ถอดรหัส “ยุบพรรคการเมือง” วิกฤตและโอกาสอยู่ตรงไหน?

เดือนพฤษภาคม 2550 จะเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเมืองครั้งใหญ่ ที่อาจจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง อันเป็นผลมาจากการตัดสินคดี “ยุบพรรคการเมือง” ของตุลาการรัฐธรรมนูญ

มีการคาดหมายว่า หากวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองจริง โดยเฉพาะทั้งพรรคประชาธิปัตย์และไทยรักไทย อาจนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองรอบใหม่ และนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมระหว่างกลุ่มคนต่างๆ มากขึ้น และอาจลุกลามไปถึงการคัดค้านร่างธรรมนูญ จนไม่สามารถคลอดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ได้ตามกำหนดเวลา และแน่นอนจะส่งผลการเลื่อนกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปอย่างไม่มีกำหนด

ผลสุดท้ายคือความบอบช้ำของประเทศ ลุกลามถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน

แต่หากไม่มีการยุบพรรค สถานการณ์ของบ้านเมืองจะดีขึ้นจริงหรือ แต่คงมีคำถามตามมากมายว่า แล้วคนที่ทำผิด เหตุใดจึงรอดพ้นการถูกลงโทษไปได้

อย่างไรก็ตาม คำตอบไม่ได้มีเพียงแค่การยุบพรรค หรือไม่ยุบเท่านั้น และคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 อาจไม่ใช่บทสรุป แต่อาจเป็นวันของการเริ่มต้นความซับซ้อนบทใหม่ของสังคมการเมืองไทย

พรรคการเมืองที่กำลังรอคำตัดสินในขณะนี้มีทั้งหมด 12 พรรค แต่ 2 พรรคที่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนได้ต้องยกให้กับ “พรรคไทยรักไทย” และ “ประชาธิปัตย์” ทั้ง 2 พรรคเคยมีที่นั่ง ส.ส. รวมกันถึง 95% ยังไม่รวมสมาชิกพรรคที่มีอยู่มากมายหลายคนทั่วประเทศ

“ปริญญา เทาวานฤมิตรกุล” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงทัศนะว่าเรื่องคดียุบพรรคไม่เพียงผลตัดสินเพียงแค่ยุบหรือไม่ยุบเท่านั้น เพราะมีข้อพิจารณาที่เกี่ยวข้องอีกตามกฎหมาย 2 ฉบับ คือกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 หมวดที่ 4 และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 ข้อ 3

แน่นอนผลการลงโทษตามกฎหมายทั้งสองฉบับมีความต่างกัน และจะส่งผลต่อพรรคและกรรมการบริหารพรรคที่ต่างกัน

หากถูกตัดสินให้ยุบพรรค ถูกบทลงโทษตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 69 ระบุไว้เพียงห้ามกรรมการบริหารพรรคไปตั้งและบริหารพรรคใหม่ 5 ปี ก็เท่ากับกรรมการบริหารเหล่านั้นยังคงมีโอกาสในเส้นทางการเมือง ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้

การตัดสินเพียงแค่ยึดถือโทษตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 69 เท่านั้น อาจทำให้การเมืองไทยผ่อนคลาย ตรงที่บรรดากรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคที่ส่วนใหญ่คือนักการเมืองระดับหัวแถว เป็นดาวเด่นมีชื่อเสียง ประชาชนรู้จักและคุ้นเคย แม้จะถูกตัดสินห้ามไปตั้งพรรคใหม่ หรือบริหารพรรคใหม่ แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. มีโอกาสกลับเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎร ความหมายที่มากกว่านั้นคือ การมีนักการเมืองเป็นที่เป็นจุดขายจะช่วยทำให้พรรคการเมืองนั้นกวาดที่นั่ง ส.ส. ได้สูงสุด อันนำไปสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างชอบธรรม

แต่หากกรรมการบริหารพรรคถูกบทลงโทษตามกฎหมายอีกบทหนึ่งคือ ตามประกาศคณะ คปค. ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ที่กำหนดว่า ไม่เพียงห้ามไปตั้งหรือเป็นกรรมการบริหารพรรคใหม่เท่านั้น แต่ยังห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. 5 ปี อีกด้วย

ผลที่เกิดขึ้นตามบทลงโทษห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั้น นักการเมืองระดับแถวหน้าจะหายไปจากวงจรการเมืองนาน 5 ปี รวมกว่า 100 คน และพรรคที่ได้ประโยชน์คือพรรคชาติไทย ของ “บรรหาร ศิลปอาชา” พรรคมหาชน ของ “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” และ “ประชาราษฎร์” ของ “เสนาะ เทียนทอง” รวมไปถึงโอกาสำหรับนักการเมืองหน้าใหม่

คำถามคือว่า ทั้ง 3 พรรคมีสินค้าทั้งในแง่บุคลากร นโยบาย และฝีมือบริหาร เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนหรือไม่
แน่นอนวิกฤตทางการเมืองจะถึงจุดเดือดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัจจัยหลักจากสมาชิกทั้งสองพรรคที่มีนับล้าน ๆ คนทั่วไปต้องรวมกลุ่มทั้งที่เป็นม็อบบริสุทธิ์ และม็อบจัดตั้งจากนักการเมืองผู้เสียโอกาส เพื่อเรียกร้องให้กลับเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ความแตกแยกทางสังคมรุนแรงอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น นักการเมืองทั้งสองพรรคคงไม่ยอมรับคำตัดสินโดยง่าย อย่างน้อยทางดิ้นรนยังมีตรงที่การยื่นตีความว่าประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ที่เป็นกฎหมายประกาศใช้หลังรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 มีผลย้อนหลังเพื่อไปลงโทษการกระทำเรื่องการจ้างพรรคเล็กลงรับสมัครเลือกที่ตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 หรือไม่ เพราะตามหลักของกฎหมายแล้ว ย้อนหลังเป็นคุณได้ แต่ย้อนหลังเป็นโทษไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากคณะรัฐมนตรี และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เห็นชอบร่วมกันเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณายกเลิกประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ก็สามารถ “ปลดล็อก” ทางการเมือง และเปิดทางให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้ แต่ต้องยกเลิกก่อนวันประกาศรับสมัครเลือกตั้ง

มีบางทัศนะจึงตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. จะมีภาระหนักในการพิจารณาผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จนเกิดความวุ่นวายช่วงการเลือกตั้งได้ เช่น หากถูกตัดสินยุบพรรค แต่ไม่ได้ระบุโทษตามประกาศ คปค. ด้วย แต่วันรับสมัครรับเลือกตั้ง คำสั่ง คปค. ยังอยู่หรือวันที่ตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินคำสั่ง คปค. ยังมีผลอยู่ ดังนั้นผู้สมัครรับเลือกตั้งจะขาดคุณสมบัติหรือไม่

“ประหยัด หงษ์ทองคำ” อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า การยุบพรรคถือเป็นเรื่องใหญ่ในทางการเมือง หากตัดสินให้ยุบจริง โดยกรรมการบริหารพรรคห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง จะทำให้การเมืองชะงักงันอย่างรุนแรง เพราะพรรคการเมืองไม่ใช่สมาคมของนักเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นสมาคมทางการเมืองของประชาชนที่มีสมาชิกหลายล้านคน

เขาให้ความเห็นว่า ควรลงโทษเฉพาะบุคคลที่ทำผิด และเชื่อว่าการใช้อำนาจในการวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นศาลทางการเมือง ไม่ใช่ศาลแพ่ง หรือศาลอาญา การใช้หลักกฎหมายมาพิจารณาคดีทางการเมืองจะคำนึงทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์

“ในหลายประเทศหากเรื่องไม่ร้ายแรงจะหลีกเลี่ยงการยุบพรรค เพราะจะเหมือนการลงโทษสมาชิกที่ไม่รู้เรื่องด้วย และที่สำคัญ เมื่อมีการยุบพรรคแล้ว ตามกฎหมายกรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หมายความว่าช่วงเวลาต่อจากนั้นจะขาดบุคลากรทางการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ มาทำหน้าที่ทางการเมืองอย่างน่าเสียดาย จะได้ไม่คุ้มเสีย”

ขณะที่ “เสรี สุวรรณภานนท์” รองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ระบุว่า พรรคการเมืองจะถูกยุบหรือไม่ ยังมีผลต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านอีกด้วย เพราะหากไม่ยุบ นักการเมืองไม่ถูกจำกัดสิทธิ 5 ปี ย่อมอยากเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญจะผ่านไปได้ แต่ถ้าพรรคการเมืองถูกยุบ นักการเมืองถูกจำกัดสิทธิ กระบวนการไม่รับร่างธรรมนูญจะรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และไทยรักไทย โดยเฉพาะกรรมการบริหารพรรคปัจจุบันต่างตระหนักดีว่า แม้จะไม่ควรชี้นำศาล แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเวลาให้เลยผ่านโดยไม่ทำอะไรให้ประชาชนเห็นว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองของพรรคได้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้มี “คุณค่า” เพียงพอที่จะอยู่ในเส้นทางการเมืองต่อโดยไม่ถูกยุบ และหากเดินมาถูกทาง ศึกเลือกตั้งในครั้งต่อไปคือ “ชัยชนะ”

ที่มาของคดียุบพรรค

ในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2548 เกิดการชิงเหลี่ยมทางการเมืองเกิดขึ้น โดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย ร่วมกันคว่ำบาตรการเลือกตั้ง หลังจาก “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ประกาศยุบสภา โดยทั้ง 3 พรรคเห็นว่าเป็นการยุบสภาโดยไม่ชอบธรรม และไม่เชื่อถือการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเวลานั้น

เมื่อทั้ง 3 พรรคไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามกฎหมายการเลือกตั้งระบุว่า พื้นที่ใดไม่มีคู่แข่ง หรือมีผู้สมัครเพียงคนเดียว ผู้ชนะเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ต้องได้คะแนนเสียงเกิน 20% ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง

ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเปิดโปงว่า “พรรคไทยรักไทย” ว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ 20%

ขณะที่พรรคไทยรักไทยแฉว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้วางแผนให้พรรคเล็กมาติดต่อกับพรรคไทยรักไทย เพื่อให้พรรคไทยรักไทยมีความผิด และในเวลาต่อมา กกต. ได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดให้ดำเนินการตามกฎหมายส่งสำนวนคดียุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ตามสำนวนชี้มูลความผิดของนายทะเบียนพรรคการเมือง (กกต.) ที่เห็นว่ากระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วยพรรคการเมือง ม.66 (2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ และ (3) กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาไต่สวนมาเกือบ 1 ปี ได้กำหนดวันตัดสินคดีในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550

สาเหตุที่พรรคการเมืองถูกตัดสินยุบพรรค

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 หมวดที่ 4 ระบุถึงการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง ตามความผิดในมาตรา 66 อนุ 2 และ 3 ดังนี้

มาตรา 66 เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง

(1) การกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ

(3) การกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ

(4) กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 23 วรรคหนึ่ง มาตรา 52 หรือมาตรา 53

ขั้นตอนการถูกยุบพรรค

การดำเนินการตามมาตรา 67 ที่ระบุว่า นายทะเบียนจะต้องแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควรก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค แต่ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้นายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยมีตัวแทนจากนายทะเบียนและอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมข้อมูล หลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ในกรณีที่ไม่ได้ข้อยุติ ให้นายทะเบียนมีอำนาจยื่นร้องได้เอง และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ให้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

บทลงโทษ

เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ยังผลผูกพันกับ “บุคคล” ที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 2 พรรคการเมือง ตามมาตรา 69 ที่ระบุว่า ผู้เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ต้องยุบไป แต่จะขอจัดตั้งพรรคใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ตามมาตรา 8 อีกไม่ได้ ทั้งนี้กำหนด 5 ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นยุบไป

ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ระบุว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใด เพราะกระทำการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารของพรรคการเมืองนั้น มีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง