ratirita – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 10 Oct 2024 14:12:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิด 9 อาณาจักร “บอสพอล” เจ้าของ The iCON GROUP รวยหมื่นล้านใน 5 ปี https://positioningmag.com/1493707 Thu, 10 Oct 2024 06:51:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493707 จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า “เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?” อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์

ต่อมา นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ ออกมาแฉพฤติกรรมธุรกิจเครือข่ายแห่งหนึ่งที่เจ้าตัวร่วมลงทุนเพื่อหารายได้อีกทางแต่สุดท้ายสูญเงินหลายแสนบาท อีกทั้งพบข้อเท็จจริงสุดเศร้า ว่ามีผู้สูงวัยที่หลงเชื่อใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตมาลงทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว รวมถึงเจ้าตัวพยายามเรียกร้องกลับพบข้อกฎหมายที่ทางบริษัททำไว้รัดกุมจนคิดว่าเอาผิดเขาไม่ได้

หลายคนจับจ้องไปที่ “บอสพอล” หรือ วรัทย์พล วรัตน์วรกุล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCON GROUP)

จาการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า นายวรัทย์พล วรัตน์วรกุล เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นในบริษัทอย่างน้อย 9 แห่ง เลิกกิจการไปแล้ว 1 แห่ง ได้แก่

1. บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 1 มิ.ย. 2561 ทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 74.9998%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 21% และ ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 4.0002%

สำหรับงบการเงิน ปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 2,402,677,947 บาท หนี้สินรวม 1,554,377,393 บาท มีรายได้รวม 1,891,032,251 บาท รายจ่ายรวม 1,862,137,799 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 3,346 บาท เสียภาษีเงินได้ 9,113,250 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

หากนับรวมรายได้ ย้อนหลัง 5 ปี (ปีงบ 2562-2566) พบว่ามีรายได้รวมกัน 10,613,171,865 บาท (ราว 1 หมื่นล้านบาท) ในปี 2562 มีรายได้รวม 322,679,743 บาท กำไรสุทธิ 5,947,795 บาท

  • ปี 2563 รายได้รวม 378,119,566 บาท กำไรสุทธิ 9,044,857 บาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 4,950,055,693 บาท กำไรสุทธิ 813,444,976 บาท
  • ปีงบ 2565 รายได้รวม 3,071,284,612 บาท กำไรสุทธิ 188,084,851 บาท
  • ปี 2566 รายได้รวม 1,891,032,251 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

2. บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด

จดทะเบียนวันที่ 3 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/45-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจ คลินิกโรคเฉพาะทาง โดย “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

โดยรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 99.98%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือ 0.01% และ จินดา แซ่ก๊อก ถือ 0.01% ซึ่งงบการเงินปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 236,339 บาท หนี้สินรวม 13,000 บาท รายได้รวม 339 บาท รายจ่ายรวม 27,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 26,660 บาท

3. บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด

จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การให้คำปรึกษาด้านภาษี มี วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร วิสูตร อภิญโญวิเชียร เป็นกรรมการ

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 50%, วิสูตร อภิญโญวิเชียร ถือหุ้น 49%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% โดยงบการเงิน ปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 968,097 บาท หนี้สินรวม 631,696 บาท รายได้รวม 617,448 บาท รายจ่ายรวม 1,243,903 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 1,964 บาท ขาดทุนสุทธิ 628,419 บาท

4. บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 15 ก.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-44 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้น เมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 94.99%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 5%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 0.01%

5. บริษัท เดอะไอคอน แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 14 ต.ค. 2554 แจ้งเลิกกิจการ 15 พ.ย. 2564 ตั้งอยู่ที่ 158/23 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ เป็นนายหน้าตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องมือเครื่องใช้เสริมความงาม อาหารเสริม ทุกประเภท “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการ

6. บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 15 พ.ค. 2562 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยมีนายวรัตน์พล วรัทย์วร กุล, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร และ จิระวัฒน์ แสงภักดี เป็นกรรมการ

รายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 34%, บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 33%, บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด ถือหุ้น 33%

7. บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด

ทุน 1 ล้านบาท ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร เป็นกรรมการและถือหุ้นใหญ่สุด 99.98% ทำธุรกิจนายหน้าจากการขายสินค้า แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 88.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.1 ล้านบาท

8. บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด

ทุน 1 ล้านบาท จิระวัฒน์ แสงภักดี (ถือหุ้น 45%) วัชรา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 45%) พรรทิพา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 10%) เป็นกรรมการ ทำธุรกิจออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ติดตั้งระบบเครือข่าย และให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟแวร์

แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 33.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.7 ล้านบาท โดยงบการเงินล่าสุดปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 7,976,108 บาท หนี้สินรวม 2,156,548 บาท รายได้รวม 20,073,858 บาท รายจ่ายรวม 15,088,783 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 5,796 บาท เสียภาษีเงินได้ 997,117 บาท กำไรสุทธิ 3,982,160 บาท

9. บริษัท ไอคอน ซูวีเนียร์ จำกัด

จดทะเบียนเมื่อ 6 ส.ค. 2567 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบาง เขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การขายปลีกสินค้าอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นบนแผงลอยและตลาด วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด 29 .. 2567 วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ถือหุ้นใหญ่ 99%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% ยังไม่พบข้อมูลงบการเงิน

]]>
1493707
เปิดเบื้องหลังดีล Supersports ควัก 468 ล้าน เข้าซื้อ REV Edition เสริมแกร่งกลุ่ม “วิ่ง” สาย Specialty   https://positioningmag.com/1491931 Thu, 26 Sep 2024 09:03:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491931
  • CRC Sports ผู้บริหารร้าน Supersports ในเครือ CRC เข้าซื้อ REV Edition ถือหุ้นใหญ่ 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท 
  • การเข้าซื้อครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งสินค้ากีฬาของ CRC Sports ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะต้องการเจาะสาย “วิ่ง” แบบ Specialty 
  • เตรียมนำแบรนด์ Sport Retail สัญชาติไทย ไปปักธงในอาเซียน 
  • นายทุนใหญ่ กับนักสร้างแบรนด์มาเจอกัน

    หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทาง CRC Sports (บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศดีลใหญ่ในวงการกีฬา ด้วยการเข้าซื้อกิจการ REV Edition โดยถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อยอดกันระหว่าง Sport Retail เพียงแต่สเกลต่างกัน และมีจุดแข็งที่ต่างกัน

    ปัจจุบัน CRC Sports แบ่งธุรกิจเป็น 2 ขาด้วยกัน ได้แก่ 1. ร้านมัลติสปอร์ตภายใต้ Supersports 2. เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬาทั้งหมด 7 แบรนด์ ได้แก่ Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson และ Umbro

    ส่วน REV Edition เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้ากลุ่ม Sports Performance & Lifestyle ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 ในฐานะผู้บริหารร้านไนกี้ แฟลกชิปสโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้บุกเบิก และบริหารร้านกีฬา REV RUNNR ซึ่งเป็นร้านอุปกรณ์กีฬาสำหรับผู้ที่รักการวิ่งโดยเฉพาะ

    โดยที่ REV Edition มีธุรกิจหลัก 2 ขาเช่นเดียวกัน 1. ร้าน REV RUNNR ร้านสำหรับสายวิ่ง ปัจจุบันมี 40 สาขา และ 2. ตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์แบรนด์รวม 13 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley และกำลังจะเปิดตัว National Geographic อีกหนึ่งแบรนด์ในช่วงปลายปีนี้

    CRC Sports เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำตลาดมา 27 ปี มีบทบาทเป็นนายทุนที่มีระบบอินฟราสตรัคเจอร์พร้อม รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุน โลเคชั่นในการขยายสาขา ส่วนทาง REV Edition เป็นน้องชายที่ทำตลาดมา 24 ปี แม้จะสเกลเล็กกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นในเรื่องกีฬาเต็มที่ และเก่งในเรื่องการสร้างแบรนด์ มองเทรนด์ และคาดการณ์ความนิยมของแบรนด์ได้ดี

    พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรฟ อีดิชั่น จำกัด เล่าว่า

    “REV Edition ก่อตั้งเมื่อปี 2543 วางจุดยืนเป็นการทำธุรกิจกีฬารูปแบบใหม่ ในตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีรูปแบบคอนเซ็ปต์ช็อป หรือคอนเซ็ปต์สโตร์เลย เรามีวิธีคิดที่ว่าตอนนำแบรนด์เข้ามาทำตลาดในไทย ไม่ได้เลือกแบรนด์ดังที่สุด แต่เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรม มีศักยภาพ ถ้าย้อนกลับไป 6 ปีก่อนตอนนั้นไม่มีคนรู้จักแบรนด์ HOKA เลย แต่ตอนนี้คนรู้จักเยอะขึ้น หรืออย่างแบรนด์ Saucony ที่เริ่มนำเข้ามาได้ 4 ปี ตอนนี้ก็มีการเติบโตสูง สร้างรายได้ที่ดีให้บริษัท การร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัท Sport Retail สัญชาติไทยออกไปต่อสู้ตลาดต่างประเทศได้”

    ยุคทองของ Specialty กีฬาก็ยังต้อง Specialty

    เรียกได้ว่ายุคนี้เป็นของสินค้าพรีเมียม หรือยุคของสาย Specialty ของแท้ เพราะไม่ว่าจะอาหารการกิน กาแฟ ชาไทย ก็มีแบรนด์ที่เป็น Specialty ที่เชี่ยวชาญด้านนั้นโดยเฉพาะ ในแง่ของสินค้าผู้บริโภคก็มองหาสินค้าเฉพาะทางมากขึ้นด้วยเช่นกัน ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพตามใจต้องการ

    ถึงแม้ว่า CRC Sports และ Supersports จะดำเนินธุรกิจมานาน มีแบรนด์ที่หลากหลาย แต่ก็อาจจะยังไม่หลากหลายมากพอกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าดูแบรนด์เครือที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็ค่อนข้างแมสพอสมควร

    ดีลนี้ได้ทำการพูดคุยกันเป็นเวลา 1 ปี ถึงได้ตกลงปลงใจในการซื้อขายกัน การข้าซื้อ REV Edition จึงเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะได้แบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์เข้ามาอยู่ในมือเพิ่มอีก 13 แบรนด์ และยังเป็นแบรนด์ดาวรุ่งที่มีการเติบโตสูงขึ้นทุกปี

    สุฑาทิพย์ มนูญผล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ และพันธมิตร กลุ่มเซ็นทรัลแบรนด์แอนด์สเปเชียลตี้ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าว่า

    “การเข้าซื้อ REV Edition เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการหาสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มกีฬา แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ซึ่งตอนนี้กีฬาไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป แต่เป็นวิถีชีวิตของคนไปแล้ว ตลาดนี้คาดว่ามีมูลค่าถึง 35,000 ล้านบาท และมีการเติบโตขึ้นทุกปี REV Edition เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Running Category ธุรกิจแบรนด์กีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Performance และ ไลฟ์สไตล์ การร่วมมือกันครั้งนี้ยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น”  

    ทางด้าน อเล็กซองต์ อัมเบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า

    “ในช่วง 2 ปีที่ผ่ามา Supersports ได้มีการทรานส์ฟอร์มใหม่ ทั้งปรับปรุงสโตร์ให้ทันสมัย หาพื้นที่ใหม่ๆ ในการสร้างการเติบโต ทาง REV Edition มีลูกค้าที่มี Loyalty สูง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าโดยเฉพาะสายวิ่ง และเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับหลายแบรนด์ ทาง Supersport มองหาการยกระดับชีวิตลูกค้าผ่านการออกกำลังกายมากขึ้น” 

    เจาะขุมทรัพย์นักวิ่งสายเปย์

    คำพูดที่บอกไว้ว่า “วิ่งเป็นกีฬาที่ประหยัดที่สุด มีแค่รองเท้าคู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้แล้ว” กลายเป็นประโยคที่สร้างเสียงหัวเราะมากที่สุดสำหรับวงการวิ่ง

    หลายปีที่ผ่านมากระแสการวิ่งได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากเทรนด์การจัดงานวิ่งมาราธอน หรือจะเป็นการออกกำลังกายแบบ Solo ที่เริ่มออกกำลังกายคนเดียวมากขึ้น

    ทำให้กีฬาวิ่งมีมูลค่าตลาดราวๆ 5,000 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดากีฬาอื่นๆ ซึ่งจักรวาลของการวิ่งไม่ได้มีแค่รองเท้าวิ่งอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งนาฬิกาสมาร์ทวอทช์, เสื้อผ้า, แว่นตา ยิ่งถ้าเป็นสายขาแรงหน่อยก็อาจจะมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ถุงเท้ารัดน่อง ผ้าบลัฟ เจลให้พลังงาน เป็นต้น

    และกีฬาวิ่งนี่เอง เป็นกีฬาที่เวลาจัดงานสามารถมีผู้ร่วมงานได้หลักหมื่นคน เมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆ ที่อาจจะมีผู้เข้าร่วมได้แค่หลักร้อย หลักพันเท่านั้น ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนมีตัวเลขที่ทำการเซอร์เวย์ว่าเมืองไทยมีนักวิ่งราวๆ 13 ล้านคน ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 15 ล้านคนแล้ว

    โดยปกติแล้วการวิ่งจะแบ่งเป็น 2 เซ็กเมนต์ใหญ่ก็คือ วิ่งถนน และวิ่งเทรล จะใช้รองเท้าต่างกัน พฤติกรรมนักวิ่งจะมีการใช้รองเท้าวิ่งที่ต่างกันด้วย เช่น วันซ้อม, วิ่ง Long Run, วิ่งแบบ Every day Running และวันแข่ง ทำให้นักวิ่งมีรองเท้าเฉลี่ยอย่างน้อยๆ คนละ 4 คู่ ส่วนใหญ่ 1 คู่จะใช้งานได้ประมาณ 600 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นนักวิ่งมืออาชีพ หรือนักวิ่ง Elite อาจจะใช้รองเท้ารุ่นโหดๆ แล้วใช้แข่งแค่ครั้งเดียวก็ทิ้งเลยก็มี

    ทำให้ในบริษัทของ REV Edition มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งถึง 40% เรียกว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด รองลงมากลุ่มฟุตบอล, บาสเก็ตบอล และกอล์ฟ โดยมี 3 แบรนด์หัวหอกที่สร้างรายได้เยอะที่สุดได้แก่ Saucony, Hoka และ Kailas ซึ่ง 3 แบรนด์นี้สร้างรายได้เกิน 50% ของแบรนด์ทั้งหมด ส่วนทาง Supersports มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งราวๆ 25-30%

    ร้านกีฬาแบรนด์ไทย ปักธงในอาเซียน 

    การร่วมมือกันของ CRC Sports และ REV Edition จะรวมทั้งในเรื่องของร้านค้า และแบรนด์สินค้า ด้านสิทธิ์การจัดจำหน่ายแบรนด์ต่างๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของ CRC Sports ซึ่งจะยังคงสิทธิ์การบริหารทั้งหมดอยู่กับ REV Edition ทำให้มีแบรนด์รวมกันทั้งหมด 20 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley, Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson, Umbro และ National Geographic ที่กำลังจะเปิดตัว

    โดยตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นผ่านการขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์อย่าง Supersports และ REV RUNNR รวมถึงแบรนด์สโตร์ เป็น 2 เท่าในประเทศไทย และขยายสาขาไปยังมาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ พร้อมกับเป้าหมายใหญ่ในการเป็นแบรนด์ไทยที่ไปปักธงในอาเซียนให้ได้ ทำตลาดผ่าน REV RUNNR

    ปัจจุบันหน้าร้านในเครือ REV Edition มีทั้งหมด 159 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และมาเลเซีย ทั้งในรูปแบบ ร้าน REV RUNNR, แบรนด์ช็อป, เคาน์เตอร์ในสโตร์ (shop in shop) รวมถึงในร้านมัลติแบรนด์ต่างๆ และหน้าร้านออนไลน์ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะขยายหน้าร้านในเครืออีก 19 สาขา รวมถึงร้าน NATIONAL GEOGRAPHIC LIFESTYLE STORE สาขาแรกของไทย และมีแผนจะขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์และแบรนด์สโตร์อีกมากกว่า 20 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาในมาเลเซีย ภายในปี 2568

    ส่วน Supersport มีสาขาทั้งหมด 93 สาขา มีโมโนสโตร์ที่เป็นร้านของแบรนด์ต่างๆ 10 สาขา ปีหน้าจะขยาย 5-10 สาขา ร้าน Supersport จะขยายเพิ่มอีก 1-2 สาขาในปีหน้า

    ]]>
    1491931
    ย้อนรอยอินฟลูเกาหลีผู้ตกด้อมไทยสายเปย์ ตั้งแต่ “คิวเทอปป้า-พี่จอง คัลแลน” จนถึง “กามิน” https://positioningmag.com/1489630 Wed, 11 Sep 2024 07:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489630 ในหลายปีมานี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลกับผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เห็นได้ว่าเกิดอาชีพออนไลน์ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือบล็อกเกอร์สายต่างๆ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน ก็สามารถทำอาชีพเหล่านี้ได้ และเมื่อกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็จะกลายเป็นคนที่ทรงอิทธิพลต่อคนหมู่มากบนโลกโซเชียลมีเดียได้เช่นกัน

    ยุคเฟื้องฟูของอินฟลูต่างชาติ

    ในประเทศไทยเอง การเป็นคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพยอดนิยมไปแล้ว เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง และรายได้ในคราวเดียว เป็นใบเบิกทางสู่การทำธุรกิจได้อีกด้วย บางคนยังก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ 

    ข้อมูลจาก Tellscore พบว่า ประเทศไทยคาดว่ามีคอนเทนต์ ครีเอเตอร์มากถึง 9 ล้านคน ครอบคลุมตั้งแต่ในระดับ Nano – Macro – Mega Creator ทั้งที่เป็น Full-time และ Part time ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียและการใช้เวลาท่องโลกออนไลน์ของคนไทยที่มีอัตราสูงในอันดับต้นๆ ของโลก โดยจากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พบว่าประชากรไทยมีการอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ประมาณ 89.5% และมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากถึง 50 ล้านคน คิดเป็น 71.5% ของประชากรทั้งหมด 

    แน่นอนว่าการเป็นครีเอเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี ซึ่งการที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนยิ่งทำให้เกิดการจดจำมากขึ้น นำไปสู่การหารายได้เป้นกอบเป็นกำ

    อย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นกระแสความนิยมของอิฟลูเอนเซอร์ หรือครีเอเตอร์เกาหลีจำนวนมาก หลายคนประสบความสำเร็จในไทย มีรายได้มหาศาล หนึ่งสิ่งที่อธิบายความนิยมของคนไทยได้มากที่สุดคือ “ความเอ็นดู” คนไทยหลายคนรู้สึกปลื้มใจที่เห็นชาวต่างชาติหัดพูดภาษาไทย แม้จะทำกิจกรรมเงอะๆ งะๆ ก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี ซึ่งลองนึกภาพว่าถ้าเป็นครีเอเตอร์คนไทยทำกิจกรรมเดียวกัน คงให้ความสนใจต่างกัน

    ครีเอเตอร์เกาหลีจึงเบ่งบานในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่เรียงจาก “คิวเท” ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีเบอร์ต้นๆ ที่คนไทยรู้จัก เจ้าของช่อง Kyutae Oppa คิวเทเป็นชาวเกาหลีแท้ๆ ที่เกิด และเติบโตในไทย คิวเทเริ่มทำคลิปวิดีโอแรกตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ ม. 6 เป็นคลิป “เกาหลีเต้นสายย่อ” และแจ้งเกิดได้จากคลิป “เกาหลีดูหนังผีไทยคนเดียว” ซึ่งเป็นการรีแอคชั่นขณะดูภาพยนตร์ “ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ”

    เพียงชั่วระยะเวลา 3 ปีเศษๆ ช่องยูทูบของเขา ก็สามารถมียอดผู้ติดตามสูงถึงเกือบ 8 ล้านคน บวกกับยอดผู้ติดตามในเฟซบุ๊ก อีกกว่า 1 ล้านคน มาพร้อมกับงานโฆษณา งานรีวิวสินค้า แถมปีก่อนยังได้เปิดร้าน SPACE ZOO ร้านไก่ทอดเกาหลี เป็นการร่วมทุนกับ “เบียร์ ใบหยก” อีกด้วย

    ในตอนนี้ต้องยกให้เป็นปีทองของ “พี่จอง คัลแลน” สร้างปรากฏการณ์ “ใจฟู” ดังไปทั่วประเทศ คู่หูดูโอจากช่อง Cullen HateBerry ที่ทำคลิปเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นการเที่ยวในที่แปลกๆ ที่คนไทยบางคนยังไม่เคยไปด้วยซ้ำ เป็นการท่องเที่ยวสไตล์ง่ายๆ เจอร้านอาหารข้างทางก็แวะ เจอน้องหมาน้องแมวก็ให้ขนม ในคลิปมีการพูดภาษาไทยกันตลอด แม้ทั้งคู่จะเป็นชาวเกาหลีด้วยกัน พูดผิดๆ ถูกๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูให้กับด้อมไทย เกิดกระแสไวรัลไปทั่ว

    ส่งผลให้พี่จอง คัลแลน มีงานพรีเซ็นเตอร์เข้ามากมาย ทั้ง AIS, Samsung, La Roche Posay (ครีมกันแดด), Jerhigh (อาหารสุนัข) และ M-150 รวมไปถึงหลายแบรนด์จ้องที่จะร่วมงานในการส่งสินค้าไปไทอินในคลิป หรือส่งสินค้าไปรีวิว แต่ทางช่องมีการคัดเลือกที่เข้มงวด เนื่องจากไม่อยากให้กระทบเนื้อหา จึงไม่ได้รับงานรีวิวเท่าไหร่นัก  

    รวมไปถึง “พี่ฮง” ​​เจ้าของยูทูบช่อง Oppa Hong หนุ่มเกาหลีอารมณ์ดี ที่ล่าสุดหลายคนก็เชียร์กับกระแสจิ้นกับน้องรถไถ ก็เป็นหนึ่งในอินฟลูเกาหลีที่คนไทยให้ความสนใจด้วยเช่นกัน 

    มหากาพย์ “กามิน” สาวเกาหลีสะเทือนวงการอินฟลู

    นอกจากเหล่าอปป้าเกาหลีที่บรรดาด้อมไทยพร้อมเปย์ใจให้แล้ว ล่าสุดยังมี “กามิน” หรือจีกามิน TikToker สาวชาวเกาหลีที่มีกระแส “ชาลี-กามิน” มหากาพย์นี้ได้เริ่มต้นจาก “แน็ก ชาลี” ที่เห็นไลฟ์ของสาวกามินที่เล่าเรื่องราวของตนเองว่าต้องหาเงินเรียนหนังสือ ต้องกินซีเรียล และบะหมี่ซอง ทำให้ชาลีต้องการยื่นมือช่วยเหลือ 

    ชาลีค่อนข้างมีฐานแฟนคลับ เมื่อนำเรื่องราวมาเล่าก็ทำให้ยอดผู้ติดตามของกามินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นกระแสจิ้น และนำไปสู่เส้นทางความรัก พร้อมกับการเดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย ทั้งรับงานพรีเซ็นเตอร์ ออกอีเวนต์ รวมถึงไลฟ์สดขายของร่วมกัน ก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

    ซึ่งรายได้ที่กามินได้จากการมาทำงานในประเทศไทยถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เผลอๆ อาจเทียบเท่าดาราเบอร์ใหญ่ๆ เลยทีเดียว โดยข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ บอกว่ากามินโกยรายได้ถึง 100 ล้านบาท แน็ก ชาลีเองก็เคยเปิดเผยในไลฟ์สดว่ารายได้ที่กามินหาได้สามารถใช้ได้จนถึงอายุ 50 เลยด้วยซ้ำ แม้จะเป็นการพูดเปรียบเปรยประชดประชัน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล 

    สรุปสิ่งที่กามินได้หลังจากการทำงานในไทย 

    – ไลฟ์สดขายของ ไลฟ์งานคู่งานละ 3-4 ล้านบาท โดยไม่คอมเฟิร์มยอดขาย เน้นคนมาร่วมชมไลฟ์สด 

    – งานอีเวนต์ค่าตัวรวมกันหลักล้าน งานพรีเซ็นเตอร์หลัก 10 ล้าน 

    – เป็นโฮสใน PK TikTok ที่กามินอยู่ใต้สังกัดเอเจนซี่ มียอดติดตาม และยอดเปย์ถล่มถลาย ยืน 1 ของเกาหลี และติด Top 3 ระดับโลก 

    – สร้างสถิติท็อปฟอร์มอันดับ 1 บนชาร์ตกิจกรรม TikTok Live เป็นสถิติที่ไม่มีคนเกาหลีคนไหนทำได้มาก่อน 

    – กามินเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ TikTok เกาหลีที่ทำเงินได้ตลอดสัปดาห์เกิน 20 ล้าน รางวัลสำหรับที่ 1 คือ 1. ได้ขึ้นป้ายโฆษณาโปรโมตที่สถานีรถไฟใต้ดินที่เกาหลี ซึ่งรัฐบาลเกาหลีก็พร้อมซัพพอร์ตกามินให้ได้มีภาพบิลบอร์ดติดที่บริเวณสถานีกังนัม ที่มีแต่คนดังเท่านั้นที่ได้ขึ้นบิลบอร์ดในย่านนี้ อาทิ ไช กังนัมสไตล์ แบล็กพิงก์ 2. ได้โล่ทองกิจกรรมพร้อมสลักชื่อ MVP 3. ได้เงินรางวัลประจำสัปดาห์ แบบยังไม่หักรายจ่าย 4. ได้รับเชิญไปงานอีเวนต์ของ TikTok Live เกาหลีที่จะประกาศในอนาคต กิจกรรมเหล่านี้เพิ่มความนิยมให้คนเกาหลีรู้จักกามินมากขึ้น

    ต้องบอกว่าความสำเร็จของกามินมาจากฐานแฟนคลับคนไทยทั้งสิ้น ฐานแฟนคลับของชาลี ที่ต้องการช่วยเหลือ รวมไปถึงการเปย์เพื่อแลกกับความสุขทางใจ แลกกับความบันเทิงที่ทั้งสองทำคอนเทนต์ร่วมกัน จากกามินที่เป็นสาวเกาหลีธรรมดา มีคนดูไลฟ์เพียงแค่ 5 คน ตอนนี้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ

    แต่กามินเองก็โดนกระแสแบน กระแสตีกลับ คนไทยแห่อันฟอลโลว์ในทุกช่องทางจนผู้ติดตามหล่นฮวบอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาทั้งในด้านของอินฟลูเอง และแฟนคลับสายเปย์

    เข้าใจเรื่อง “ภาษี” ได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ

    อินฟลูเอนเซอร์เป็นหนึ่งอาชีพที่หารายได้ได้เยอะ มาจากทั้งรีวิวสินค้า งานอีเวนต์ งานไลฟ์ต่างๆ สิ่งที่เกิดปัญหาบ่อยครั้งคือหลายคนยังไม่เข้าใจในระบบภาษี บางคนยื่นผิดแบบ ทำให้เจอภาษีย้อนหลังกันอ่วม และเรื่องภาษีนี่เองก็เป็นหนึ่งในรอยร้าวของชาลี กามิน ซึ่งทางฝ่ายหญิงไม่เข้าใจในระบบภาษีของไทยที่เก็บแบบอัตราภาษีก้าวหน้า นั่นคือได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ สูงสุดที่ 35% 

    อัตราภาษีก้าวหน้า คือ การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิ ยิ่งรายได้สูง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยระบบนี้จะแบ่งรายได้ออกเป็นขั้นบันได และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนดในแต่ละขั้น ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 8 ขั้น โดยเริ่มจาก 0% จนถึง 35% ตามระดับรายได้สุทธิที่แตกต่างกัน

    1. รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
    2. รายได้ 150,001 – 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
    3. รายได้ 300,001 – 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
    4. รายได้ 500,001 – 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
    5. รายได้ 750,001 – 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%
    6. รายได้ 1,000,001 – 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%
    7. รายได้ 2,000,001 – 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30%
    8. รายได้มากกว่า 5,000,000 บาทขึ้นไป: อัตราภาษี 35%

    สำหรับอัตราภาษีก้าวหน้าของเกาหลีใต้ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นแบ่งออกเป็นหลายช่วง ซึ่งอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิของผู้เสียภาษี

    1. รายได้ไม่เกิน 12 ล้านวอน: อัตราภาษี 6%
    2. รายได้ 12 – 46 ล้านวอน: อัตราภาษี 15%
    3. รายได้ 46 – 88 ล้านวอน: อัตราภาษี 24%
    4. รายได้ 88 – 150 ล้านวอน: อัตราภาษี 35%
    5. รายได้ 150 – 300 ล้านวอน: อัตราภาษี 38%
    6. รายได้ 300 – 500 ล้านวอน: อัตราภาษี 40%
    7. รายได้ 500 – 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 42%
    8. รายได้มากกว่า 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 45%

    เกาหลีใต้ ยังมีระบบการเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เป็นส่วนท้องถิ่น (Local income tax) ซึ่งคิดอัตราเพิ่มเติมที่ 10% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องจ่ายด้วย​​

    ]]>
    1489630
    “เซียนโอ๊ต บางแพ” ชำแหละวงการ “พระเครื่อง” อาร์ตทอยสายพุทธคุณ https://positioningmag.com/1488028 Thu, 29 Aug 2024 09:44:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488028 พูดคุยกับ “เซียนโอ๊ต บางแพ” ประธานชมรมพระเครื่องกลุ่มสันขวาน ภาคตะวันตก กับชีวิตที่ผันตัวมาเป็นเซียนพระ ชำแหละวงการเซียนพระที่ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องพาณิชย์ มีแต่คนจ้องมาหาผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงพุทธคุณ พร้อมปั้นแอปพลิเคชัน SK Check ให้ประชาชนทั่วไปส่งพระมาเช็กในแอปในราคาย่อมเยา ป้องกันการถูกหลอก

    รอดตายจากพระเครื่อง เลยมาเป็นเซียนพระ

    วงการพระเครื่องขึ้นชื่อว่าเป็นอีกวงการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง พร้อมกับลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย แต่เดิมวงการพระเครื่องอาจจะจำกัดอยู่แค่ในวงของคนที่ชื่นชอบจริงๆ หรือเรียกว่าเซียนพระ แต่ปัจจุบันเริ่มมีคนบางกลุ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ เข้ามาจับธุรกิจพระเครื่องมากขึ้น

    Positioning มีโอกาสพูดคุยกับ อาทิตย์ นวลมีศรี เจ้าของตลาดนัดพระเครื่องภาคตะวันตก (ตลาดกอบกุล) หรือ “เซียนโอ๊ต บางแพ” หัวหอกกลุ่มสันขวานที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าเซียนพระภาคตะวันตก แต่เดิมเซียนโอ๊ตทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เกิดเกิดอุบัติเหตุแล้วรอดตาย จึงเกิดความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนบูชา ประกอบกับลองปล่อยพระที่เคยสะสมแล้วได้กำไรจริงๆ จึงผันตัวมาเป็นเซียนพระอย่างเต็มตัว

    “มาเป็นเซียนพระได้เพราะเกิดจากความชอบ จริงๆ ตอนเด็กๆ กลัวผี คนไทยถูกปลูกฝังเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานานอยู่เลยห้อยพระตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเรียน ม.รามคำแหง แล้วเคยโดนรถชนแต่ไม่เป็นอะไรเลย ตอนนั้นห้อยพระกิ่งวัดสุทัศน์ พอเรียนจบก็ทำธุรกิจขายอาหารทะเล ต้องขับรถกลางคืนอยู่ตลอด มีเหตุเกือบตายหลายหน แล้วบางทีขายไม่ดีก็พอขอพรจากพระก็ขายได้ เลยรู้ว่าพระเครื่องคุ้มครองเรามีอยู่จริง เลยเริ่มเก็บพระเครื่อง เริ่มดูจากตามหนังสือต่างๆ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ พอมีลูกเลยอยากเปลี่ยนอาชีพ เลยเอาพระที่สะสมมาปล่อยเช่า เคยซื้อมา 10 องค์ 1,500 บาท แต่ขายได้ 7 องค์ 75,000 บาท เลยมาคิดว่าความรู้ความสามารถจะไปทำเกี่ยวกับพระได้มั้ย เลยเปลี่ยนอาชีพมาเล่นพระจริงจัง” 

    ปัจจุบันเซียนโอ๊ตมีพระเครื่องไม่ต่ำกว่า 200,000 องค์ ประเมินมูลค่านับ 70 ล้านบาท แต่เป็นตัวเลขที่ประเมินเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนี้มีซื้อขายหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

    เซียนโอ๊ตบอกว่า การเป็นเซียนพระในตอนนี้ “เกินกว่าความชอบ แต่ชอบแล้วได้ด้วย”

    อาร์ตทอยแห่งวงการพุทธคุณ ปั่นกระแส ปั่นกำไร

    ปัจจุบันพระเครื่องไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคล แต่กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดพระเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรายงานข่าวจาก South China Morning Post ระบุว่าตลาดพระเครื่องของไทยมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความเลื่อมใสในพุทธคุณและนิยมสะสมพระเครื่อง กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปด้วย

    ถ้าถามว่าพระเครื่องเป็นที่นิยมได้อย่างไร แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้วงการนี้ยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ แต่วงการนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แต่เดิมพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาใน “พุทธคุณ” จริงๆ แต่ปัจจุบันคนมองที่ “ผลประโยชน์” จากการเก็งกำไรเสียมากกว่า

    “แต่ก่อนวงการพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาในพุทธคุณของพระจริงๆ เชื่อว่าพุทธคุณจะคุ้มครอง ช่วยส่งเสริมต่างๆ แต่ปัจจุบันวงการพระเครื่องถูกทำลายโดยมิจฉาชีพ มองเห็นผลประโยชน์ แล้วนำมาเก็งกำไร ใช้ความไม่รู้ของผู้บริโภคเป็นจุดอ่อนในการทำพระใหม่มาขาย ซึ่งวงการนี้ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อล้วนๆ”

    เซียนโอ๊ตเสริมอีกว่า วงการพระเครื่องไม่มีเซ็กเมนต์เยอะ มีแค่พระเก่า กับพระใหม่เท่านั้น ซึ่งพระก่อนปี 2500 จะมีมูลค่ามากกว่า สถานการณ์ในปัจจุบันนี้คือ มีบางคนทำพระใหม่ บางครั้งใช้วิธีทำน้อยเพื่อสร้างสถานการณ์ให้หายาก แล้วเก็งกำไรแพงๆ หรือบางคนถึงกับทำเป็นกล่องสุ่ม ใส่เบอร์เหมือนหวยก็มี 

    “ต้องบอกว่าช่องโหว่ในวงการพระเยอะมาก ต้องทำให้คนดูพระเป็นให้ได้ เพื่อไม่ให้ถูกหลอก วงการนี้ขึ้นอยู่กับเซียนพระล้วนๆ จะมาขายก็ต้องให้เซียนพระที่ดูเป็น จะถูกจะแพงอยู่ที่เซียนพระ ถ้าจะเปรียบเป็นอาร์ตทอยก็ไม่ผิดเลย เพราะพระเครื่องก็คือของสะสมอย่างหนึ่ง แต่มีความเชื่อด้วย ตอนนี้อยากให้วงการกลับไปอนุรักษ์พระเครื่อง แต่ก่อนไม่เคยคิดว่ามีการตลาดให้วงการพระ แต่วงการมันผิดเพี้ยนเพราะคนไปทำการตลาด เน้นเรื่องทำกำไร” 

    ลงทุนทำแอป SK Check รับเช็กพระ

    เนื่องจากปัญหาของวงการพระเครื่องในปัจจุบันที่ทำให้คนที่ไม่ได้ศรัทธาในพระเครื่องจริงๆ มาหาผลประโยชน์ ทั้งการปั่นกระแส ปั่นกำไร เซียนโอ๊ตจึงร่วมกับชมรมพระเครื่องสันขวานทำแอปพลิเคชัน SK Check ในการให้ผู้บริโภคส่งพระเข้ามาเช็กได้ ใช้งบลงทุน 3 ล้านบาท

    “ตลาดพระเครื่องเม็ดเงินสูงมาก แต่ไม่มีมาตรฐานกลางว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม อันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องพึ่งเซียนเป็นคนดูให้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเซียน พอเห็นว่ามีคนที่หาผลประโยชน์จากพระ เอาเปรียบคนที่ดูพระไม่เป็นในการกดราคาบ้าง หลอกขายพระปลอมบ้าง เลยทำแอป ให้คนเข้ามาเช็กพระได้ ซึ่งพระก็เหมือนของแบรนด์เนม เอามาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้” 

    เซียนโอ๊ต เล่าอีกว่า แอปนี้ใช้เวลาพัฒนา 2 ปี โดยผูกกับ LINE Official ที่เป็นแอปยอดนิยมของคนไทย มีค่าธรรมเนียมในการเช็กพระองค์ละ 100 บาท ที่อื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 700 บาท มีเซียนพระผู้ชำนาญในการดูพระกว่า 20 คน ใช้เวลาดูพระราว 10 นาที จากนั้นจะมีบัตรดิจิทัลว่าพระแท้ หรือไม่แท้ เพื่อใช้ในการปล่อยขายได้ ซึ่งจะไปขายเองที่อื่น หรือจะปล่อยเซียนก็ได้ หรือจะลงในกลุ่มแลกเปลี่ยนซื้อขายพระเครื่องก็ได้

    หลังจากเปิดให้ทดลองใช้พรี 3 เดือน ในเดือนแรกมีผู้ส่งเข้ามาเช็ก 46,000 องค์ มีอัตราดูผิดไม่ถึง 5 องค์ ปัจจุบันมีการส่งพระเข้ามาตรวจที่ 200,000 องค์ มีอัตราการดูผิดไม่ถึง 100 องค์ ปัจจุบันสามารถตรวจได้มากสุดที่ 30,000 องค์/เดือน

    ลงทุนพระ ผลตอบแทนดี ไม่ต้องเสียภาษี

    “ความสุขของคนเล่นพระ คือ แยกได้ รู้ว่าแท้ไม่แท้”

    พระเครื่องกลายเป็นอีกหนึ่ง “การลงทุน” ของคนไทย ที่ให้ผลตอบแทน ผลกำไร ไม่ต่างจากการลงทุนหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์เลย เพราะได้ผลกำไรหลายเปอร์เซ็นต์ แถมข้อดีก็คือไม่ต้องเสียภาษี เพียงแต่จุดอ่อนก็คือ ยังไม่มีราคากลาง ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางจิตใจล้วนๆ

    “พระเครื่องจะไม่มีการกำหนดราคากลางที่แท้จริง ราคาของพระเครื่องจะเกิดจากการซื้อซ้ำ ถ้ามีคนซื้อเยอะนั่นจะเรียกว่าราคากลาง ขึ้นอยู่กับพระที่หมดไปแล้ว หรือหลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เหรียญเก่าต่างๆ ของที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มมูลค่า หรืออะไรที่สร้างเพิ่มไม่ได้จะมีมูลค่าเยอะ” 

    เซียนโอ๊ตยังปิดท้ายว่า สำหรับการลงทุนพระเครื่อง ยังเป็นวงการที่น่าลงทุนอยู่ เพราะพระเครื่องราคาขึ้นปีละหลักล้านเป็นเรื่องปกติมากๆ อีกทั้งยังไม่ต้องเสียภาษี แต่ก่อนคนเล่นพระไม่ค่อยอยากขาย เพราะอยากเก็บพระรอไปงานประกวดทีเดียว ตอนนี้มีการซื้อขายตลอด ผลตอบแทนหวังผลได้ 100% อย่างน้อยๆ ผลตอบแทนต้องมากกว่า 10% ขึ้นไป

    ]]>
    1488028
    Emily’s หมี่ไก่ฉีกเงินล้าน กรณีศึกษาก๋วยเตี๋ยวกล่องดาวรุ่ง https://positioningmag.com/1487643 Thu, 29 Aug 2024 04:49:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487643 ธุรกิจข้าวกล่องเคยเป็นตลาดที่ใครก็สามารถเข้ามาทำตลาดได้ง่าย ขอเพียงมีฝีมือและมีช่องทางก็สามารถเติบโตบนเวทีซื้อขายเมนูอาหารพร้อมรับประทานแบบมีอุปสรรคไม่ซับซ้อนเท่าธุรกิจอื่น แต่วันนี้ ผู้ประกอบการรายใหม่ต่างเข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขยายไลน์ด้วยการจัดอาหารลงกล่องเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มตลาดที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ รวมถึงผู้ประกอบการรายเล็กที่มีความหวัง และปักหลักแข่งขันในธุรกิจ Grab & Go มากขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    แม้สถานการณ์การแข่งขันจะดุเดือดเผ็ดร้อน แต่ Emily’s สามารถสร้างชื่อเสียงโดดเด่นในฐานะแบรนด์ที่ขายหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังวางจำหน่าย โดยเฉพาะเมื่อ Emily’s ยกร้านไปเปิดบูธขายชั่วคราวที่ห้างหรืองานเทศกาลอาหาร หลายคนจะได้เห็นภาพชินตาที่แฟนคลับคนรักเส้น พร้อมใจเข้าแถวรอคิวยาวหน้าร้านเพื่อซื้อ “เส้นหมี่แห้งหน้าไก่ฉีก” เมนูธรรมดาที่ถูก Emily’s ยกระดับไปอีกขั้นและนำไปบรรจุลงกล่องสวยงามน่าชิม

    ถามว่าอะไรคือส่วนสำคัญในการเสิร์ฟ Emily’s ให้ติดใจผู้คน? เรื่องนี้อาจต้องย้อนไปฟังไอเดียตั้งต้นของ “ภัทร์-ธภรัท เวโรจน์ฤดี” และ “เพ็บ-นัยน์ชนก ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” ที่เคยให้สัมภาษณ์ถึงธุรกิจเส้นหมี่ไก่ฉีก Emily’s ของทั้งคู่ไว้หลายครั้ง แต่ท่ามกลางคำตอบที่กระจายในหลายส่วนประกอบ  “ดร.พิชญ์ณัฐ เนื่องจำนงค์” ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์และการสื่อสารการตลาด วิเคราะห์ว่า หนึ่งในแกนใหญ่ของฐานความสำเร็จที่ส่งให้แบรนด์ Emily’s สามารถติดปีกบินไปสู่ฐานะ Million-Dollar Chicken Noodle ได้สบาย คือการติดกระดุมเม็ดแรกด้วยความเข้าใจใน 3 ข้อถ้วน โดยทุกข้อสามารถเป็นกรณีศึกษาชั้นยอดให้กับนักธุรกิจทุกคนได้

    ปฏิวัติเมนูคลาสสิก

    ก่อนจะไปดูรายละเอียดที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ได้วิเคราะห์ถึงความสำเร็จและถอดบทเรียนเรื่อง Emily’s เราควรรู้ว่าเส้นหมี่ไก่ฉีกเวอร์ชันของ Emily’s นั้นโด่งดังมากบนเครือข่ายสังคมอย่าง TikTok และ Instagram ด้วยสูตรลับและบรรจุภัณฑ์ลุคเก๋ไก๋ที่ปฏิวัติเมนูคลาสสิก ทำให้เส้นหมี่ไก่ฉีก Emily’s ดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก จนช่วงแรกมีข่าวว่าขายหมดภายในเวลาไม่นานหลังวางจำหน่าย

    ผู้ก่อตั้ง Emily’s ทั้งภัทร์และเพ็บนั้นสร้างธุรกิจก๋วยเตี๋ยวกล่องจากเมนูโปรดในวัยเด็ก ทั้งคู่ให้เครดิตความสำเร็จกับสูตรเส้นหมี่ประจำครอบครัวที่สืบทอดมาจากคุณย่าของสาวเพ็บ โดยนำมาผสมผสานกับน้ำพริกหมูกระจกแบบโฮมเมดที่พัฒนาสูตรพิเศษขึ้นมาเอง ทำให้เส้นหมี่ไก่ฉีกรสกลมกล่อมนี้มีความแตกต่าง จนได้เห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดข้าวกล่อง ซึ่งยังไม่มีใครปรุงเส้นหมี่ลักษณะนี้มาก่อน 

    ภัทร์และเพ็บใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียเพื่อดันให้ Emily’s เติบโตในช่วงแรก โดยจากการเปิดสั่งจองล่วงหน้าทางออนไลน์ Emily’s ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งไม่เพียงเนื้อหาบน TikTok แต่กระแสบนโซเชียลมีเดียอื่นก็ขยายการเข้าถึงเส้นหมี่ Emily’s จนมีฐานแฟนเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ทั้งลูกค้าใหม่ที่อยากรับประสบการณ์ว้าวซึ่งเคยได้รับฟังมา หรืออาจสะดุดตากับแถวรอคิวยาวและ Packaging บรรจุภัณฑ์ที่เป็น กล่องกระดาษแนวใหม่เก๋ไก๋ รวมถึงลูกค้าเก่าที่ปลื้มกับรสชาติถูกปาก ถูกใจจนมีการซื้อซ้ำ

    เพ็บเคยเล่าว่าในตอนแรก ลูกค้าของ Emily’s คือคนที่เพ็บและภัทร์รู้จัก แต่การบอกต่อและเนื้อหา TikTok ได้ขยายการเข้าถึงของ Emily’s อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อลูกค้าผู้ซื้อซ้ำและลูกค้าใหม่ที่ได้รับแรงผลักดันจากการนำเสนอทางออนไลน์ คือแรงขับเคลื่อนการเติบโต Emily’s จึงต้องมุ่งรักษาคุณภาพให้ได้ท่ามกลางเสียงวิจารณ์

    แม้ว่าวัตถุดิบคุณภาพสูงจะมีราคาไม่ธรรมดา แต่ 2 ผู้ก่อตั้ง Emily’s ก็ปฏิเสธที่จะประนีประนอม โดยเลือกใช้ผักออร์แกนิก และไก่เนื้อนุ่ม ตั้งราคาขายกล่องละ 125 บาท นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ราคาบนโซเชียลมีเดีย เรื่องนี้ทั้งภัทร์และเพ็บต่างยืนยันถึงความเชื่อมั่นในการขายสินค้าคุณภาพสูง จึงวางแนวทางให้ Emily’s ยังคงแน่วแน่และมุ่งมั่นต่อคุณภาพ แม้ว่าจะหมายถึงราคาที่สูงขึ้นก็ตาม ซึ่งเมื่อลูกค้าชื่นชมความสดและคุณภาพ ราคาของ Emily’s จะสมเหตุสมผล

    จากออนไลน์สู่ออฟไลน์

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Emily’s คือการขยับจากขายออนไลน์ไปสู่การขายหน้าร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม สถิติที่เคยทำได้ในบูธแรกที่ห้างสรรพสินค้า คือ Emily’s ขายได้ 300 กล่องภายใน 1 ชั่วโมง ซึ่งเกินความคาดหมายมาก

    ทั้งเพ็บและภัทร์ต่างประหลาดใจกับผลการตอบรับของลูกค้า ผู้คนเข้าแถวกันตั้งแต่ก่อนที่ Emily’s จะเปิดจำหน่าย ภาวะนี้เพิ่มความมั่นใจอย่างมาก และเป็นการยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของ Emily’s มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง โดยภัทร์เคยบอกว่าการออกบูธแต่ละครั้ง ยอดขายอย่างต่ำคือ 800-1,000 กล่อง หรือราว 125,000 บาท

    ความสำเร็จของ Emily’s แสดงให้เห็นว่าอาหารแบบดั้งเดิมสามารถถูกคิดค้นใหม่และประสบความสำเร็จในตลาดสมัยใหม่ได้จริง สามารถแย่งส่วนแบ่งได้ทั้งตลาดร้านอาหารและตลาดอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งในส่วนมูลค่าตลาดร้านอาหารของประเทศไทยทั้งปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่ามีการเติบโตร้อยละ 7.1 คิดเป็นมูลค่า 4.35 แสนล้านบาท แต่เป็นการขยายตัวอย่างไม่ทั่วถึง และผู้ประกอบการร้านอาหารโดยส่วนใหญ่ยังคงต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายทางธุรกิจ อาทิ การแข่งขันที่รุนแรงในทุกเซ็กเมนต์และระดับราคา ต้นทุนธุรกิจที่ทรงตัวสูง และการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการสร้างผลกำไร โดยเฉพาะร้านอาหารกลุ่ม Casual Dining ซึ่งกำลังอ่วมพิษจากจำนวนผู้เล่นที่มีความหนาแน่นสูงในเซ็กเมนต์ ขณะที่กลุ่ม Quick Service Restaurant เผชิญกับโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

    ติดกระดุมเม็ดแรกที่ 3 ความเข้าใจ

    ดร.พิชญ์ณัฐ เนื่องจำนงค์ ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์และการสื่อสารการตลาด วิเคราะห์แบรนด์ Emily’s ในฐานะกรณีศึกษาที่สะท้อนว่าการติดกระดุมเม็ดแรกที่ความเข้าใจ 3 ข้อ จะทำให้ธุรกิจเริ่มไปต่อได้ ตั้งแต่การเข้าใจที่ตัวเอง เข้าใจผู้บริโภค และเข้าใจเทรนด์ที่สังคมกำลังโฟกัส

    1. เข้าใจตัวเอง

    ดร.พิชญ์ณัฐ ขยายความส่วน “เข้าใจตัวเอง” ว่า Emily’s เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงความ Authentic ของสินค้าที่เป็นสูตรต้นตำรับไม่ซ้ำใคร ความที่ storytelling ชัดเจนผ่านสูตรเด็ดของตระกูลดัง “ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” บวกกับจุดขายสำคัญคือการคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพดี ซึ่งไม่เพียงการใช้ผัก Organic แต่การมี Packaging ที่สวยสะดุดตาและรักษ์โลก ก็มีส่วนทำให้ Emily’s สร้างความแตกต่างและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้ตอบรับกับ Rate ราคาของสินค้าที่สูงกว่าท้องตลาด โดยลักษณะของอาหารเอง ก็เหมาะกับการทำออกมาในรูปแบบอาหารพร้อมรับประทาน ง่ายต่อการบริโภคในวงกว้าง


    2. เข้าใจผู้บริโภค

    สำหรับส่วน “เข้าใจผู้บริโภค” บรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษดูเก๋มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของ Emily’s เพราะทำให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่นและดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบของเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา รวมถึงพนักงานออฟฟิศที่พกพาและรับประทานได้ง่าย  ขณะเดียวกันก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อมครบสูตร

    “พฤติกรรมการรับประทานอาหารกล่อง/อาหารพร้อมทานกำลังมาแรง และแผ่ขยายเป็นวัฒนธรรมการกินแบบใหม่ 

    การออกสินค้าที่รับประทานได้ง่าย ซื้อแล้วกินได้ทันทีไม่ต้องเก็บล้าง ไม่วุ่นวาย กินได้แม้ on the go ซื้อฝากก็ง่ายด้วย ขณะเดียวกันก็บรรจุภัณฑ์สวยสะดุดตา ตอบโจทย์ Camera eats first แห่งยุค”

    ดร.พิชญ์ณัฐมองว่า Emily’s เลือกช่องทางการสื่อสารที่อยู่ในกระแสที่จุดให้ติดได้ไว ขณะเดียวกันก็เลือกใช้การออกบูธเพื่อให้เกิด Interaction กับผู้บริโภคโดยตรง วิธีนี้ทำให้ได้ภาพชัดเจนของความ Popular เวลาเกิดภาพคนต่อแถวยาว Emily’s จึงสามารถใช้กลยุทธ์ “ให้ภาพมันเล่าเรื่อง” ซึ่งเมื่อใครเห็นคนนึงสนใจ ก็เกิดอาการสนใจตามกัน แม้จะซื้อหรือไม่ก็ตาม นำไปสู่การใช้ Testimonial ที่แบรนด์ไม่ได้บอกเองว่าอร่อย แต่สามารถยืนยันได้ด้วยเสียงคนรอบข้าง

    3. เข้าใจเทรนด์

    นาทีนี้เทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นร้อนแรงที่คนให้ความสำคัญกันมาก สำหรับ Emily’s แบรนด์สามารถอุดรอยรั่วได้ดีตั้งแต่ต้น เพราะด้วยความเป็นอาหารกล่องที่มักถูกโจมตีเรื่องการสร้างขยะ จึงเลือกใช้วัสดุย่อยสลายได้ง่าย ปิดประตูดราม่าไปได้หนึ่ง

    “สรุปคือ สิ่งที่เรามีและอยากขาย เป็นสิ่งที่ผู้บริโภค อยากรู้ อยากลอง มองหา ตอบโจทย์ในหลายมิติ ประกอบกับหากช่วงเวลานั้นๆ ไม่ได้มีคู่แข่งโดยตรงที่กำลังขายสินค้าลักษณะเดียวกัน ปัจจัยนี้ทำให้เกิดช่องว่างทาง การตลาด และเกิดเป็นกระแสให้คนเกิดความสนใจ หากทำความเข้าใจตัวเอง ผู้บริโภค และเทรนด์ได้ดีก็จะสามารถเติมเต็มช่องว่างนั้น และครองพื้นที่ทางการตลาดได้ในที่สุด”

    หมี่ไก่ฉีกเงินล้าน Emily’s จึงเป็นกรณีศึกษาธุรกิจข้าวกล่องดาวรุ่ง ที่ติดกระดุมเม็ดแรกด้วยความเข้าใจ 3 ข้อได้ชัดเจนจนเริ่มไปต่อได้ฉลุย
    ]]>
    1487643
    อันยอง! JUNO HAIR ซาลอนเบอร์ 1 เกาหลีบุกไทย เปิดสาขาแรกที่รัชดา https://positioningmag.com/1487790 Wed, 28 Aug 2024 10:23:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487790 กระแสเกาหลีฟีเวอร์ยังคงเป็นที่นิยมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเพลง K-Pop หรือซีรีส์เกาหลี ยังคงมีอิทธิพลต่อคนไทยอย่างยิ่ง ทั้งอาหาร การท่องเที่ยว แฟชั่น หรือแม้แต่สไตล์หน้าผมต่างๆ ก็ขอให้ได้กลิ่นอายเกาหลีบ้าง

    ใครที่เคยไปเยือนประเทศเกาหลีอาจจะคุ้นเคยกับแบรนด์ JUNO HAIR (จูโน แฮร์) กันมาบ้าง ซึ่งเป็นแบรนด์ซาลอนอันดับ 1 ในเกาหลี ก่อตั้งโดย “คัง ยุน ซัน” ตำนานแฮร์สไตลิสต์ชื่อดัง เปิดมาแล้ว 42 ปี ตั้งแต่ปี 2525 มีสาขากว่า 180 แห่งทั่วเกาหลี 

    คัง ยุน ซัน juno hair

    ตอนนี้ JUNO HAIR ได้เข้ามาเปิดสาขาที่ไทยแล้วเรียบร้อย บริหารงานโดยบริษัท โซวัน จำกัด เปิดสาขาแรกที่โรงแรมกราฟ ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นพื้นที่ของธุรกิจในเครือ บนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร สาขานี้จะเป็นแฟลกชิปสโตร์ เพื่อนำร่องสู่สาขาอื่นๆ ในอนาคต  

    แต่เดิม 2 พาร์ทเนอร์ โชติกร ปัญจทรัพย์ และภูริวัจน์ จิตติวัชราทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทโซวัน จำกัด มีธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้ว ทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี รวมถึงโรงแรมกราฟ (Graph Hotel) ด้วยเช่นกัน แต่มองเห็นโอกาสของธุรกิจซาลอนสไตล์เกาหลีระดับพรีเมียมในประเทศไทย ที่ยังไม่มีผู้เล่นใหญ่ในตลาด และยังไม่มี Top of Mind เท่าไหร่ 

    juno hair

    จึงสนใจ JUNO HAIR ที่เป็นเบอร์ 1 ในเกาหลี เป็นตำนานที่หลายคนรู้จัก โดยได้ทำการพูดคุยราว 2 ปี ถึงได้เปิดให้บริการสาขาแรกได้ โดยโมเดลธุรกิจเป็นการซื้อแฟรนไชส์ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ที่ JUNO HAIR ออกนอกเกาหลี ต่อจากจีน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และเป็นประเทศแรกที่ใช้โมเดลแฟรนไชส์ ประเทศอื่นเป็นโมเดลการร่วมทุน

    จุดเด่นของร้าน JUNO HAIR คือมาตรฐานแบบเดียวกันทุกสาขา แม้จะทำผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ​ก็เหมือนอยู่ในกรุงโซลได้ เพราะพนักงานต้องได้รับการเทรน 3 เดือน เพื่อให้บริการในรูปแบบเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน 

    juno hair

    สำหรับการออกแบบร้าน JUNO HAIR ที่โรงแรมกราฟ รัชดาภิเษก เป็นการถอดแบบมาจากซาลอนผมที่เกาหลี คลุมโทนด้วยสีขาว น้ำตาล และทอง เพื่อประสบการณ์หรูหรา อบอุ่น ผ่อนคลาย ทุกพื้นที่ของซาลอน ทีมงานจากเกาหลีใต้ จะมาร่วมให้คำแนะนำในการกำหนดสัดส่วน และตำแหน่งจัดวางของ เก้าอี้ทำผม กระจกเงา และอุปกรณ์ของช่างทำผมที่ส่งตรงจากเกาหลีเช่นกัน 

    สาขานี้ใช้งบลงทุน 50 ล้านบาท โดยมีการตั้งเป้าใช้งบลงทุน 300-500 ล้านบาทในการขยายสาขาอีก 20 แห่ง ภายใน 10 ปี ในช่วงแรกเน้นที่ทำเล CBD ใจกลางกรุงเทพฯ ก่อน โดยสาขาต่อไปอาจจะได้เห็นที่โครงการ ONE BANGKOK และ Dusit Central Park เน้นโลเคชั่นที่มีทราฟฟิกผู้ใช้บริการเยอะ และประชากรในละแวกนั้นมีกำลังซื้อสูง

    juno hair

    มีการประเมินว่าตลาดซาลอนในประเทศไทยมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการราว 120,000 ราย โดยที่ JUNO HAIR ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดที่ 5-7%

    juno hair

    juno hair

    ]]>
    1487790
    ไทยนิปปอนรับเบอร์ ต่อสัญญา PLBY ผลิตถุงยาง PLAYBOY ตีตลาดพรีเมียม คนไทยใช้ถุงยางไม่ถึง 200 ล้านชิ้น/ปี https://positioningmag.com/1487361 Fri, 23 Aug 2024 10:24:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487361 ไทยนิปปอนรับเบอร์ หนึ่งในผู้ผลิตถุงยางอนามัยสัญชาติไทย ได้ต่อสัญญา PLBY Group ในการผลิต และจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY หลังเคยดีลกันเมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่มีเรื่องเข้าใจผิดจนต้องล้มเลิกสัญญา ครั้งนี้ลงนามสัญญายาว 30 ปี หวังตีตลาดถุงยางอนามัยระดับพรีเมียม

    บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ยักษ์ใหญ่แห่งวงการถุงยางอนามัยของไทย มีประสบการณ์กว่า 31 ปี มีแบรนด์ ONETOUCH เป็นหัวหอกหลัก และรับผลิต OEM ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุด 2,000 ล้านชิ้นต่อปี และส่งออกไปขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

    ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 บริษัทเคยเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันในการตกลงเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัย PLAYBOY แต่แล้วเมื่อปี 2564 TNR ได้ยื่นฟ้องร้อง บริษัท เพลย์บอย เอ็นเทอร์ไพร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท โปร ดักส์ ไลเซนซิ่ง จำกัด หรือรวมเรียกว่า “เพลย์บอย” ต่อศาลแขวงสหรัฐฯ ประจำเขตแคลิฟอร์เนีย เรียกร้องค่าเสียหายมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ฐานใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำผิดต่อกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา

    แต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ทาง TNR ได้ถอนฟ้องเพลย์บอย ทั้ง 2 บริษัทได้ไกล่เกลี่ยกันลงตัว มาพร้อมด้วยการต่อสัญญาสิทธิ์ใหม่อีก 30 ปี

    ภายใต้ความร่วมมือนี้ TNR จะเป็นผู้ได้รับไลเซนส์ PLAYBOY ในการผลิต และจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยที่ทาง PLAYBOY จะช่วยในเรื่องการตลาด เพราะมีเครือข่ายสื่อ และสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วโลก

    เมื่อเอาคาแรคเตอร์ของทั้ง 2 บริษัท PLAYBOY มีความเท่ มีรสนิยม ความเซ็กซี่ มีจุดแข็งที่มีตำนานแบรนด์กว่า 71 ปี ส่วน TNR มีความปลอดภัย และความสนุก ซึ่งทาง TNR มีจุดแข็งที่ผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ พร้อมเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วโลก

    อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR PLC เริ่มเล่าว่า

    “จุดแข็งของบริษัท TNR ก่อตั้งมายาวนานกว่า 31 ปี มีความเชี่ยวชาญในการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง พร้อมกับมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุด 2,000 ล้านชิ้นต่อปี และส่งออกไปขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก”

    PLAYBOY จะเข้ามาตีตลาดถุงยางอนามัยระดับพรีเมียม กลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองถุงยางอนามัยเป็นเพียงอุปกรณ์การคุมกำเนิด และป้องกันโรค แต่ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับการมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการเลือกใช้งานถุงยางอนามัยที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ และตัวตนของผู้ใช้

    ซึ่งถุงยาง PLAYBOY เตรียมตีตลาดใหญ่ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน รวมถึงตลาดใหม่อย่าง อินเดีย เวียดนาม แอฟริกา และประเทศอื่นๆ ในอนาคต ที่ประชาชนมีฐานรายได้เพิ่มมากขึ้น และในอนาคตยังมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น เจลหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันกัญชา (CBD) และการพัฒนาผลิตถุงยางอนามัยให้บางขึ้น

     

    สำหรับตลาดถุงยางอนามัยระดับโลกมีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท เติบโต 5-7% ประเทศจีนมีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่า 80,000 ล้านบาท หรือปริมาณ 7,000 ล้านชิ้น/ปี รองลงมา ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา, อินเดีย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น

    ส่วนประเทศไทยตลาดถุงยางอนามัยมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท เติบโต 5% โดยที่กลุ่มพรีเมียมมีมูลค่าราว 1,000 ล้านบาท คนไทยมีอัตราการใช้ถุงยางฯ ไม่ถึง 200 ล้านชิ้น/ปี

    TNR ตั้งเป้ารายได้ของถุงยาง PLAYBOY ที่ 2,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าขยายการผลิตจาก 2,000 ล้านชิ้น/ปี เป็น 3,000 ล้านชิ้น/ปี คาดใช้งบลงทุน 500-800 ล้านบาท โดยที่ถุงยาง PLAYBOY จะมีสัดส่วน 30-40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

    ]]>
    1487361
    พนักงานกว่า 3 ใน 4 ในไทย กำลังมองหา “แผนสำรอง” ในอาชีพการงาน “วัฒนธรรมองค์กรไม่ดี” ปัจจัยกระตุ้นการหางานใหม่ https://positioningmag.com/1485518 Wed, 07 Aug 2024 08:58:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485518
  • ผลสำรวจชี้ 78% ของพนักงานคนไทยได้เริ่มต้นหรือกำลังวางแผนหางานใหม่ในปีนี้
  • 62% ของพนักงานมั่นใจว่า การเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเองจะช่วยให้พวกเขาได้งานใหม่เร็วขึ้น  
  • วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดีและระดับความพึงพอใจในการทำงานที่ต่ำเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้พนักงานเริ่มมองหางานใหม่
  • ผลสำรวจล่าสุดโดยโรเบิร์ต วอลเทอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกชี้ว่า กว่า 70% ของพนักงานในประเทศไทยกำลังวางแผนเปลี่ยนงาน พบอีกว่า 62% ของพนักงานเหล่านี้เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเองจะช่วยให้ได้งานใหม่เร็วขึ้น แนวโน้มดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมในหมู่พนักงานในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพ

    การเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเองถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่พนักงานใช้เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นกับงานในปัจจุบันของตน โดยถือเป็นการแสวงหาโอกาสในการพัฒนาทักษะ เพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ๆ และได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย สิ่งเหล่านี้จะเสริมสร้างความสามารถในรับมือกับความไม่แน่นอนในตลาดงานและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม

    การพัฒนาและยกระดับทักษะในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะช่วยด้านการพัฒนาตนเองและการเติบโตทางอาชีพ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ การเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง มันเป็นทั้งการต่อยอดทักษะปัจจุบันและการแสวงหาทักษะใหม่ ซึ่งทำให้การเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและตอบโจทย์ในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” วรัปสร พงษ์ศิริบัญญัติ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน กฎหมาย และ เทคโนโลยีและทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประเทศไทย กล่าว

    ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประเทศไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้:

    • แรงจูงใจที่ทำให้พนักงานเริ่มหางานใหม่ ได้แก่ วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ตอบโจทย์ (55%), ความพึงพอใจในการทำงานต่ำ (20%) และความไม่มั่นคงในงาน (16%)
    • กลยุทธ์การเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเองที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การพัฒนาทักษะ/การฝึกอบรม (33%), การทำอาชีพเสริมควบคู่กับงานประจำ (17%) และการขอคำปรึกษาจากโค้ชด้านอาชีพ (6%)

    การพัฒนาทักษะและความสามารถไม่เพียงแต่สร้างความมั่นใจให้กับตนเองแต่ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร ทำให้ตนเองเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญสำหรับองค์กร ส่งผลให้พนักงานมีความรู้สึกมั่นคงในงานรวมถึงความภาคภูมิใจงาน ซึ่งส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจโดยรวม

    บริษัทสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาตนเองเพื่อรักษาบุคลากร

    บริษัทส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการให้พนักงานเตรียมตัวเพื่อยกระดับความสามารถ ซึ่งมากกว่า 50%  ของบริษัทมองว่ามันเป็นหนึ่งในแนวทางที่พนักงานจะแสวงหาความก้าวหน้าทางอาชีพ ในขณะที่ 35% เชื่อว่าจะกระตุ้นให้เกิดแนวคิดใหม่ในบริษัท แม้ว่าบริษัทจะให้การสนับสนุนแนวทางนี้ แต่บริษัทยังจำเป็นต้องมุ่งเน้นการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัท เพื่อลดโอกาสที่พวกเขาจะลาออกไปเริ่มงานใหม่ ซึ่งทำได้โดยการสื่อสารแนวทางที่ชัดเจนแก่พนักงาน ประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการให้ฟีดแบคเชิงสร้างสรรค์ และลงทุนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พนักงานมีทักษะที่พร้อม

    ]]>
    1485518
    “เอแคลร์ จือปาก” จากเด็กสลัมคลองเตย สู่อินฟลูตัวท็อป สร้างไวรัล “เมร่อน” ทั่วเมือง https://positioningmag.com/1484318 Fri, 26 Jul 2024 09:37:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484318
  • เส้นทางชีวิตของเอแคลร์ จือปากเริ่มต้นจากการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์สายรักษาสิว แล้วเพิ่มบทบาทเป็นยูทูบเบอร์ จนมาถึงล่าสุดกับการทำเพลง และเป็นผู้บริหารแบรนด์สกินแคร์ Elite Care  
  • ขอทำเพลงเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ทำค่ายเพลงจริงจัง 
  • จากเด็กเติบโตในสลัม สู่อินฟลูตัวท็อป 

    บล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือยูทูบเบอร์ ขึ้นชื่อว่าเป็นอาชีพใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เพราะมีรายได้ดี แถมยังมีความอิสระ ทำให้ในยุคนี้ได้เห็นบล็อกเกอร์หน้าใหม่แจ้งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีอินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่ในวงการมานาน และยังมีผลงาน และอยู่ในสื่ออยู่ตลอดเช่นกัน

    Positioning พามาพูดคุยกับ “เอแคลร์ จือปาก” หนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ชาว LGBTQ ตัวท็อปแห่งยุคอีกคนหนึ่ง ที่ล่าสุดได้สร้างปรากฏการณ์เมร่อนกระฉ่อนทั่วเมือง 

    เส้นทางชีวิตของเอแคลร์ หรือ ชาติศักดิ์ มหาทา เป็นเด็กที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง เติบโตในสลัม แต่ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนเก่ง จึงได้รับการยอมรับตั้งแต่เด็ก ได้เริ่มต้นจากการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ก่อนตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่เป็นการเริ่มเพราะอยากล้อเลียน เนื่องจากสมัยนั้นการเป็นบล็อกเกอร์กำลังเริ่มเป็นที่นิยมกันมาก แต่จับพลัดจับผลูดันดังขึ้นมาเสียเอง!  

    เอแคลร์เริ่มเล่าว่า จุดเริ่มต้นในการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เป็นเด็กมหาลัยคนนึง สมัยนั้นการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์มันดังมาก ใครๆ ก็อยากเป็น จริงๆ เราไม่ได้อยากเป็น เราแค่อยากล้อเลียนเฉยๆ ตอนนั้นทำคลิปล้อเลียนแล้วพากย์เสียงรถบั๊ม กลายเป็นว่าคลิปนั้นดังมาก ยอดล้านวิวภายในคืนเดียว สมัยนั้นมันเรื่องใหญ่มาก เพราะไม่มีใครทำได้ แพลตฟอร์มก็ยังไม่เยอะ มีแต่เพจเฟซบุ๊ก ทำให้มีชื่อเสียงตั้งแต่นั้นมา มีคนจ้างงานรีวิวแบบจ่ายเงินข้ามปีก็มี”

    หลังจากนั้นเอแคลร์ก็เริ่มต้นการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์แบบจริงจัง เน้นไปทางสาย “รักษาสิว” โดยเฉพาะ เพราะเป็นคนเป็นสิวอยู่แล้ว สินค้าที่รับรีวิวก็เป็นสินค้าเกี่ยวกับสิว 

    “เราเป็นคนที่เป็นสิวจริงๆ ก็เสนอในมุมมองของชาวบ้านในการรักษาสิว เพราะเราโตมาในสลัม ถ้าเราไม่มีเงินไปทำสวย ไม่มีเงินไปเลเซอร์ แต่เราสามารถซื้อครีมในตลาดใช้ได้มั้ย เสนอรูทีนง่ายๆ ให้สำหรับคนที่ไม่เก่งเรื่องดูแลผิวพรรณ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเรารักษาสิวหายได้ด้วยตัวเอง เลยคิดว่ามันก็ได้นี่ ถ้ารู้จักการรักษาผิวพรรณ เช็ดหน้าให้สะอาด แล้วรู้ว่าบำรุงผิวแบบไหน” 

    จากประสบการณ์ 7 ปีของเอแคลร์ที่รีวิวสินค้าเกี่ยวกับสิวมาโดยตลอด จึงตกตะกอนคลอดออกมาเป็นแบรนด์ของตัวเองในนาม Elite Care เป็นแบรนด์สกินแคร์ที่เน้นการรักษาสิวโดยเฉพาะ 

    “เรารีวิวสินค้ามา 7 ปี แล้วคนจะตามไปซื้อทั้งเชลฟ์ก็มี เราดีใจที่ขายของให้ลูกค้าได้ แต่ลูกค้าจำไม่ได้ว่าเอแคลร์รีวิวตัวไหนไปบ้าง แม้มันจะน้อย SKU มากเลยนะ แต่คนก็ถามเสมอว่าใช้อะไรสิวหาย ใช้อะไรลดรอยดำรอยแดง เราแค่ขี้เกียจตอบ เลยออกมาทำแบรนด์ตัวเอง เอาให้จบไปเลย” 

    3 บทบาท ยูทูบเบอร์ เจ้าของแบรนด์ ค่ายเพลง

    ปัจจุบันเอแคลร์มีบทบาทใน 3 ขาหลักๆ ก็คือ เป็นยูทูบเบอร์ทำเพจจือปาก, เป็นผู้บริหารแบรนด์ Elite Care และค่ายเพลงแบบย่อมๆ ที่เพิ่งปล่อยเพลงเมร่อนออกไป มีคนติดต่องานโชว์อยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีรายได้จริงจังเหมือนยูทูบเบอร์ และแบรนด์สกินแคร์

    โดยที่หลังจากนี้เอแคลร์จะโฟกัสที่การทำธุรกิจเป็นหลัก คาดว่าจะสร้างรายได้ที่ยั่งยืนมากที่สุด โดยจะมีเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ มากขึ้น ให้ตอบโจทย์คนเป็นสิวแบบครบวงจร 

    สำหรับในส่วนของยูทูบเบอร์เพจจือปากจะมีการวางแผนทำคอนเทนต์มากขึ้น และอนาคตอาจจะต่อยอดเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ 

    Processed with VSCO with al3 preset

    “เอแคลร์ทำคอนเทนต์ตามวัยตัวเอง ทำเรื่องราวตามอายุ สมัยก่อนเป็นเรื่องของนักศึกษา พอเรียนจบเป็นเรื่องของคนเริ่มทำงาน ก็ต้องซื้อบ้าน เลยทำโฮมทัวร์ ตอนนี้โตขึ้นก็ต้องทำแบรนด์ อีกเรื่องที่เพจจือปากยังไม่เคยทำคือเรื่องของเซ็กส์ มองว่าเรายังไม่ถึง 30 ยังไม่โตพอที่จะพูด เอแคลร์เป็นคนวางแผนตัวเอง เล่าเรื่องอะไร เล่าตามอายุของตัวเอง วัยนี้เป็นวัยที่เพิ่งพ้นจากการเป็นสิวมา ต่อไปถ้าเอแคลร์อายุ 35 อาจจะมีไลน์สินค้าสำหรับเอจจิ้งออกมาก็ได้”   

    เอแคลร์ เสริมอีกว่า “ตอนนี้บริษัท จือปาก เริ่มรับเด็กฝึกงานแล้วรับเป็นพนักงานประจำต่อ อนาคตจือปากอาจจะต่อยอดเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ก็ได้ ซึ่งตอนนี้เรามีเรทราคาหลักหมื่น แต่อินฟลูฯ คนอื่นราคาไปไกลกว่านี้เยอะ แต่เรากลัวไม่มีงานเลยคิดราคาถูก ทำให้เรามีงานเยอะตลอด”

    ถ้าถามว่าใน 3 บทบาทนี้ ส่วนไหนมีความยากที่สุด เอแคลร์บอกว่ามีความยากง่ายพอๆ กัน แต่ละส่วนจะแตกต่างกัน การเป็นยูทูบเบอร์จะหายไปสักวันนึงไม่ได้เลย ถ้าหายไปสักครึ่งวันคนจะลืมแล้ว ต้องมีคอนเทนต์ตลอด มีคอนเทนต์ขายของได้ต่อ ห้ามหายไปจากสื่อ ส่วนการทำแบรนด์ก็เหมือนกัน ถ้าวันไหนลืมคอนเทนต์เช็ดหน้าคนก็ลืมแล้ว ไปซื้อแบรนด์อื่นที่จัดโปรฯ แล้ว เพราะตลาดแข่งขันกันเดือดมาก ยิ่งในติ๊กต็อกยิ่งเดือด ต้องมีสื่อในการซัพพอร์ต 

    ปรากฏการณ์ “เมร่อน” กับการทำเพลงไม่ถึงเดือน

    สำหรับบทบาทในการทำเพลง ที่เรียกได้ว่าสร้างกระแสเมร่อนไปทั่วเมืองได้ เอแคลร์บอกว่าขอเป็นการทำแบบฟรีแลนซ์ ยังไม่ถึงกับทำค่ายเพลงจริงจัง 

    เอแคลร์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการทำเพลงเมร่อน ที่ใช้เวลาทำไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ด้วยงบลงทุนหลักแสน “พอดีมีกลุ่มที่สนิทชื่อว่าหิวหวี แล้วจะมีมีพี่ Badmixy หรือมิกซ์ เฉลิมศรี เป็นคนชอบแต่งเพลง แล้วชอบแต่งเพลงไว้ทิ้งในกลุ่มไลน์ แล้วลง Voice เสียงว่าเพลงร้องแบบนี้นะ ใครจะเอาไปร้องก็เอาไปได้เลย แล้วถึงคิวเราที่ต้องเอาไปร้องพอดี เลยจับพลัดจับผลูทำเลย”

    ก่อนหน้านี้ที่เป็นช่วง COVID-19 มีการทำเพลงล้อเลียนออกมาเล่นๆ เป็นคอนเทนต์ลงยูทูบอยู่แล้ว แต่เพลงเมร่อนเป็นการทำเพลงจริงจังครั้งแรก ที่ทำ MV แล้วลงยูทูบ ลงมิวสิคสตรีมมิ่ง เชิญนักร้องอาชีพมาแจม เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นค่ายเพลงเท่านั้นเอง

    “โปรดักชั่นต่างๆ ทำเองหมดเลย เป็นการว่าจ้างคนใกล้ตัว ใช้งบหลักแสนน้อยๆ มีคนช่วยแต่งเพลง ค่า Featuring ก็ไม่เสีย เพราะพวกแม่ๆ มาช่วยร้องให้ การทำดนตรีก็ไม่แพงมาก เพราะรู้จักคนทำอยู่แล้ว รวมแล้วใช้เวลาแค่หลักอาทิตย์เท่านั้น เราคิดแล้วรีบทำเลย โชคดีที่ปล่อยเพลงช่วงสงกรานต์ เลยได้ไวรัล”

    ถ้าถามว่าในอนาคตจะพัฒนาไปทำค่ายเพลงหรือไม่ เอแคลร์บอกว่าไม่คิดทำค่ายเพลง อยากทำเพลงเป็นฟรีแลนซ์ อยากทำก็เมื่ออยากทำเท่านั้น ไม่ได้รับงานร้องเพลง ส่วนใครจะเอาเพลงไปร้องก็เอาไปได้ ไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์ เพราะหน้าที่หลักจะโฟกัสกับยูทูบ และธุรกิจ

    “เมร่อนเป็นใบเบิกทางในเส้นทางเพลงก็จริง แต่เรามองว่าเป็นงานศิลปะ ทำก็เมื่ออยากทำ ไม่ใช่ว่าเมร่อนมันดัง แล้วจะเริ่มทำๆๆ ต่อได้เลย เราไม่รู้ว่าเพลงต่อมามันจะดังมั้ย ไม่กล้าเปิดค่าย ปกติคนทำเพลงจะต้องเปิดช่องแยก แล้วไปตั้งค่าว่าเป็นช่องเพลง ไม่ใช่ช่องไลฟ์สไตล์ วันที่เมร่อนลงวันแรกมันเป็นล้านวิวเลย ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มันขึ้นวันละล้านวิวเลย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นช่องยูทูบไม่ใช่ช่องเพลง มันเป็นช่องไลฟ์สไตล์ คนจะค้นหาเพลงไม่เจอ คนจะเจอก็ต่อเมื่อคนมาหาที่หน้ายูทูบของเรา เป็นเทคนิคทางยูทูบ ถ้าจะทำเพลงก็ต้องเปิดช่องเพลงแยกต่างหาก” 

    คาแรคเตอร์ชัด อยู่ในสื่อตลอด

    เส้นทางกว่าจะมาเป็นเอแคลร์ จือปาก มีบทเรียนหลายอย่าง แต่มีความโชคดีกว่าคนอื่นที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจน จนคนรู้จักง่าย เอแคลร์บอกว่า เราโตมากับทีวี เราออกรายการทีวีเสมอ ไม่รู้ว่าคาแรคเตอร์อะไรไปตรงกับทีวีเขาถึงเชิญไปออกรายการ เป็นคนที่อยู่ในสื่อตลอดเวลา 7 ปีเต็ม บางคนล้มหายตายจาก แต่เรายังอยู่ได้เพราะอยู่ในสื่อตลอดเวลา 

    “ยุคนี้มีการเปิดกว้างของ LGBTQ มากขึ้น หลายคนถามว่าผ่านมาได้อย่างไร เพราะบ้านอยู่ในสลัมคลองเตย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กเนิร์ด ตั้งใจเรียน เหมือนเป็นผ้ายันต์บางอย่างที่ทำให้บางคนไม่กล้าเข้ามายุ่ง คนอาจจะกลัวคนสลัม แต่เขาจะเกรงใจคนฉลาด ให้เกียรติคนมีความรู้มากๆ ถ้ามองในเรื่องของการยอมรับในสังคม โชคดีที่คนยอมรับตั้งแต่เด็ก สามารถเติบโตโลดแล่นได้เลย”

    สำหรับบทบาทการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์อาจจะไม่ค่อยเห็นการรีวิวมากเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้มีแบรนด์เป็นของตัวเอง แต่ยังคงเป็นเอแคลร์กับการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ต่อไปอย่างแน่นอน  

    ]]>
    1484318
    เปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้า! สิงห์ x Aqua x เบียร์ ใบหยก ตั้ง FAB โฮลดิ้งรวบตึงร้านอาหาร  https://positioningmag.com/1483944 Thu, 25 Jul 2024 04:56:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483944
  • 3 เซเลบ “เต้ ภูริต – เบียร์ ใบหยก – ฉาย บุนนาค” ร่วมทุนตั้ง FAB ร่วมร้านอาหารในเครือของฟู้ด แฟคเตอร์ และธุรกิจของเบียร์ ใบหยกเข้าด้วยกัน เพื่อทำการตลาดในอนาคต
  • งานนี้ อควา คอร์เปอเรชั่นของฉาย บุนนาคเป็นพ่องาน เนื่องจากอยากลุยธุรกิจร้านอาหาร จึงชวน พาร์ทเนอร์ทั้ง 2 ที่มีธุรกิจร้านอาหารมาจอยกัน
  • เมื่อรวมกันจะมีทั้งหมด 8 แบรนด์ 204 สาขา ตั้งเป้าในปีหน้าจะขยายเพิ่มอีก 1 แบรนด์ 
  • ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญในวงการร้านอาหาร เมื่อ 3 เซเลบแห่งวงการ “เต้ ภูริต – สิงห์” “เบียร์ ใบหยก” และ “ฉาย บุนนาค” ได้ทำการคอลแลปกันครั้งใหญ่ ร่วมทุนจัดตั้งบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ FAB ย่อมาจากการรวมตัวของ ฟู้ดแฟคเตอร์ (Food Factor) ธุรกิจอาหารในเครือสิงห์ คอร์เปอเรชั่น, อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA) บริษัทด้านการลงทุนของฉาย บุนนาค และปิยะเลิศ ใบหยก หรือเบียร์ ใบหยก 

    รวมกันมันส์กว่า

    จุดเริ่มต้นของดีลนี้มาจาก “ฉาย บุนนาค” แม่ทัพเนชั่น กรุ๊ป ที่มีหมวกอีกใบกับบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ที่ก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของบริษัทสื่อโฆษณา ก่อนที่จะขายธุรกิจนี้ให้กับทาง Plan B ไป ทำให้อควาต้องมาหาธุรกิจที่จะเป็นน่านน้ำใหม่ในการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งอควาเองมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ 1 ร้านก็คือ ราเมงเดส

    ฉายเริ่มมองหาพาร์ทเนอร์ ซึ่งส่วนตัวรู้จักกับ เต้ ภูริต แห่งสิงห์ คอร์เปอรเชั่น และเบียร์ ใบหยกอยู่แล้ว และทั้งคู่ก็มีธุรกิจอาหาร จึงเกิดเป็นความร่วมมือในการรวมธุรกิจอาหารของทั้ง 3 เจ้าไว้ด้วยกัน ภายใต้บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ FAB มาจากอักษรตัวเแรกของทั้ง 3 ก็คือ Food Factor, AQUA และ Beer ใบหยก 

    ซึ่งงานนี้อควาเป็นพ่องาน มีสัดส่วนการถือหุ้น 51% Food Factor ของสิงห์ 40% และเบียร์ ใบหยก 9% โดยเแต่งตั้งให้เบียร์ ใบหยกเป็น CEO ของบริษัทนี้ เพราะมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารมากที่สุด 

    ทำให้ FAB มีร้านอาหารในเครือรวม 8 แบรนด์ ได้แก่ขาของ Food Factor 3 แบรนด์ ได้แก่ ซานตาเฟ่, ซานตาเฟ่ อีซี่ และเหม็ง แซ็ปนัว ทางด้านขาของเบียร์ใบหยกมี 4 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ร้านเซไคโนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน ส่วนของอความี 1 แบรนด์ ได้แก่ ราเมงเดส รวมทั้งหมด 204 สาขา

    การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นเหมือนการดึงจุดแข็งของแต่ละคนออกมา ทางสิงห์เองก็เชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่ม และมีระบบโลจิสติกส์ ทางด้านเบียร์ ใบหยกถนัดในธุรกิจอาหาร ส่วนอควาก็มีเงินทุนในการช่วยสยายปีกการเติบโตได้

    ทำให้ปัจจุบันอความีโครงสร้างธุรกิจ 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ นวัตกรรมด้านการเงิน (Fintech), ธุรกิจขนส่งและโลจิส ติกส์, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน, ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และพลังงาน และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

    ลดค่าใช้จ่ายได้ 2-3% 

    การรวมแบรนด์ร้านอาหารของทั้ง 3 เจ้าเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ตัดคู่แข่งทางธุรกิจออกไปได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถลดต้นทุนในการทำธุรกิจไปได้ 2-3% เพราะมีการสั่งวัตถุดิบเหมือนกันในปริมาณมากๆ และมีการขนส่งพร้อมกัน  

    ปิยะเลิศ ใบหยก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด เล่าว่า

    “การรวมร้านอาหารทั้ง 3 รายเข้าด้วยกัน มีการใช้หลังบ้านร่วมกัน ซื้อของเหมือนกัน ทำให้ต้นทุนลดลงได้ 2-3% เรียกว่าประหยัดต้นทุนไปได้เยอะ ในส่วนของกลุ่มราเมงมีการใช้ครัวกลางของทางอควา”

    ปิยะเลิศ หรือเบียร์ ใบหยก ผู้มีแพชชั่น และคลุกคลีกับธุรกิจร้านอาหารมายาวนาน 15 ปีแล้ว นอกจากจะมีธุรกิจใบหยกที่เป็นธุรกิจของครอบครัวแล้ว ยังมีบริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารโดยเฉพาะ 

    ปิยะเลิศได้เริ่มธุรกิจนี้ด้วยการซื้อแฟรนไชส์ Gyu-Kaku จากประเทศญี่ปุ่น เป็นร้านเนื้อย่างสไตล์ยากินิกุ หลังจากเปิดได้เพียง 2 สาขาก็ขายดีมาก จนทางบริษัทแม่ขอซื้อคืน พร้อมกับผลกำไรล่วงหน้า 5 ปี ทำให้ปิยะเลิศนำเงินก้อนนั้นมาต่อยอดธุรกิจต่อด้วยการซื้อแฟรนไชส์ร้านเซไค โนะ ยามะจัง (Sekai no Yamachan) หรือคุ้นเคยกันในชื่อร้านปีกไก่ทอดยามะจัง 

    หลังจากนั้นก็ได้ซื้อแฟรนไชส์ร้านราเมง รวมไปถึงร้านขนมหวานต่างๆ อย่างเช่น แกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก และพาโบล ชีส ทาร์ต แต่ด้วยความที่เป็นขนมตามกระแส จึงอยู่ได้แค่พักเดียวเท่านั้น

    เป็นบทเรียนที่ทำให้ปิยะเลิศมองหาแบรนด์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นกระแสเพียงอย่างเดียว

    “เป้าหมายของบริษัทคือ อยากทำให้ร้านอาหารมีสีสัน จะเลือกขยายในแบรนด์ที่สตรอง ก่อนหน้านี้เคยทำแบรนด์ที่เป็นกระแสมันไม่ยั่งยืน แต่ตอนนี้อยากทำแบรนด์ที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน เน้นที่ร้านอาหาร เพราะมองว่าคนต้องทานอาหารทุกวัน ยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคจะไม่ทานสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างขนมหวาน”

    ตอนนี้อควาเตรียมพัฒนาแบรนด์ร้านอาหารใหม่อีก 1 แบรนด์ เป็นกลุ่มปิ้งย่าง เป็นการพัฒนาเองโดยพัฒนาร่วมกับชาวญี่ปุ่น คาดว่าน่าจะเริ่มเปิดตัวในปี 2568 

    ปัจจุบันทั้ง 8 แบรนด์มียอดขายรวมกัน 1,700 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าน่าจะมีการเติบโต 2 หลัก เน้นขยายสาขาที่แบรนด์ซานตาเฟ่ และเจ๊แดง สามย่านเป็นหลัก เนื่องจากมีความแมส และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง  

    ทั้ง 8 แบรนด์ มีสาขารวม 204 สาขา แบ่งเป็นบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด 3 แบรนด์ คือ 

    ซานตาเฟ่ 127 สาขา, ซานตาเฟ่ อีซี่ 5 สาขา, เหม็ง แซ็ปนัว 2 สาขา, ราเมงเดส 5 สาขา, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน 42 สาขา, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง 10 สาขา, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน รวมกัน 13 สาขา

    ]]>
    1483944