อสีอาจเปลี่ยนไป เมื่อประสบการณ์และอายุของบุคคลเปลี่ยนแปลงไป