ratirita – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 21 Nov 2024 11:16:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ชาวอเมริกัน” ใช้จ่ายในไทยผ่านบัตรวีซ่าสูงที่สุด ส่วนใหญ่จ่ายค่าที่พัก-ช้อปปิ้ง https://positioningmag.com/1500207 Thu, 21 Nov 2024 08:23:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500207 วีซ่า ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัล เผยถึงเทรนด์การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าสนใจในครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าที่ออกโดยสถาบันการเงินในต่างประเทศ ณ ร้านค้าในประเทศไทยของวีซ่า ตั้งแต่ มกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า นักเดินทางต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยและมียอดการใช้จ่ายมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น

การวิเคราะห์เชิงลึกของข้อมูลการใช้จ่ายในร้านค้าของนักท่องเที่ยวจากประเทศ 5 อันดับแรก การใช้จ่ายหลักอยู่ในหมวดหมู่โรงแรมที่พัก, สินค้าค้าปลีก, ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และกิจกรรมด้านสุขภาพ

ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาจัดสรรเงินมากกว่า 1 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายของพวกเขาไว้เป็นค่าที่พัก และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพอีกกว่า 10%

ส่วนการช้อปปิ้งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวจีน และสิงคโปร์ให้ความสำคัญ โดยค่าใช้จ่ายด้านสินค้าค้าปลีกคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 25% และ 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ประเทศนี้

นักเดินทางชาวญี่ปุ่น ถือได้ว่าให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารมากกว่านักเดินทางชาติอื่น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ร้านอาหารถึง 22% ในขณะที่นักเดินทางจากสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายด้านที่พักมากถึง 37% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด

จากการวิเคราะห์ของวีซ่า ยังพบว่า 5 จังหวัดแรกที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุดโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยในจังหวัดเหล่านี้ สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่มีการใช้จ่ายในจังหวัดเติบโตสูงที่สุดถึง 30% ซึ่งคาดว่าเป็นการกระตุ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในเกาะสมุย

]]>
1500207
สายเคเบิลใต้ทะเลบอลติกขาดอีก 2 เส้น เยอรมนี-ฟินแลนด์คาดเป็นการ ‘ก่อวินาศกรรม’ ใช้เวลาซ่อม 5-15 วัน https://positioningmag.com/1499902 Wed, 20 Nov 2024 04:49:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499902 สายเคเบิลใยแก้ว 2 เส้นที่ใช้รับส่งข้อมูลสื่อสารผ่านทะเลบอลติกถูกตัดขาด รวมถึงเส้นที่เชื่อมระหว่างฟินแลนด์กับเยอรมนี ทำให้ประเทศและบริษัทที่เกี่ยวข้องออกมาตั้งข้อสงสัยว่านี่จะเป็นการ “ก่อวินาศกรรม” โดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีหรือไม่

เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นยังทำให้หลายฝ่ายนึกไปถึงกรณีอื่นๆ ที่มีการตรวจสอบแล้วว่า อาจเกิดจากการก่อวินาศกรรม ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดกับท่อก๊าซและสายเคเบิลใต้ทะเลเมื่อช่วงปีที่แล้ว รวมถึงเหตุท่อก๊าซนอร์ดสตรีม ระเบิดเมื่อปี 2022

สายเคเบิลใยแก้วความยาว 1,200 กิโลเมตรที่เชื่อมระหว่างกรุงเฮลซิงกิกับท่าเรือรอสต็อกของเยอรมนีหยุดทำงานเมื่อราวๆ 2.00 น. GMT เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ตามข้อมูลจากบริษัทด้านความมั่งคงไซเบอร์และโทรคมนาคม Cinia ของฟินแลนด์

ขณะเดียวกัน สายเคเบิลรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความยาว 218 กิโลเมตรที่เชื่อมระหว่างลิทัวเนียกับเกาะกอต ลันด์ (Gotland Island) ของสวีเดนก็หยุดทำงานไปในเวลาประมาณ 8.00 น. GMT ของวันอาทิตย์ที่ 17 พ.ย. ตามข้อมูลของบริษัทโทรนาคม Telia Leituva ในลิทัวเนีย

รัฐบาลฟินแลนด์และเยอรมนีได้ออกคำแถลงร่วมระบุว่า “มีความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีสายเคเบิลใต้ทะเลถูกตัด” และกำลังเร่งสืบหาความจริง “เกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในทันทีว่า จะเป็นการจงใจก่อความเสียหายหรือไม่”

คำแถลงร่วมยังระบุด้วยว่า ความมั่นคงปลอดภัยของยุโรปกำลังถูกคุกคามโดยสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน “รวมถึงสงครามไฮบริดอันเป็นฝีมือของพวกผู้ไม่หวังดี” ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าหมายถึงใคร

“การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานร่วมที่จำเป็นยิ่งยวดถือว่าสำคัญต่อความมั่นคงและความอดทนยืดหยุ่นในสังคมของพวกเรา”

ด้าน ออดรีอุส สตาซิอูไลทิส โฆษกของ Telia Leituva เปิดเผยว่ายังมีสายเคเบิลอีกเส้นหนึ่งที่ถูกตัดขาดเช่นกัน โดยเป็นสายเคเบิลของบริษัท Arelion ของสวีเดนที่ใช้เพื่อการรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ Telia Leituva

“จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ชัดเจนว่า ทำไมสายเคเบิล 2 เส้นในทะเลบอลติกถึงไม่ทำงาน” คาร์ล-ออส การ์ โบห์ลิน รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันพลเรือนสวีเดน ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ STV

ทะเลบอลติกซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปเหนือถือเป็นเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่สำคัญ และมีอาณาเขตติดกับ 9 ประเทศ รวมถึงรัสเซีย

อารี-จุสซี คนาปิลา ซีอีโอของ Cinia ระบุในงานแถลงข่าวว่า จุดที่สายเคเบิลเชื่อมฟินแลนด์กับเยอรมนีเสียหายนั้นอยู่ใกล้ๆ กับตอนใต้ของเกาะโอลันด์ (Oland Island) ของสวีเดน และอาจต้องใช้เวลาประมาณ 5-15 วันในการซ่อมแซม

ย้อนไปเมื่อช่วงปีที่แล้ว ท่อก๊าซใต้ทะเล 1 เส้นและสายเคเบิลรับส่งสัญญาณสื่อสารใต้ทะเลบอลติกอีกหลายเส้นก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วภูมิภาค

พนักงานสอบสวนของฟินแลนด์และเอสโตเนียได้แถลงในปี 2023 ว่า เรือสินค้าจีนลำหนึ่งน่าจะเป็นตัวการลากสมอจนทำให้สายเคเบิลถูกทำลาย แต่ก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือการกระทำโดยจงใจ

ในปี 2022 ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีมที่เชื่อมระหว่างรัสเซียกับเยอรมนีในทะเลบอลติกก็ถูกระเบิดจนพังเสียหาย ซึ่งเป็นคดีที่ทางการเยอรมนียังอยู่ระหว่างสืบสวนหาต้นตอ

]]>
1499902
เคานต์ดาวน์แบบติดแกลม! หมูกระทะคนรวย ICONSIAM จัดแพ็กเกจเคานต์ดาวน์โซนริมน้ำ เริ่มต้น 12,000-60,000 บาท https://positioningmag.com/1499881 Wed, 20 Nov 2024 04:36:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499881 เรียกได้ว่าเข้าสู่โค้งสุดท้ายของปีเต็มที เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในแต่ละปีศูนย์การค้า และร้านอาหารต่างคึกคักไปด้วยผู้คนที่ต่างออกมาเคานต์ดาวน์ ต่างงัดไม้เด็ดออกมาดึงดูดลูกค้า

ICONSIAM ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์การค้าริมน้ำเจ้าพระยา และมีการจัดงานเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ที่ค่อนข้างโดดเด่น จัดเต็มด้วยศิลปิน กิจกรรมต่างๆ และพลุอย่างอลังการ แถมปีนี้ยังได้ “ลิซ่า BLACKPINK” มาร่วมงานด้วย เตรียมปรากฏการณ์ห้างแตกได้เลย

และด้วยความที่เป็นศูนย์การค้าริมแม่น้ำเข้าพระยา ทำให้มีโซนห้างที่ติดริมน้ำ ร้านอาหารบางส่วนก็มีโซนติดริมน้ำเช่นกัน สร้าง Vibe สร้างบรรยากาศอีกแบบ เพิ่มมูลค่าให้ร้านอาหารได้ดีทีเดียว ในช่วงวันปีใหม่ร้านอาหารใน ICONSIAM ต่างกันออกแพ็กเกจเคานต์ดาวน์ด้วยราคาแบบปังๆ เคานต์ดาวน์แบบติดแกลม เฉลี่ยแล้วตกคนละ 6,000 บาทเลยทีเดียว แต่ก็อาจจะคุ้ม เพราะวิวหลักล้าน

อย่าง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” เจ้าของแบรนด์ดังมากมาย ส่งแบรนด์ nice two Meat u และหมูกระทะคนรวย เข้าร่วมแพ็กเกจเคานต์ดาวน์เพราะมีสาขาตั้งอยู่โซนเอาต์ดอร์ โดยร่วมทานอาหาร และเคานต์ดาวน์ตั้งแต่เวลา 22.00-01.30 น.

nice two Meat u มีแพ็กเกจ ตั้งแต่ 2-8 คน ราคาตั้งแต่ 2 คน = 9,999 ++, 4 คน = 19,999 ++, 6 คน = 29,999 ++ และ 8 คน = 39,999 ++ ซึ่งราคายังไม่รวม vat 7% และ service charge 10% หากจำนวนลูกค้าเกินกำหนด คิดเพิ่มคนละ 3,999 ++

ส่วนหมูกระทะคนรวยได้สร้างเสียงฮือฮาเป็นพิเศษ เพราะแพ็กเกจราคาสูงสุดถึง 60,000 บาท มีแพ็กเกจราคาตั้งแต่ 2 คน = 11,999 ++, 4 คน = 23,999 ++, 6 คน = 35,999 ++ และ 10 คน = 59,999 ++ ราคายังไม่รวม vat 7% และ service charge 10% เช่นกัน หากจำนวนลูกค้าเกินกำหนด คิดเพิ่มท่านละ 4,999 ++ 

ส่วนร้าน “กับข้าวกับปลา” ของกลุ่มไอเบอร์รี่ก็ส่งเข้าประกวดด้วยเช่นกัน แต่เป็นราคาต่อคนไม่ได้เป็นแพ็กเกจโต๊ะ ราคา 5,999 บาท จะได้รับรับ Welcome drink 1 แก้ว/ท่าน, อาหารทานเล่น 1 จาน/ท่าน, เมนูส้มตำหรือยำ 1 เมนู/โต๊ะ, บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก 1 ชิ้น/ท่าน, 5 wishes ice cream 1 ที่ /โต๊ะ และ Piccini Prosecco DOC Venetian Dres (Italy) 1 ขวด/ 2 ท่าน

เรียกได้ว่างานเคานต์ดาวน์ปีนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ ทางศูนย์การค้าก็งัดหมัดเด็ดในการดึงลูกค้าเข้าศูนย์ และก็เป็นโอกาสทองของร้านอาหารที่จะได้ขายอาหาร และบรรยากาศดีๆ ในช่วงส่งท้ายปี

]]>
1499881
ส่องรายได้ – กำไร บิ๊กอสังหาฯ 9 เดือนแรกปี 2567 “แสนสิริ-เอพี-ศุภาลัย” รั้งท็อป 3 ผลงานดีสุด https://positioningmag.com/1498940 Thu, 14 Nov 2024 06:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498940 ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลาย ๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ

อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ

ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่น ๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ๆ

ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี    

]]>
1498940
เจาะลึก LAZY Marketing การตลาดจับกลุ่มคนขี้เกียจ สำหรับคนที่ชอบใช้เงินแก้ปัญหา https://positioningmag.com/1497671 Wed, 06 Nov 2024 07:28:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497671 เชื่อหรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่กดสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ ทั้งที่ร้านอยู่ใกล้แค่ใต้คอนโด สั่งซื้อของจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่ร้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม หรือยอมจ่ายเงินจ้างคนไปต่อคิวเพื่อซื้อของ ทำธุระ หรือแม้แต่เล่นเกมแทน นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของ “พฤติกรรมขี้เกียจ” ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย แม้กระทั่งกิจกรรมง่ายๆ หรือใช้เวลาไม่มาก

การเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายและพร้อมใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เรียกว่า Lazy Economy เทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างเศรษฐกิจวิถีใหม่ไปทั่วโลก และยังมีสถิติที่น่าสนใจพบว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วโลกกว่า 34% ทำธุรกิจเพื่อสนับสนุนคนขี้เกียจอีกด้วย

จากผลงานวิจัย “เจาะลึกอินไซต์ พิชิตใจคนขี้เกียจ” ของนักศึกษาสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ชี้ชัดว่าตลาดคนขี้เกียจยังคงเป็นที่จับตามองและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงอนาคต ซึ่งในวันนี้ ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด จาก CMMU จะพาขยับเข้าไปทำความรู้จักกับพฤติกรรมสุดขี้เกียจ และเทรนด์ Lazy Economy ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมร่วมค้นหาสินค้า และบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์เทรนด์นี้ เพื่อคว้าโอกาสแจ้งเกิดและเติบโตในธุรกิจนี้ โดย ผศ.ดร.บุญยิ่ง ได้กล่าวถึง TOP 4 สุดยอดพฤติกรรมขี้เกียจ ที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายและเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ดังนี้

  • ขี้เกียจเดินทาง – เพราะการไปไหนมาไหนแต่ละที เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ไปทางไหนก็เจอแต่รถติด LAZY Consumer จึงยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ส่งผลให้สินค้าและบริการต่างๆ ที่ช่วยลดการเดินทางตอบโจทย์และเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บริการ Delivery ทุกรูปแบบ ทั้งส่งอาหาร ส่งของ ซึ่งปัจจุบันได้แตกไลน์บริการเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น บริการส่งด่วนทันใจภายใน 24 ชั่วโมง บริการแบบ Door-to-Door Service จากหน้าบ้านผู้ส่งถึงหน้าบ้านผู้รับ ฯลฯ บริการแบบส่งตรงถึงบ้าน เช่น  ทำสปา เสริมสวย นวดแผนไทย ล้างรถ อาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยง ฯลฯ รวมถึงการช้อปออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นบริการที่ช่วยให้  ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าและได้รับบริการต่างๆ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
  • ขี้เกียจรอ – ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว ทันใจไปหมดอย่างทุกวันนี้ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะชาว LAZY Consumer ติดนิสัยไม่ชอบการรอคอย ชอบอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่เสียเวลา ทำให้เกิดธุรกิจที่เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย ไม่ต้องรอนาน เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจรับจ้างต่อคิว ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวซื้อของ ต่อคิวร้านอาหารยอดฮิต ต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ตหรือแม้แต่ต่อคิวทำธุระที่หน่วยงานราชการ หรือบริการจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าและบริการที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด และเพิ่มฟังก์ชันที่ช่วยให้ทำทุกอย่างได้แบบครบจบในที่เดียว เช่น บริการแบบ One stop Service แพลตฟอร์มซูเปอร์แอปที่รวมหลายๆ บริการไว้ในที่เดียว
  • ขี้เกียจออกแรง – ร้อยทั้งร้อยของ LAZY Consumer จะชอบอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน จึงชอบหาวิธีหรือทางลัดต่างๆ ที่จะช่วยให้ออกแรงน้อยที่สุด จึงมักเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นแรงหรือให้คนมาทำแทนได้ ส่งผลให้สินค้าและบริการที่ช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน จัดสวน ซักรีด ย้ายบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
  • ขี้เกียจคิด ขี้เกียจตัดสินใจ – เพราะลำพังชีวิตประจำวันก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเต็มไปหมดชาว LAZY Consumer จึงชอบที่จะอยู่ในสภาวะทิ้งตัวและมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ ธุรกิจแบบจัดการให้จบ ครบวงจร คิดมาให้พร้อม ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนหรือจัดการเองจึงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น บริการวางแผนท่องเที่ยวแบบครบวงจรบริการจัดงานแต่งงาน บริการสไตลิสต์ส่วนตัวที่จัดส่งสินค้าไปให้ทดลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือสินค้า ที่จัดเป็น Set และสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้ต่างๆ เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุง (Meal Kit) ซึ่งหากเข้าใจ 4 พฤติกรรมขี้เกียจหลักๆ ของผู้บริโภคได้ก็จะทำให้มีจุดโฟกัสที่ชัดเจน นำไปสู่การสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ตรงใจ และประสบความสำเร็จในธุรกิจได้

Lazy Economy เทรนด์ธุรกิจมาแรง จะอีกกี่ปีก็ไม่มีแผ่ว

แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับมูลค่าของ Lazy Economy ทั่วโลก แต่จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น ธุรกิจ Delivery และช็อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าตลาดนี้มีศักยภาพมหาศาล และมีแนวโน้มเติบโตอีกมากทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ทั้งนี้เพราะ

  • ยิ่งหาเงินได้มาก ก็ยิ่งอยากใช้เงินแก้ปัญหา ไม่ว่าใครก็ชอบความรวดเร็ว สะดวกสบาย และไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด การใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อซื้อความสะดวกสบายก็จะยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ยิ่งมีรายได้สูงเท่าไหร่แนวโน้มที่จะใช้เงินซื้อความสะดวกสบายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
  • ยิ่งทำงานหนัก ก็ยิ่งไม่อยากทำอะไร เพราะลำพังแค่ทำงานอย่างเดียวก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากไปคิดหรือทำอะไรต่อแล้ว ดังนั้น ตราบใดที่คนยังต้องทำงานหนักและมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นพลังกาย พลังสมอง และทุ่นเวลาจึงไม่มีทางตกเทรนด์
  • ยิ่งเทคโนโลยีเจริญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนขี้เกียจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีคือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของมนุษย์ขี้เกียจ ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาเจริญก้าวหน้าเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างยิ่งง่ายเพียงแค่ขยับปลายนิ้ว เพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
]]>
1497671
เปิดเส้นทาง “เซ็นทรัล รีเทล” ลงทุนห้างหรูในอิตาลี พลิก Rinascente จาก Department Store สู่ Luxury Retail https://positioningmag.com/1497320 Tue, 05 Nov 2024 08:12:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497320
  • เซ็นทรัล รีเทล กับการลงทุนกลุ่มห้างหรูในยุโรป 13 ปี ปักหมุดอิตาลีด้วยการเข้าซื้อ Rinascente ห้างโลคอลตำนานกว่า 160 ปี 
  • พลิกโฉม Department Store สู่ Luxury Retail เบอร์ 1 ในอิตาลี
  • ปีที่ผ่านมาสามารถกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือ 36,000 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ มีทราฟฟิก 20 ล้านคนต่อปี รวม 9 สาขา
  • ความฝันของเซ็นทรัลในการครองห้างหรูในยุโรป

    เซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หนึ่งในลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเซ็นทรัล กรุ๊ปที่นอกจากจะมีธุรกิจในไทย และเวียดนามแล้ว ยังมีธุรกิจห้างหรูในอิตาลีด้วย หลายคนอาจจะสงสัยธุรกิจห้างหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลมีการแบ่งโครงสร้างอย่างไร  

    renascente

    โดยที่ “รีนาเซนเต” ในอิตาลีจะอยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล เพียงกลุ่มเดียว เพราะก่อนหน้านี้มีการซื้อขายภายใต้ CRC พอเข้าตลาดหลักทรัพย์เลยอยู่ในเครือเดียวกันเลย ส่วนห้างหรูอื่นๆ ทั้งคาเดเว กรุ๊ป (เยอรมนี), อิลลุม (เดนมาร์ก), โกลบัส (สวิตเซอร์แลนด์), โกลเดนเนส ควอเทียร์ และกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซลฟริดส์เจส (Selfridges Group) จะอยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล

    รีนาเซนเตมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปี เริ่มก่อตั้งปี 1865 (พ.ศ. 2408) แต่เดิมใช้ชื่อว่า La Rinascente แปลว่า Reborn เพราะตอนนั้นในเมืองมิลาน เลยตั้งชื่อว่าเหมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง ภายหลังได้รีแบรนด์เหลือแค่ Rinascente โดยที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมือง ในประเทศอิตาลี

    แรกเริ่มเดิมทีรีนาเซนเตเป็นห้างสรรพสินค้าแบบ Traditional Department Store แบบเก่าแก่ ให้นึกถึงภาพ “ตั้งฮั่วเส็ง” ในไทย ให้ฟีลประมาณนั้นเลย อีกทั้งยังเป็นธุรกิจครอบครัวอีกด้วย จนมาถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีลูกหลานดูแลกิจการต่อ จึงมองหาพาร์ทเนอร์ในการส่งต่อธุรกิจ เป็นจังหวะเดียวกันกับ “ทศ จิราธิวัฒน์” หัวเรือใหญ่กลุ่มเซ็นทรัล มีความใฝ่ฝันที่อยากมีห้างสรรพสินค้าในยุโรป การมีดีลของรีนาเซนเตเข้ามา เหมือนเป็นทางด่วนให้ความฝันนั้นเป็นจริงเร็วขึ้น โดยที่ไม่ต้องสร้างห้างเซ็นทรัลในยุโรปเลย

    renascente

    เซ็นทรัลเลยเข้าซื้อกิจการในช่วงปี 2554 ในตอนนั้นเป็นช่วงค่าเงินยูโรอ่อนค่าด้วย เลยเป็นผลดีในการซื้อขาย ก่อนหน้านี้ได้ซื้อตึกร้างแห่งหนึ่งในกรุงโรมเพื่อทำการรีโนเวตเป็นห้างแห่งใหม่ แต่ต้องหยุดสร้างเป็นเวลา 12 ปี เพราะเจอโครงสร้างเก่าแก่สมัยโบราณ จากนั้นจึงได้เปิดตัวรีนาเซนเตในกรุงโรมเมื่อปี 2560

    พลิกโฉมสู่ Luxury Retail 

    ก่อนที่เซ็นทรัล รีเทลจะเข้ามาซื้อกิจการ รีนาเซนเตมีผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกทั้งจุดยืนของห้างก็เป็น Department Store แบบดั้งเดิม ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดอะไรมากนัก ประกอบกับห้างที่ค่อนข้างเก่า นักท่องเที่ยวก็ไม่เข้า

    เมื่อเซ็นทรัล รีเทลเข้ามาซื้อกิจการจึงทำการสังคยนาใหม่ ตั้งแต่การปรับโฉม ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ห้างดั้งเดิมกลายเป็น Luxury Retail เน้นสินค้าแบรนด์เนม ลักชัวรี่ เพราะอิตาลีขึ้นชื่อเรื่องสินค้าแบรนด์เนมอยู่แล้ว พร้อมกับเติมความแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ให้มากขึ้น 

    renascente

    เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางเซ็นทรัล รีเทลได้พาสื่อมวลชนจากไทยไปเยือนรีนาเซนเต 3 สาขา ได้แก่ โรม, ฟลอเรนซ์ และมิลาน พร้อมกับแชร์อินไซต์ในการพลิกโฉมเป็น Luxury Retail ตอนนี้ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในอิตาลีไปแล้ว

    ปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล
    รีเทล กล่าวว่า

    “หลังจากที่เซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยปรับโฉมห้างทุกสาขาทั่วอิตาลี ตั้งแต่ช่วงปี 2554 – 2566 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน Traditional Department Store สู่ Luxury Retail อย่างเต็มรูปแบบ และสำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี”

    ภาพรวมของรีนาเซนเตทั้งหมด มีพื้นที่รวมทั้งหมดทุกสาขา 74,000 ตารางเมตร ออนไลน์สโตร์ 1 แห่ง มีสินค้าขายรวม 559,000 รายการ 3,600 แบรนด์ มีสมาชิกรีนาเซนเต การ์ด 4 ล้านราย มีทราฟฟิกเยี่ยมชมสโตร์ปีละ 20 ล้านคน โดยที่ 47% ของลูกค้า มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

    สำหรับรีนาเซนเต สาขาโรม มีพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยที่ชั้น 7 ได้รีโนเวตนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ยังคงใช้โครงสร้างสไตล์โรม มีช่องให้แสดงแดดเข้า 

    สาขานี้มีทราฟฟิกผู้ใช้บริการเฉลี่ย 5,000 คน สำหรับวันธรรมดา และ 10,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ สัดส่วนรายได้ 60% มาจากนักท่องเที่ยว ท็อป 5 ที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, เกาหลีใต้, บราซิล และกลุ่มตะวันออกกลาง

    renascente

    สัดส่วนสินค้าส่วนใหญ่ 70% เป็นสินค้าลักชัวรี่ คนอิตาเลียนชอบใช้ของแบรนด์เนม และชอบแบรนด์อิตาลีเอง ได้แก่ Dolce&Gabbana, Prada, Gucci, Tod, Valentino และ Bottega Veneta แบรนด์เหล่านี้จะค่อนข้างขายดี 

    สินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่ง ยังคงเป็นสินค้ากลุ่มผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ 50% รองลงมาเป็นสินค้าผู้ชาย เสื้อผ้าต่างๆ 50% 

    ช่องทางออนไลน์ยังเป็นสัดส่วนน้อย เพราะคนอิตาเลียนชอบเดินห้าง ชอบลองสินค้า เพราะฉะนั้นประสบการณ์ในห้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเซ็นทรัล รีเทลในการเข้ามาลงทุนห้างหรูในยุโรปก็คือ “คอนเน็กชั่น” ได้มีคอนเน็กชั่นดีๆ กับเหล่าแบรนด์เนมต่างๆ มีพาวเวอร์ที่ดีในการดึงมาลงทุนที่ไทย ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ 

    ทุบสถิติกวาดรายได้พันล้านยูโร

    ถึงแม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบทั่วโลกจะไม่สู้ดีนัก รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก แต่ภาพรวมของอิตาลียังเติบโตมากกว่ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม EU รวมไปถึงสถานการณ์ช่วงหลัง COVID-19 ที่กระทบไปทั่วโลก กำลังซื้อก็แย่ลง แต่การรีนาเซนเตมีการรีโนเวตห้าง ทำให้ยังดึงนักท่องเที่ยวได้อยู่

    ทำให้ในปี 2566 รีนาเซนเตกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือราว 36,000 ล้านบาท ทุบสถิตินิวไฮเป็นครั้งแรก โดยที่สาขามิลานสร้างรายได้อันดับ 1 ที่ 430 ล้านยูโร

    renascente

    รีนาเซนเตสาขามิลานมีพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเมืองมิลานก็คือ อยู่ติดกับมหาวิหาร Duomo di Milano จุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเยือน ทำให้สาขานี้มีทราฟฟิกคนมาเยือนปีละ 8 ล้านคน สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นคนโลคอล 70% และนักท่องเที่ยว 30% กลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ จีน, สหรัฐอเมริกา และกลุ่มตะวันออกกลาง

    ที่นี่ยังคงเน้นสินค้าลักชัวรี่มีสัดส่วน 72% แบรนด์ที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Louis Vuitton, Dior และ Gucci กลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุดยังเป็นกลุ่มผู้หญิง กระเป๋า รองเท้า รองลงมาเป็นกลุ่มเสื้อผ้าผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้ชาย

    ที่มิลานจะมีการรีโนเวตใหญ่ ใช้งบลงทุน 1,200 ล้านบาท ย้ายโซนบิวตี้ไปที่ตึกใหม่ทั้งหมด บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งตึกข้างๆ เป็นโรงภาพยนตร์เก่า แต่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นฮอลล์บิวตี้ เปิดให้บริการปี 2570 

    ส่วนที่สาขาฟลอเรนซ์ แม้จะเป็นสาขาเล็กพริกขี้หนู มีพื้นที่ 3,000-4,000 ตารางเมตร แต่ก็ยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใจกลางเมือง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี สร้างรายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี สาขานี้คนไทยไปเยือน และมีการใช้จ่ายติด Top 10 

    สำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการลูกค้าแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในด้านต่างๆ และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี

    ]]>
    1497320
    CLOVER ENTERTAINMENT เอเจนซี่จากเกาหลีใต้บุกไทย รุกตลาดอินฟลูฯ เชี่ยวชาญด้าน TikTok Live https://positioningmag.com/1496458 Wed, 30 Oct 2024 09:18:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496458 THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT หรือ CLOVER ENTERTAINMENT เอเจนซี่ผู้พัฒนาครีเอเตอร์อันดับ 1 จากเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าบุกตลาดโลก ปักหมุดประเทศไทยเป็นแห่งแรก นำทัพครีเอเตอร์ระดับท็อป ความเชี่ยวชาญด้าน TikTok Live และการตลาดดิจิทัลครบวงจร พร้อมมุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างครีเอเตอร์และแบรนด์ธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อสร้างความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

    ปาร์ค อิลซอ CEO THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT กล่าวว่า

    ตลาดอินฟลูเอนเซอร์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยมีมูลค่าถึง 21.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 คาดว่าจะสูงถึง 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และยังมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มถึง 199.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 28.6% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึง 68.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากฐานผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นิยมเสพคอนเทนต์ออนไลน์และติดตามครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตนชื่นชอบ และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการตามคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์

    แบรนด์ต่าง ๆ จึงหันมาใช้กลยุทธ์นี้ทำการตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงอย่าง TikTok Live ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อกับอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์ได้แบบเรียลไทม์กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ Clover Entertainment เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ Clover Entertainment ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งอันดับ 1 จากเกาหลีใต้และมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางการตลาดในประเทศไทยอีกทั้งยังเป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรม K-POP อย่างแพร่หลาย และเป็นพันธมิตรที่ดีของเกาหลีใต้จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่ไทยจะเป็นประเทศแรกสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก

    “Clover Entertainment เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง โดยเฉพาะการพัฒนาครีเอเตอร์สำหรับ TikTok Live เรามีประสบการณ์ในการคัดสรรและช่วยผลักดันครีเอเตอร์ให้เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของการเพิ่มยอดผู้ติดตาม ยอดวิว และยอดขาย มีเครือข่ายครีเอเตอร์ระดับแถวหน้ามากกว่า 1,500 คน ในจำนวนนี้ติดอันดับท็อป 100 ของโลกถึง 64 คน โดยท็อป 3 ของครีเอเตอร์ระดับโลกมาจาก Clover และครีเอเตอร์อันดับ 1 ของโลก ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็มาจาก Clover เช่นกัน ตัวอย่าง ครีเอเตอร์ชื่อดังระดับโลกในเครือข่ายของเรา เช่น คูฮยอนโฮ (Ku Hyunho) ชเวซีวอน (Choi Siwon) อีอินฮวา (Lee Inhwa) อีอินจู (Lee Inju) รวมถึง อีชียอง (Lee Si-Young) ผู้ได้รับฉายาว่าไอคอนแห่ง TikTok เกาหลี

    นอกจากนี้ เรายังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Kiwe Lab ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเนื้อหาขนาดสั้น (short-form content) และการตลาดดิจิทัล ทำให้ Clover Entertainment สามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำ สร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่น เป็นไวรัล สร้างสรรค์แคมเปญการตลาดที่เหมาะกับคาแรกเตอร์ของอินฟลูเอนเซอร์ ตอบโจทย์แบรนด์ โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเติบโตถึง 300% ในปี 2566 และ 400% ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดในด้าน TikTok Live Commerce อันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และเติบโตเร็วที่สุดในโลกในธุรกิจประเภทเดียวกัน

    THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT เป็นเอเจนซี่อันดับ 1 จากเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร ตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ การวางแผนการตลาด การสร้างสรรค์คอนเทนต์ การจัดทำแคมเปญ การผลิตไปจนถึงการโปรโมต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาครีเอเตอร์สำหรับแพลตฟอร์ม TikTok Live โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้ครีเอเตอร์และแบรนด์เติบโตไปพร้อมกันตามแนวคิด “Our success is shared by all”

    THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2564 และหลังจากเปิดบริการ TikTok Live เพียงไม่นาน บริษัทก็สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 300% ในปี 2566 และ 400% ในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นผู้นำในตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งระดับโลก มีเครือข่ายครีเอเตอร์ระดับแถวหน้ากว่า 1,500 คน และในจำนวนนี้ติดอันดับท็อป 100 ของโลกถึง 64 คน ครองส่วนแบ่งตลาดในด้าน TikTok Live Commerce อันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในธุรกิจประเภทเดียวกัน

    จากความสำเร็จที่ผ่านมา Clover Entertainment จึงมีแผนขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก โดยเริ่มจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก เนื่องจาก Clover เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสทางการตลาดในประเทศไทย

    ]]>
    1496458
    เปิด 9 อาณาจักร “บอสพอล” เจ้าของ The iCON GROUP รวยหมื่นล้านใน 5 ปี https://positioningmag.com/1493707 Thu, 10 Oct 2024 06:51:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493707 จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า “เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?” อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์

    ต่อมา นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ ออกมาแฉพฤติกรรมธุรกิจเครือข่ายแห่งหนึ่งที่เจ้าตัวร่วมลงทุนเพื่อหารายได้อีกทางแต่สุดท้ายสูญเงินหลายแสนบาท อีกทั้งพบข้อเท็จจริงสุดเศร้า ว่ามีผู้สูงวัยที่หลงเชื่อใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตมาลงทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว รวมถึงเจ้าตัวพยายามเรียกร้องกลับพบข้อกฎหมายที่ทางบริษัททำไว้รัดกุมจนคิดว่าเอาผิดเขาไม่ได้

    หลายคนจับจ้องไปที่ “บอสพอล” หรือ วรัทย์พล วรัตน์วรกุล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCON GROUP)

    จาการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า นายวรัทย์พล วรัตน์วรกุล เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นในบริษัทอย่างน้อย 9 แห่ง เลิกกิจการไปแล้ว 1 แห่ง ได้แก่

    1. บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อ 1 มิ.ย. 2561 ทุนปัจจุบัน 50 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

    รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 74.9998%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 21% และ ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 4.0002%

    สำหรับงบการเงิน ปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 2,402,677,947 บาท หนี้สินรวม 1,554,377,393 บาท มีรายได้รวม 1,891,032,251 บาท รายจ่ายรวม 1,862,137,799 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 3,346 บาท เสียภาษีเงินได้ 9,113,250 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

    หากนับรวมรายได้ ย้อนหลัง 5 ปี (ปีงบ 2562-2566) พบว่ามีรายได้รวมกัน 10,613,171,865 บาท (ราว 1 หมื่นล้านบาท) ในปี 2562 มีรายได้รวม 322,679,743 บาท กำไรสุทธิ 5,947,795 บาท

    • ปี 2563 รายได้รวม 378,119,566 บาท กำไรสุทธิ 9,044,857 บาท
    • ปี 2564 รายได้รวม 4,950,055,693 บาท กำไรสุทธิ 813,444,976 บาท
    • ปีงบ 2565 รายได้รวม 3,071,284,612 บาท กำไรสุทธิ 188,084,851 บาท
    • ปี 2566 รายได้รวม 1,891,032,251 บาท กำไรสุทธิ 19,777,855 บาท

    2. บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด

    จดทะเบียนวันที่ 3 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/45-46 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจ คลินิกโรคเฉพาะทาง โดย “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการรายเดียว

    โดยรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 99.98%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือ 0.01% และ จินดา แซ่ก๊อก ถือ 0.01% ซึ่งงบการเงินปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 236,339 บาท หนี้สินรวม 13,000 บาท รายได้รวม 339 บาท รายจ่ายรวม 27,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 26,660 บาท

    3. บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การให้คำปรึกษาด้านภาษี มี วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร วิสูตร อภิญโญวิเชียร เป็นกรรมการ

    รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 50%, วิสูตร อภิญโญวิเชียร ถือหุ้น 49%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% โดยงบการเงิน ปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 968,097 บาท หนี้สินรวม 631,696 บาท รายได้รวม 617,448 บาท รายจ่ายรวม 1,243,903 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 1,964 บาท ขาดทุนสุทธิ 628,419 บาท

    4. บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อ 15 ก.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/42-44 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

    รายชื่อผู้ถือหุ้น เมื่อ 30 เม.ย. 2567 “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ถือหุ้นใหญ่ 94.99%, จินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 5%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 0.01%

    5. บริษัท เดอะไอคอน แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อ 14 ต.ค. 2554 แจ้งเลิกกิจการ 15 พ.ย. 2564 ตั้งอยู่ที่ 158/23 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ เป็นนายหน้าตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องมือเครื่องใช้เสริมความงาม อาหารเสริม ทุกประเภท “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เป็นกรรมการ

    6. บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อ 15 พ.ค. 2562 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยมีนายวรัตน์พล วรัทย์วร กุล, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร และ จิระวัฒน์ แสงภักดี เป็นกรรมการ

    รายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อ 30 เม.ย. 2567 บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 34%, บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 33%, บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด ถือหุ้น 33%

    7. บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด

    ทุน 1 ล้านบาท ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร เป็นกรรมการและถือหุ้นใหญ่สุด 99.98% ทำธุรกิจนายหน้าจากการขายสินค้า แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 88.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.1 ล้านบาท

    8. บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด

    ทุน 1 ล้านบาท จิระวัฒน์ แสงภักดี (ถือหุ้น 45%) วัชรา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 45%) พรรทิพา งามจัตุรัส (ถือหุ้น 10%) เป็นกรรมการ ทำธุรกิจออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ติดตั้งระบบเครือข่าย และให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟแวร์

    แจ้งรายได้ปี 66 กว่า 33.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.7 ล้านบาท โดยงบการเงินล่าสุดปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 7,976,108 บาท หนี้สินรวม 2,156,548 บาท รายได้รวม 20,073,858 บาท รายจ่ายรวม 15,088,783 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 5,796 บาท เสียภาษีเงินได้ 997,117 บาท กำไรสุทธิ 3,982,160 บาท

    9. บริษัท ไอคอน ซูวีเนียร์ จำกัด

    จดทะเบียนเมื่อ 6 ส.ค. 2567 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 165/43 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบาง เขน กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การขายปลีกสินค้าอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นบนแผงลอยและตลาด วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการรายเดียว

    รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด 29 .. 2567 วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ถือหุ้นใหญ่ 99%, ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ถือหุ้น 1% ยังไม่พบข้อมูลงบการเงิน

    ]]>
    1493707
    เปิดเบื้องหลังดีล Supersports ควัก 468 ล้าน เข้าซื้อ REV Edition เสริมแกร่งกลุ่ม “วิ่ง” สาย Specialty   https://positioningmag.com/1491931 Thu, 26 Sep 2024 09:03:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491931
  • CRC Sports ผู้บริหารร้าน Supersports ในเครือ CRC เข้าซื้อ REV Edition ถือหุ้นใหญ่ 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท 
  • การเข้าซื้อครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งสินค้ากีฬาของ CRC Sports ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะต้องการเจาะสาย “วิ่ง” แบบ Specialty 
  • เตรียมนำแบรนด์ Sport Retail สัญชาติไทย ไปปักธงในอาเซียน 
  • นายทุนใหญ่ กับนักสร้างแบรนด์มาเจอกัน

    หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทาง CRC Sports (บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศดีลใหญ่ในวงการกีฬา ด้วยการเข้าซื้อกิจการ REV Edition โดยถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อยอดกันระหว่าง Sport Retail เพียงแต่สเกลต่างกัน และมีจุดแข็งที่ต่างกัน

    ปัจจุบัน CRC Sports แบ่งธุรกิจเป็น 2 ขาด้วยกัน ได้แก่ 1. ร้านมัลติสปอร์ตภายใต้ Supersports 2. เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬาทั้งหมด 7 แบรนด์ ได้แก่ Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson และ Umbro

    ส่วน REV Edition เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้ากลุ่ม Sports Performance & Lifestyle ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 ในฐานะผู้บริหารร้านไนกี้ แฟลกชิปสโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้บุกเบิก และบริหารร้านกีฬา REV RUNNR ซึ่งเป็นร้านอุปกรณ์กีฬาสำหรับผู้ที่รักการวิ่งโดยเฉพาะ

    โดยที่ REV Edition มีธุรกิจหลัก 2 ขาเช่นเดียวกัน 1. ร้าน REV RUNNR ร้านสำหรับสายวิ่ง ปัจจุบันมี 40 สาขา และ 2. ตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์แบรนด์รวม 13 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley และกำลังจะเปิดตัว National Geographic อีกหนึ่งแบรนด์ในช่วงปลายปีนี้

    CRC Sports เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำตลาดมา 27 ปี มีบทบาทเป็นนายทุนที่มีระบบอินฟราสตรัคเจอร์พร้อม รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุน โลเคชั่นในการขยายสาขา ส่วนทาง REV Edition เป็นน้องชายที่ทำตลาดมา 24 ปี แม้จะสเกลเล็กกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นในเรื่องกีฬาเต็มที่ และเก่งในเรื่องการสร้างแบรนด์ มองเทรนด์ และคาดการณ์ความนิยมของแบรนด์ได้ดี

    พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรฟ อีดิชั่น จำกัด เล่าว่า

    “REV Edition ก่อตั้งเมื่อปี 2543 วางจุดยืนเป็นการทำธุรกิจกีฬารูปแบบใหม่ ในตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีรูปแบบคอนเซ็ปต์ช็อป หรือคอนเซ็ปต์สโตร์เลย เรามีวิธีคิดที่ว่าตอนนำแบรนด์เข้ามาทำตลาดในไทย ไม่ได้เลือกแบรนด์ดังที่สุด แต่เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรม มีศักยภาพ ถ้าย้อนกลับไป 6 ปีก่อนตอนนั้นไม่มีคนรู้จักแบรนด์ HOKA เลย แต่ตอนนี้คนรู้จักเยอะขึ้น หรืออย่างแบรนด์ Saucony ที่เริ่มนำเข้ามาได้ 4 ปี ตอนนี้ก็มีการเติบโตสูง สร้างรายได้ที่ดีให้บริษัท การร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัท Sport Retail สัญชาติไทยออกไปต่อสู้ตลาดต่างประเทศได้”

    ยุคทองของ Specialty กีฬาก็ยังต้อง Specialty

    เรียกได้ว่ายุคนี้เป็นของสินค้าพรีเมียม หรือยุคของสาย Specialty ของแท้ เพราะไม่ว่าจะอาหารการกิน กาแฟ ชาไทย ก็มีแบรนด์ที่เป็น Specialty ที่เชี่ยวชาญด้านนั้นโดยเฉพาะ ในแง่ของสินค้าผู้บริโภคก็มองหาสินค้าเฉพาะทางมากขึ้นด้วยเช่นกัน ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพตามใจต้องการ

    ถึงแม้ว่า CRC Sports และ Supersports จะดำเนินธุรกิจมานาน มีแบรนด์ที่หลากหลาย แต่ก็อาจจะยังไม่หลากหลายมากพอกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าดูแบรนด์เครือที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็ค่อนข้างแมสพอสมควร

    ดีลนี้ได้ทำการพูดคุยกันเป็นเวลา 1 ปี ถึงได้ตกลงปลงใจในการซื้อขายกัน การข้าซื้อ REV Edition จึงเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะได้แบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์เข้ามาอยู่ในมือเพิ่มอีก 13 แบรนด์ และยังเป็นแบรนด์ดาวรุ่งที่มีการเติบโตสูงขึ้นทุกปี

    สุฑาทิพย์ มนูญผล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ และพันธมิตร กลุ่มเซ็นทรัลแบรนด์แอนด์สเปเชียลตี้ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าว่า

    “การเข้าซื้อ REV Edition เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการหาสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มกีฬา แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ซึ่งตอนนี้กีฬาไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป แต่เป็นวิถีชีวิตของคนไปแล้ว ตลาดนี้คาดว่ามีมูลค่าถึง 35,000 ล้านบาท และมีการเติบโตขึ้นทุกปี REV Edition เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Running Category ธุรกิจแบรนด์กีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Performance และ ไลฟ์สไตล์ การร่วมมือกันครั้งนี้ยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น”  

    ทางด้าน อเล็กซองต์ อัมเบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า

    “ในช่วง 2 ปีที่ผ่ามา Supersports ได้มีการทรานส์ฟอร์มใหม่ ทั้งปรับปรุงสโตร์ให้ทันสมัย หาพื้นที่ใหม่ๆ ในการสร้างการเติบโต ทาง REV Edition มีลูกค้าที่มี Loyalty สูง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าโดยเฉพาะสายวิ่ง และเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับหลายแบรนด์ ทาง Supersport มองหาการยกระดับชีวิตลูกค้าผ่านการออกกำลังกายมากขึ้น” 

    เจาะขุมทรัพย์นักวิ่งสายเปย์

    คำพูดที่บอกไว้ว่า “วิ่งเป็นกีฬาที่ประหยัดที่สุด มีแค่รองเท้าคู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้แล้ว” กลายเป็นประโยคที่สร้างเสียงหัวเราะมากที่สุดสำหรับวงการวิ่ง

    หลายปีที่ผ่านมากระแสการวิ่งได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากเทรนด์การจัดงานวิ่งมาราธอน หรือจะเป็นการออกกำลังกายแบบ Solo ที่เริ่มออกกำลังกายคนเดียวมากขึ้น

    ทำให้กีฬาวิ่งมีมูลค่าตลาดราวๆ 5,000 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดากีฬาอื่นๆ ซึ่งจักรวาลของการวิ่งไม่ได้มีแค่รองเท้าวิ่งอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งนาฬิกาสมาร์ทวอทช์, เสื้อผ้า, แว่นตา ยิ่งถ้าเป็นสายขาแรงหน่อยก็อาจจะมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ถุงเท้ารัดน่อง ผ้าบลัฟ เจลให้พลังงาน เป็นต้น

    และกีฬาวิ่งนี่เอง เป็นกีฬาที่เวลาจัดงานสามารถมีผู้ร่วมงานได้หลักหมื่นคน เมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆ ที่อาจจะมีผู้เข้าร่วมได้แค่หลักร้อย หลักพันเท่านั้น ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนมีตัวเลขที่ทำการเซอร์เวย์ว่าเมืองไทยมีนักวิ่งราวๆ 13 ล้านคน ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 15 ล้านคนแล้ว

    โดยปกติแล้วการวิ่งจะแบ่งเป็น 2 เซ็กเมนต์ใหญ่ก็คือ วิ่งถนน และวิ่งเทรล จะใช้รองเท้าต่างกัน พฤติกรรมนักวิ่งจะมีการใช้รองเท้าวิ่งที่ต่างกันด้วย เช่น วันซ้อม, วิ่ง Long Run, วิ่งแบบ Every day Running และวันแข่ง ทำให้นักวิ่งมีรองเท้าเฉลี่ยอย่างน้อยๆ คนละ 4 คู่ ส่วนใหญ่ 1 คู่จะใช้งานได้ประมาณ 600 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นนักวิ่งมืออาชีพ หรือนักวิ่ง Elite อาจจะใช้รองเท้ารุ่นโหดๆ แล้วใช้แข่งแค่ครั้งเดียวก็ทิ้งเลยก็มี

    ทำให้ในบริษัทของ REV Edition มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งถึง 40% เรียกว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด รองลงมากลุ่มฟุตบอล, บาสเก็ตบอล และกอล์ฟ โดยมี 3 แบรนด์หัวหอกที่สร้างรายได้เยอะที่สุดได้แก่ Saucony, Hoka และ Kailas ซึ่ง 3 แบรนด์นี้สร้างรายได้เกิน 50% ของแบรนด์ทั้งหมด ส่วนทาง Supersports มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งราวๆ 25-30%

    ร้านกีฬาแบรนด์ไทย ปักธงในอาเซียน 

    การร่วมมือกันของ CRC Sports และ REV Edition จะรวมทั้งในเรื่องของร้านค้า และแบรนด์สินค้า ด้านสิทธิ์การจัดจำหน่ายแบรนด์ต่างๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของ CRC Sports ซึ่งจะยังคงสิทธิ์การบริหารทั้งหมดอยู่กับ REV Edition ทำให้มีแบรนด์รวมกันทั้งหมด 20 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley, Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson, Umbro และ National Geographic ที่กำลังจะเปิดตัว

    โดยตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นผ่านการขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์อย่าง Supersports และ REV RUNNR รวมถึงแบรนด์สโตร์ เป็น 2 เท่าในประเทศไทย และขยายสาขาไปยังมาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ พร้อมกับเป้าหมายใหญ่ในการเป็นแบรนด์ไทยที่ไปปักธงในอาเซียนให้ได้ ทำตลาดผ่าน REV RUNNR

    ปัจจุบันหน้าร้านในเครือ REV Edition มีทั้งหมด 159 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และมาเลเซีย ทั้งในรูปแบบ ร้าน REV RUNNR, แบรนด์ช็อป, เคาน์เตอร์ในสโตร์ (shop in shop) รวมถึงในร้านมัลติแบรนด์ต่างๆ และหน้าร้านออนไลน์ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะขยายหน้าร้านในเครืออีก 19 สาขา รวมถึงร้าน NATIONAL GEOGRAPHIC LIFESTYLE STORE สาขาแรกของไทย และมีแผนจะขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์และแบรนด์สโตร์อีกมากกว่า 20 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาในมาเลเซีย ภายในปี 2568

    ส่วน Supersport มีสาขาทั้งหมด 93 สาขา มีโมโนสโตร์ที่เป็นร้านของแบรนด์ต่างๆ 10 สาขา ปีหน้าจะขยาย 5-10 สาขา ร้าน Supersport จะขยายเพิ่มอีก 1-2 สาขาในปีหน้า

    ]]>
    1491931
    ย้อนรอยอินฟลูเกาหลีผู้ตกด้อมไทยสายเปย์ ตั้งแต่ “คิวเทอปป้า-พี่จอง คัลแลน” จนถึง “กามิน” https://positioningmag.com/1489630 Wed, 11 Sep 2024 07:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489630 ในหลายปีมานี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลกับผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เห็นได้ว่าเกิดอาชีพออนไลน์ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือบล็อกเกอร์สายต่างๆ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน ก็สามารถทำอาชีพเหล่านี้ได้ และเมื่อกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็จะกลายเป็นคนที่ทรงอิทธิพลต่อคนหมู่มากบนโลกโซเชียลมีเดียได้เช่นกัน

    ยุคเฟื้องฟูของอินฟลูต่างชาติ

    ในประเทศไทยเอง การเป็นคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพยอดนิยมไปแล้ว เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง และรายได้ในคราวเดียว เป็นใบเบิกทางสู่การทำธุรกิจได้อีกด้วย บางคนยังก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ 

    ข้อมูลจาก Tellscore พบว่า ประเทศไทยคาดว่ามีคอนเทนต์ ครีเอเตอร์มากถึง 9 ล้านคน ครอบคลุมตั้งแต่ในระดับ Nano – Macro – Mega Creator ทั้งที่เป็น Full-time และ Part time ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียและการใช้เวลาท่องโลกออนไลน์ของคนไทยที่มีอัตราสูงในอันดับต้นๆ ของโลก โดยจากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พบว่าประชากรไทยมีการอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ประมาณ 89.5% และมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากถึง 50 ล้านคน คิดเป็น 71.5% ของประชากรทั้งหมด 

    แน่นอนว่าการเป็นครีเอเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี ซึ่งการที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนยิ่งทำให้เกิดการจดจำมากขึ้น นำไปสู่การหารายได้เป้นกอบเป็นกำ

    อย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นกระแสความนิยมของอิฟลูเอนเซอร์ หรือครีเอเตอร์เกาหลีจำนวนมาก หลายคนประสบความสำเร็จในไทย มีรายได้มหาศาล หนึ่งสิ่งที่อธิบายความนิยมของคนไทยได้มากที่สุดคือ “ความเอ็นดู” คนไทยหลายคนรู้สึกปลื้มใจที่เห็นชาวต่างชาติหัดพูดภาษาไทย แม้จะทำกิจกรรมเงอะๆ งะๆ ก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี ซึ่งลองนึกภาพว่าถ้าเป็นครีเอเตอร์คนไทยทำกิจกรรมเดียวกัน คงให้ความสนใจต่างกัน

    ครีเอเตอร์เกาหลีจึงเบ่งบานในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่เรียงจาก “คิวเท” ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีเบอร์ต้นๆ ที่คนไทยรู้จัก เจ้าของช่อง Kyutae Oppa คิวเทเป็นชาวเกาหลีแท้ๆ ที่เกิด และเติบโตในไทย คิวเทเริ่มทำคลิปวิดีโอแรกตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ ม. 6 เป็นคลิป “เกาหลีเต้นสายย่อ” และแจ้งเกิดได้จากคลิป “เกาหลีดูหนังผีไทยคนเดียว” ซึ่งเป็นการรีแอคชั่นขณะดูภาพยนตร์ “ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ”

    เพียงชั่วระยะเวลา 3 ปีเศษๆ ช่องยูทูบของเขา ก็สามารถมียอดผู้ติดตามสูงถึงเกือบ 8 ล้านคน บวกกับยอดผู้ติดตามในเฟซบุ๊ก อีกกว่า 1 ล้านคน มาพร้อมกับงานโฆษณา งานรีวิวสินค้า แถมปีก่อนยังได้เปิดร้าน SPACE ZOO ร้านไก่ทอดเกาหลี เป็นการร่วมทุนกับ “เบียร์ ใบหยก” อีกด้วย

    ในตอนนี้ต้องยกให้เป็นปีทองของ “พี่จอง คัลแลน” สร้างปรากฏการณ์ “ใจฟู” ดังไปทั่วประเทศ คู่หูดูโอจากช่อง Cullen HateBerry ที่ทำคลิปเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นการเที่ยวในที่แปลกๆ ที่คนไทยบางคนยังไม่เคยไปด้วยซ้ำ เป็นการท่องเที่ยวสไตล์ง่ายๆ เจอร้านอาหารข้างทางก็แวะ เจอน้องหมาน้องแมวก็ให้ขนม ในคลิปมีการพูดภาษาไทยกันตลอด แม้ทั้งคู่จะเป็นชาวเกาหลีด้วยกัน พูดผิดๆ ถูกๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูให้กับด้อมไทย เกิดกระแสไวรัลไปทั่ว

    ส่งผลให้พี่จอง คัลแลน มีงานพรีเซ็นเตอร์เข้ามากมาย ทั้ง AIS, Samsung, La Roche Posay (ครีมกันแดด), Jerhigh (อาหารสุนัข) และ M-150 รวมไปถึงหลายแบรนด์จ้องที่จะร่วมงานในการส่งสินค้าไปไทอินในคลิป หรือส่งสินค้าไปรีวิว แต่ทางช่องมีการคัดเลือกที่เข้มงวด เนื่องจากไม่อยากให้กระทบเนื้อหา จึงไม่ได้รับงานรีวิวเท่าไหร่นัก  

    รวมไปถึง “พี่ฮง” ​​เจ้าของยูทูบช่อง Oppa Hong หนุ่มเกาหลีอารมณ์ดี ที่ล่าสุดหลายคนก็เชียร์กับกระแสจิ้นกับน้องรถไถ ก็เป็นหนึ่งในอินฟลูเกาหลีที่คนไทยให้ความสนใจด้วยเช่นกัน 

    มหากาพย์ “กามิน” สาวเกาหลีสะเทือนวงการอินฟลู

    นอกจากเหล่าอปป้าเกาหลีที่บรรดาด้อมไทยพร้อมเปย์ใจให้แล้ว ล่าสุดยังมี “กามิน” หรือจีกามิน TikToker สาวชาวเกาหลีที่มีกระแส “ชาลี-กามิน” มหากาพย์นี้ได้เริ่มต้นจาก “แน็ก ชาลี” ที่เห็นไลฟ์ของสาวกามินที่เล่าเรื่องราวของตนเองว่าต้องหาเงินเรียนหนังสือ ต้องกินซีเรียล และบะหมี่ซอง ทำให้ชาลีต้องการยื่นมือช่วยเหลือ 

    ชาลีค่อนข้างมีฐานแฟนคลับ เมื่อนำเรื่องราวมาเล่าก็ทำให้ยอดผู้ติดตามของกามินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นกระแสจิ้น และนำไปสู่เส้นทางความรัก พร้อมกับการเดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย ทั้งรับงานพรีเซ็นเตอร์ ออกอีเวนต์ รวมถึงไลฟ์สดขายของร่วมกัน ก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

    ซึ่งรายได้ที่กามินได้จากการมาทำงานในประเทศไทยถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เผลอๆ อาจเทียบเท่าดาราเบอร์ใหญ่ๆ เลยทีเดียว โดยข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ บอกว่ากามินโกยรายได้ถึง 100 ล้านบาท แน็ก ชาลีเองก็เคยเปิดเผยในไลฟ์สดว่ารายได้ที่กามินหาได้สามารถใช้ได้จนถึงอายุ 50 เลยด้วยซ้ำ แม้จะเป็นการพูดเปรียบเปรยประชดประชัน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล 

    สรุปสิ่งที่กามินได้หลังจากการทำงานในไทย 

    – ไลฟ์สดขายของ ไลฟ์งานคู่งานละ 3-4 ล้านบาท โดยไม่คอมเฟิร์มยอดขาย เน้นคนมาร่วมชมไลฟ์สด 

    – งานอีเวนต์ค่าตัวรวมกันหลักล้าน งานพรีเซ็นเตอร์หลัก 10 ล้าน 

    – เป็นโฮสใน PK TikTok ที่กามินอยู่ใต้สังกัดเอเจนซี่ มียอดติดตาม และยอดเปย์ถล่มถลาย ยืน 1 ของเกาหลี และติด Top 3 ระดับโลก 

    – สร้างสถิติท็อปฟอร์มอันดับ 1 บนชาร์ตกิจกรรม TikTok Live เป็นสถิติที่ไม่มีคนเกาหลีคนไหนทำได้มาก่อน 

    – กามินเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ TikTok เกาหลีที่ทำเงินได้ตลอดสัปดาห์เกิน 20 ล้าน รางวัลสำหรับที่ 1 คือ 1. ได้ขึ้นป้ายโฆษณาโปรโมตที่สถานีรถไฟใต้ดินที่เกาหลี ซึ่งรัฐบาลเกาหลีก็พร้อมซัพพอร์ตกามินให้ได้มีภาพบิลบอร์ดติดที่บริเวณสถานีกังนัม ที่มีแต่คนดังเท่านั้นที่ได้ขึ้นบิลบอร์ดในย่านนี้ อาทิ ไช กังนัมสไตล์ แบล็กพิงก์ 2. ได้โล่ทองกิจกรรมพร้อมสลักชื่อ MVP 3. ได้เงินรางวัลประจำสัปดาห์ แบบยังไม่หักรายจ่าย 4. ได้รับเชิญไปงานอีเวนต์ของ TikTok Live เกาหลีที่จะประกาศในอนาคต กิจกรรมเหล่านี้เพิ่มความนิยมให้คนเกาหลีรู้จักกามินมากขึ้น

    ต้องบอกว่าความสำเร็จของกามินมาจากฐานแฟนคลับคนไทยทั้งสิ้น ฐานแฟนคลับของชาลี ที่ต้องการช่วยเหลือ รวมไปถึงการเปย์เพื่อแลกกับความสุขทางใจ แลกกับความบันเทิงที่ทั้งสองทำคอนเทนต์ร่วมกัน จากกามินที่เป็นสาวเกาหลีธรรมดา มีคนดูไลฟ์เพียงแค่ 5 คน ตอนนี้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ

    แต่กามินเองก็โดนกระแสแบน กระแสตีกลับ คนไทยแห่อันฟอลโลว์ในทุกช่องทางจนผู้ติดตามหล่นฮวบอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาทั้งในด้านของอินฟลูเอง และแฟนคลับสายเปย์

    เข้าใจเรื่อง “ภาษี” ได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ

    อินฟลูเอนเซอร์เป็นหนึ่งอาชีพที่หารายได้ได้เยอะ มาจากทั้งรีวิวสินค้า งานอีเวนต์ งานไลฟ์ต่างๆ สิ่งที่เกิดปัญหาบ่อยครั้งคือหลายคนยังไม่เข้าใจในระบบภาษี บางคนยื่นผิดแบบ ทำให้เจอภาษีย้อนหลังกันอ่วม และเรื่องภาษีนี่เองก็เป็นหนึ่งในรอยร้าวของชาลี กามิน ซึ่งทางฝ่ายหญิงไม่เข้าใจในระบบภาษีของไทยที่เก็บแบบอัตราภาษีก้าวหน้า นั่นคือได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ สูงสุดที่ 35% 

    อัตราภาษีก้าวหน้า คือ การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิ ยิ่งรายได้สูง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยระบบนี้จะแบ่งรายได้ออกเป็นขั้นบันได และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนดในแต่ละขั้น ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 8 ขั้น โดยเริ่มจาก 0% จนถึง 35% ตามระดับรายได้สุทธิที่แตกต่างกัน

    1. รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
    2. รายได้ 150,001 – 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
    3. รายได้ 300,001 – 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
    4. รายได้ 500,001 – 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
    5. รายได้ 750,001 – 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%
    6. รายได้ 1,000,001 – 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%
    7. รายได้ 2,000,001 – 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30%
    8. รายได้มากกว่า 5,000,000 บาทขึ้นไป: อัตราภาษี 35%

    สำหรับอัตราภาษีก้าวหน้าของเกาหลีใต้ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นแบ่งออกเป็นหลายช่วง ซึ่งอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิของผู้เสียภาษี

    1. รายได้ไม่เกิน 12 ล้านวอน: อัตราภาษี 6%
    2. รายได้ 12 – 46 ล้านวอน: อัตราภาษี 15%
    3. รายได้ 46 – 88 ล้านวอน: อัตราภาษี 24%
    4. รายได้ 88 – 150 ล้านวอน: อัตราภาษี 35%
    5. รายได้ 150 – 300 ล้านวอน: อัตราภาษี 38%
    6. รายได้ 300 – 500 ล้านวอน: อัตราภาษี 40%
    7. รายได้ 500 – 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 42%
    8. รายได้มากกว่า 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 45%

    เกาหลีใต้ ยังมีระบบการเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เป็นส่วนท้องถิ่น (Local income tax) ซึ่งคิดอัตราเพิ่มเติมที่ 10% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องจ่ายด้วย​​

    ]]>
    1489630