การเดินทางของ J.Shoes

J.Shoes ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูคนไทยนัก แต่กำลังได้รับความนิยมพอสมควรในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และได้รับการจำหน่ายกว่า 19 ประเทศทั่วโลก ในไทยเริ่มทำตลาดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังจากจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่อังกฤษเมื่อปี 2539 แต่ไม่ได้รับการส่งเสริมการตลาดจากบริษัท เดอะ ชู ช็อพ จำกัด ซึ่งเป็น Exclusive Distributor มากนัก จวบจนกระทั่ง Brand Awareness ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น กอปรกับกระแสแฟชั่นในกรุงเทพฯ ทวีการตื่นตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงการกำเนิดของสยามพารากอน ทำให้ J.Shoes มีโอกาสวาดลวดลายให้กับตลาดรองเท้าผู้ชายระดับพรีเมียมในไทยมากขึ้นเช่นกัน

ด้วยความเป็นแบรนด์รองเท้าที่มีอายุอานามเพียง 10 ปี ดังนั้น Brand History จึงไม่ใช่จุดขายที่เพิ่ม Value Added ให้กับแบรนด์ เฉกเช่นแบรนด์รองเท้าชั้นนำอื่นๆ มักใช้กัน เช่น Clarks แบรนด์ดังจากอังกฤษ หรือ DIESEL ดังนั้น J.Shoes จึงชูจุดขายหลักที่คุณภาพและความประณีตในการตัดเย็บตลอดจนมีลูกเล่นด้วยการสื่อสารด้วย Motto ที่ว่า Life’s great journey เพราะเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทางเพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และรองเท้าเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ (และนั่นก็คือที่มาของชื่อแบรนด์เมื่อแรกเปิดตัวว่า Journey ก่อนจะลดทอนเหลือเพียงคำว่า J.Shoes ในเวลาต่อมา)

J.Shoes มี Brand Characteristic แบบ Think Different & Believe ชอบแหกกฎ มีมุมมองที่แปลก และดูเฉลียวฉลาด และเป็น Fusion Shoes ที่ผสมผสานทั้งแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน วิยุดา โชคเฉลิมวัฒน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์รองเท้า J.Shoes บริษัท เดอะ ชู ช็อพ จำกัด บอก

ทั้งนี้ J.Shoes มีสินค้าทั้งรองเท้าผู้ชายและรองเท้าผู้หญิง แต่สำหรับในเมืองไทยมีจำหน่ายเฉพาะรองเท้าผู้ชาย ด้วยจุดจำหน่ายแบบคอร์เนอร์ในห้างสรรพสินค้า 13 แห่ง สิ้นปีนี้คาดจะเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง และมีแผนเปิด Stand Alone Shop ในอนาคตที่สยามดิสคัฟเวอรี่หรือสยามเซ็นเตอร์ ด้านผลประกอบการปีที่ผ่านมาใช้งบการตลาด 10% ของยอดขายซึ่งปิดที่ 15 ล้านบาท หรือ 3,000-4,000 คู่ ปีนี้คาดยอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือประมาณ 30 ล้านบาท คิดเป็น 7,000-8,000 คู่ และมีส่วนแบ่ง 5-10% ในตลาดรองเท้าผู้ชายระดับพรีเมียมซึ่งมีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท

www.jshoes.com

Nick Drury

ดีไซเนอร์คนสำคัญของ J.SHOES ด้วยตำแหน่ง Chief Designer เขามีรองเท้ากว่า 50 คู่ แต่สำหรับ Brit Guy แล้วจะมีเฉลี่ยคนละ 5 คู่ต่อซีซั่น

เขาเล่าถึงดีไซน์ของ J.SHOES ว่า การออกแบบของแบรนด์นี้เป็นสไตล์แบบอังกฤษ เน้นความเป็นเมโทร ด้วยคอนเซ็ปต์ “กฎมีไว้ให้แหก” ด้วยดีไซน์ผสมผสานระหว่างวัตถุดิบหนังและผ้าในบางรุ่น โดยจะแบ่งเป็น 2 Series คือ Mainline เป็น Core Product และ Covert ที่เป็นรุ่นพิเศษ ผลิตจากวัสดุที่พิถีพิถันมากขึ้น เช่น หนังจากอิตาลี หนังฉลาด หนังกระเบน และหนังกบ เป็นต้น โดยรุ่นนี้จะวางจำหน่ายใน Selective Channel เพียง 10 แห่งทั่วโลก จากทั้งหมดที่จุดจำหน่ายกว่า 300 แห่ง

เขาให้มุมมองเกี่ยวกับรองเท้าแฟชั่นระดับพรีเมียมในเมืองไทยว่า Local Player มีดีไซน์ที่เป็นแฟชั่นมากขึ้น และเป็นการพัฒนาที่น่าจับตา ไม่ว่าจะเป็น Greyhound, Playhound หรือ ISSUE เป็นต้น

J.Shoes Autumn/Winter 2006
Company บริษัท เดอะ ชู ช็อพ จำกัด เป็น Exclusive Distributor ในประเทศไทย
Positioning รองเท้าแฟชั่นและไสฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม
Price range 2,990-5,000 กว่าบาท
Strategy เน้นการประชาสัมพันธ์และโฆษณาผ่านทางนิตยสารแฟชั่นมากขึ้น รวมถึงทำ Direct Marketing กับลูกค้าเดิม ด้วยการส่ง Postcard เพื่อถ่ายทอดคอนเซ็ปต์ของแบรนด์เกี่ยวกับการเดินทางที่ยิ่งใหญ่
Competitor REPLAY, DIESEL, Campbell
Event Concept (รูปบัตรเชิญ + รูปงาน (1ภาพ) +รูปของพรีเมียม)
เน้นธีมสีดำ ทอง เป็นหลัก ตั้งแต่ Invitation Card แบบเรียบง่าย ตลอดจนบรรยากาศของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Life’s great journey รวมถึง Souvenir ของงานภายใต้กล่องอะลูมิเนียมทรงกระบอกสั้น สีทอง ภายในบรรจุอุปกรณ์เกี่ยวกับการดูแลรักษารองเท้าอย่างครบครัน