YouTube พลิกโฉมโลกออนไลน์

YouTube เป็นเว็บไซต์ที่สร้างปรากฏการณ์และความฮือฮาบนโลกอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งปีที่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อ Google ยักษ์ใหญ่เว็บเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ตัดสินใจทุ่มเงินถึง 1.65 พันล้านดอลลาร์ ซื้อเว็บแห่งนี้ หลังจากที่เว็บนี้เพิ่งก่อตั้งมาได้เพียง 21 เดือน

YouTube เป็นเว็บรวมคลิปวิดีโอ ที่ใครๆ ก็สามารถจะอัพโหลดคลิปวิดีโอขึ้นไปไว้บนบนเว็บดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนได้ดูฟรี ผู้ใช้ YouTube สามารถเปิดดูวิดีโอบนเว็บดังกล่าวได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องมีการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เพื่อดูวิดีโอใดๆ ทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหรือสมัครเข้าใช้บริการแต่อย่างใด

YouTube จึงนับเป็น “สื่อใหม่” อีกประเภทหนึ่ง แต่ยังมีความเป็น “สื่อสารมวลชน” แบบดั้งเดิม และเป็นสื่อที่สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย

เนื่องจากใครๆ ก็สามารถจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอขึ้นไปฝากไว้บน YouTube ได้ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจคัดกรองใดๆ ทำให้เว็บนี้เต็มไปด้วยคลิปวีดีโอทั้งดีเด่นและแปลกประหลาดมากมาย ทั้งยังสามารถดูกันได้ฟรีๆ ทำให้ YouTube กลายเป็นเว็บยอดฮิตที่โด่งดังสุดขีด ในฐานะของเว็บที่ติดดิน และมีลักษณะเป็นชุมชนออนไลน์อย่างแท้จริง คลิปวิดีโอที่เผยแพร่อยู่ในเว็บแห่งนี้ แพร่หลายในหมู่คนดูนักท่องเว็บอย่างรวดเร็ว ราวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส

ส่วนคลิปวิดีโอโฆษณาที่อยู่ในหน้าโฮมเพจของ YouTube ก็ดูไม่เหมือนโฆษณาเอาเลย เว็บนี้ยังไม่มีวิดีโอลามกอนาจารให้ต้องร้อนใจ เพราะหากมีใครอัพโหลดคลิปลามกอนาจารขึ้นไปที่ YouTube ผู้ใช้ YouTube จะรีบแจ้งให้ผู้ดูแลเว็บทราบทันที และสามารถลบคลิปที่ไม่เหมาะสมออกได้โดยเร็ว

นักโฆษณารายใหญ่ๆ ต่างหันมาสนใจที่จะลงโฆษณาบน YouTube ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ Google ยอมจ่ายแพงขนาดนั้นเพื่อซื้อเว็บนี้ เพราะขอเพียงแค่ให้ YouTube ได้รับเม็ดเงินโฆษณา เพียงร้อยละ 10 ของงบโฆษณาทางโทรทัศน์ ที่จำนวน 54,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น เงินที่ Google ลงทุนไปในการซื้อ YouTube เพียง 1.65 พันล้านดอลลาร์ ก็จะเป็นการลงทุนที่คุ้มแสนจะคุ้ม

อย่างไรก็ตาม 2 ผู้บริหาร YouTube คือ Chad Hurley ในฐานะ CEO และ Steve Chen ซึ่งดูแลด้านเทคโนโลยี ยังต้องพิสูจน์ว่า เว็บของพวกเขา ซึ่งยังคงไม่มีกำรี้กำไรมากนัก จะสามารถสร้างรายได้มหาศาลได้จริงๆ และยังจะต้องพิสูจน์ด้วยว่า เว็บของพวกเขาจะไม่ประสบชะตากรรมเดียวกับ broadcast.com เว็บวิดีโอออนไลน์ ซึ่งเคยถูก Yahoo! ซื้อไปด้วยเงิน 5.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 1999 แต่บัดนี้ได้สิ้นชื่อไปแล้ว

สิ่งที่น่าติดตาม YouTube ยังอาจจะพังทลาย จากการถูกรุมฟ้องร้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ จากเจ้าของคลิปวิดีโอที่ถูกนำมาลงใน YouTube โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ

Chad Hurley วัย 29 ปี CEO ของ YouTube เกิดและเติบโตในเมือง Birdsboro รัฐ Pennsylvania เขาเป็นลูกชายคนกลางของพ่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาการเงิน และแม่ซึ่งเป็นครู ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงฝังตัวเองอยู่กับการเรียนรู้เรื่องการออกแบบเว็บ การเล่นเกมออนไลน์ และการทดลองทำภาพแอนิเมชั่น

ปี 1999 ทันทีที่ Hurley จบจาก Indiana University of Pennsylvanai ซึ่งเขาได้เปลี่ยนวิชาเอกจากคอมพิวเตอร์ศาสตร์ ไปเป็นกราฟิกดีไซน์และงานพิมพ์ เขาก็ได้เข้าทำงานกับ PayPal บริษัทตั้งใหม่ในขณะนั้น ซึ่งกำลังพยายามคิดค้นวิธีที่จะทำให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ PDA สามารถโอนเงินระหว่างกันได้

งานชิ้นแรกของ Hurley ในบริษัทแรกที่เขาเข้าทำงานคือ ออกแบบโลโก้ของบริษัท ซึ่งยังคงเป็นโลโก้ที่ PayPal ยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ผลงานการออกแบบโลโก้ดังกล่าว ทำให้ Hurley ได้รับตำแหน่งนักออกแบบมือหนึ่งของบริษัทในทันที ส่วน PayPal ซึ่งขณะนี้กลายเป็นบริษัทดูแลระบบรักษาความปลอดภัยธุรกรรมการเงินออนไลน์ ไปเข้าตา eBay เว็บประมูลชื่อดัง ซึ่งได้ทุ่มซื้อบริษัทนี้ไปในปี 2002 ด้วยเงิน 1.54 พันล้านดอลลาร์

การทำงานที่ PayPal ทำให้ Hurley ได้พบเพื่อน 2 คนคือ Steve Chen และ Jawed Karim 2 วิศวกรคอมพิวเตอร์ของ PayPal ทั้งสามมักคุยกันถึงเรื่องการก่อตั้งธุรกิจใหม่เสมอๆ

อย่างไรก็ตาม Karim วัย 27 ได้เกิดขัดแย้งกับ Hurley และ Chen และขณะนี้เขาได้แยกตัวไปเรียนต่อปริญญาโทคอมพิวเตอร์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แม้ว่า Karim จะยังคงมีชื่ออยู่บนเว็บ YouTube ในฐานะ 1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งเว็บนี้ แต่ในประวัติความเป็นมาของเว็บแห่งนี้ กลับไม่มีชื่อของ Karim

ประวัติของเว็บ YouTube ซึ่งเป็นที่แพร่หลายโดยทั่วไปเล่าว่า Hurley กับ Chen เกิดไอเดียที่จะทำเว็บที่สามารถแลกเปลี่ยนคลิปวิดีโอออนไลน์ หลังจากที่พวกเขาเจอปัญหาในการพยายามที่จะส่งคลิปวิดีโองานปาร์ตี้ ซึ่งจัดที่อพาร์ตเมนต์ของ Chen ในซานฟรานซิสโก ที่เพิ่งถ่ายเสร็จสดๆ ร้อนๆ ขึ้นไปไว้บนเน็ต เพื่อให้คนอื่นๆ ได้ชม

ในตอนแรก ทั้งสามเพียงคิดอยากจะทำเว็บแบบ HOTorNOT.com เว็บหาคู่รักออนไลน์ แต่ต้องการให้มีภาพวิดีโอ แทนที่จะมีแต่ภาพนิ่ง ซึ่งคล้ายๆ กับที่มีใน MySpace เว็บรวม webblog ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นยุคนี้

อย่างไรก็ตาม ความคิดที่จะทำ HOTor NOT เวอร์ชั่นวิดีโอ ก็พับไปภายในเวลาไม่กี่เดือน ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นการคิดทำเว็บ ที่จะช่วยให้ใครๆ สามารถนำวิดีโอมาฝากบนเว็บเพื่อประมูลขาย ซึ่งก็คือกำเนิดของ YouTube ในปี 2005

แต่ปรากฏว่า ผู้ใช้ต่างอัพโหลดวิดีโอทุกอย่างขึ้นไปไว้บน YouTube ตามแต่ใจต้องการ นอกจากนี้ ยังพบว่า วัยรุ่นจำนวนมากทำ link มาที่ YouTube จาก blog ของตนที่อยู่ใน MySpace ซึ่งทำให้ YouTube พลอยเติบโตตามไป MySpace ไปด้วย
สุดท้าย ผู้ก่อตั้ง YouTube ก็ต้องยอมแพ้ และปรับแนวคิดของ YouTube ใหม่ และนั่นก็คือการถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริงของ YouTube ในฐานะเว็บรับฝากคลิปวิดีโอทุกชนิด ที่ทุกคนสามารถดูได้ฟรี

ภายในเวลาไม่กี่เดือนต่อจากนั้น ก่อนหน้าที่คลิปวิดีโอช่วง Lazy Sunday ของรายการ Saturday Night Live จะเป็นคลิปที่ทำให้ยอดผู้เข้าเว็บ YouTube พุ่งกระฉูดถึงร้อยละ 83 ในเดือนธันวาคมปีที่แล้วด้วยซ้ำ นักลงทุนอย่าง Time Warner และ Sequoia Capital บริษัทลงทุนจาก Menlo Park ก็เริ่มสนใจที่จะลงทุนใน YouTube

ขณะที่บริษัทโฆษณารายใหญ่ๆ ก็เริ่มสนใจ YouTube หลังจากที่โฆษณาของ Nike ที่ไม่มีอะไรเหมือนโฆษณาเลย ที่เป็นภาพของ Ronaldinho นักฟุตบอลชื่อก้องโลกของบราซิล ได้กลายเป็นคลิปวิดีโอยอดฮิตบน YouTube ทำให้ Sequoia ซึ่งเคยลงทุนใน Apple, Google และบริษัทไฮเทคอีกหลายแห่งมาก่อน เริ่มเข้ามาลงทุนใน YouTube เป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว ด้วยเม็ดเงิน 8.5 ล้านดอลลาร์

ความสำเร็จของ YouTube เกิดจากความสามารถที่เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกันของ Hurley กับ Chen ชื่อเว็บที่ฟังดูย้อนยุคนิดๆ โลโก้ง่ายๆ และการที่เว็บให้ความรู้สึกที่แปลกแตกต่าง แต่รวดเร็วและง่ายที่สุด

แม้จะถูกกดดันจากนักโฆษณา แต่ทั้งสองกลับยืนหยัดในจุดยืน ที่จะไม่ยอมให้ผู้ใช้ต้องถูกบังคับให้ดูโฆษณา ในขณะที่รอดูวิดีโอบน YouTube ทำให้ YouTube สามารถรักษาภาพลักษณ์การเป็นชุมชนออนไลน์ที่แท้จริงเอาไว้ได้ โดยไม่กลายไปเป็นเพียงแค่สื่อแบบยุคเก่า ที่ไม่ได้เป็นของชุมชนอย่างแท้จริง

แต่ YouTube จะรักษาภาพลักษณ์เว็บใต้ดินอย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่อขณะนี้มีฐานะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักร Google อันยิ่งใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร Google รีบส่งสัญญาณต่อภายนอกทันทีว่า YouTube จะยังคงเป็นอิสระจาก Google

นอกจากนี้ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ YouTube ยังคงเป็นเรื่องการที่อาจจะถูกฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ จากเจ้าของคลิปวิดีโอที่ถูกละเมิดสิทธิ์บน YouTube ซึ่งแม้แต่ Google เองก็ยอมรับว่า หาก YouTube ถูกรุมฟ้องร้อง ก็อาจสร้างความเสียหายทางการเงินได้ไม่น้อย

YouTube จะรอดสันดอนทางด้านกฎหมายนี้ไปได้หรือไม่ หรือจะเจอปัญหาแบบเว็บ Napster ในอดีต หรืออาจจะต้องสิ้นชื่อไปอย่าง Broadcast.com หรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่จะต้องรอดูกันต่อไปด้วยความระทึกใจ ไม่ผิดกับการดูคลิปวิดีโอบนเว็บยอดฮิตแห่งนี้

เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
ไทม์ 25 ธันวาคม 2549

http://www.youtube.com/