ratirita – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Dec 2024 08:04:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ยาดมหงส์ไทย” เกิดจากคอร์สเรียนพิมเสน 200 บาท สู่รายได้ 300 ล้านในวันนี้ https://positioningmag.com/1504353 Fri, 20 Dec 2024 03:45:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504353
  • ยาดมหงส์ไทยเกิดจากการที่เก่ง ธีระพงศ์ ผู้ก่อตั้งได้เริ่มเรียนการทำพิมเสน แล้วเริ่มเร่ขายในตลาด รับฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าอยากได้ยาดม จึงผลิตยาดมออกมาเพิ่ม
  • ชื่อหงส์ไทยได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วเห็นรูปปั้นรูปหงส์
  • ทุกวันนี้มีกำลังการผลิตวันละ 200,000 ชิ้น รายได้ 300 ล้านบาท เตรียมผุดโรงงานรองรับส่งออก
  • ยาดมหงส์ไทย หนึ่งในซอฟท์พาวเวอร์สำคัญของประเทศไทยที่เหล่าไอดอล หรือบุคคลดังทั่วโลกต่างต้องเคยซู้ด… ออกสื่อ เรียกว่าเป็นซอฟท์พาวเวอร์แบบออแกนิกไม่ต้องจ่ายค่าโปรโมตเลยทีเดียว แต่กว่าจะมีถึงทุกวันนี้ได้ “เก่ง ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ต้องฝ่าฟันอะไรต่างๆ มากมาย 

    ต้นทุน 200 บาท เร่ขายตามตลาด

    ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด หรือที่รู้จักกันในนามยาดมหงส์ไทย ได้แชร์ประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ในงาน MAT CMO Council “1+1>2: Unleashing Local Potential to Global Stage” เป็นการสร้างแบรนด์จากความ “ไม่รู้” แต่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจนก่อเกิดเป็นภูมิต้านทานในการทำธุรกิจจนถึงทุกวันนี้

    ธีระพงศ์ เริ่มเล่าว่า เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก เห็นพ่อแม่ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก พ่อขับเท็กซี่ ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เลยมีความคิดที่อยากจะออกมากช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เรียน ป.6 พอเห็นความยากลำบากเลยไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่ เลือกเส้นทางเรียนรู้จากการเป็นลูกจ้างมา 6-7 ที่ แต่ละที่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

    hongthai

    จุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นการเริ่มเส้นทางของ “หงส์ไทย” ก็คือ หลังจากออกจากงานประจำมีรายได้ติดตัวอยู่ 18,000 บาท ได้ลงคอร์สเรียนทำพิมเสน 200 บาท แล้วซื้อพิมเสนชุดเล็กมาเดินขายตามตลาด 

    “ตอนนั้นมีความยากมากๆ เพราะไม่มีคนรู้จักเราเลย ถูกปฏิเสธก็เยอะ แต่มีกำลังใจเพราะมีคนซื้ออยู่บ้าง จริงๆ ไทยเป็นประเทศที่ให้โอกาส… แต่ให้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ให้เลย พอขายได้คนนึงจะใจฟู จากนั้นจะไปหาลูกค้าทุกเดือน เก็บข้อมูลว่าอยากได้อะไรเพิ่ม แล้วเอามาพัฒนา ทีนี้มีช่วงที่เจออุบัติเหตุไม่ได้ผลิตไป 2 ปีกว่า แต่ก็ยังมีลูกค้าตามหา ก็ค้นพบได้ว่าถ้าเราทำอะไรออกมาดีๆ ก็จะไม่มีวันตาย”

    พอเริ่มต้นจากทำพิมเสน ได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าอยากได้ยาหม่อง ก็เรียนรู้หาสูตรยาหม่อง พอลูกค้าตำหนิ ก็เรียนรู้เรื่อยๆ สูตรยาดม ยาหม่องมาจากคำตำหนิของลูกค้าทั้งหมด

    hongthai

    ธีระพงศ์ยังบอกอีกว่า ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เซเว่น หรือร้านขายส่งแต่อย่างใด แต่เป็นลูกค้าล็อตแรกที่ซื้อที่ตลาด สมัยเดินเร่ขาย ลูกค้าคนนี้เคยทำงานอยู่ที่โรงงานนันยางบางแค ตอนนี้สั่งซื้อ 3,500 โหล/สัปดาห์ แล้วไปส่งต่ออีกที 

    “ลูกค้ากลุ่มนี้มีไม่เกิน 10 คน แต่เป็นลูกค้ามหัศจรรย์ 1 ปีจะมีไปทานข้าวด้วยกันอยู่เสมอ” 

    เตรียมเย็บถุงตาข่าย ยืนยันไม่ขึ้นราคา 

    หลายคนอาจจะสงสัยว่ายาดมหงส์ไทยมีหลายสี หลายสูตร มีความแตกต่างกันอย่างไร หลักๆ จะมี 3 สีได้แก่ สีเขียว สีเหลือง และสีขาว โดยที่สีเขียวจะมีสูตร 1 กระปุกเขียว ฉลากเขียว และสูตร 2 กระปุกเขียว ฉลากเหลือง ส่วนสีเหลืองเป็นสมุนไพรเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมของพิมเสนมากกว่าสีเขียว ส่วนสีขาวเป็นยาดมพิมเสนน้ำ

    แน่นอนว่าสูตรที่ขายดีที่สุดต้องเป็นกระปุกเขียวฉลากเหลืองในตำนาน สูตร 2 ในประเด็นนี้ ธีระพงศ์ ได้บอกไว้ว่า ที่จริงแล้วทั้ง 2 สูตรเป็นสูตรเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่เป็นเทคนิคในการขอ อย. เพราะโดนตีออกบ่อย เลยขอไปเผื่อ 3 สูตรเลย

    hongthai

    “จริงๆ แล้วสูตร 2 เป็นเทคนิกการขอ อย. เคยขอสูตร 1 แล้วโดนตีออก พอโดนตีออกเข้าบ่อยเลยขอไปทีเดียว 3 สูตรเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็สูตรเดียวกัน ขอมา 9 ปีไม่ได้ เพิ่งได้มาเมื่อปี 2562” 

    ส่วนฟีดแบ็กที่ว่าถุงตาข่ายชอบหล่น ทำให้สมุนไพรหล่น ธีระพงศ์ก็บอกว่าปีหน้าเตรียมเย็บถุงตาข่ายแน่นอน มีตาข่ายเป็นรูปหงส์ แล้วเย็บปิด ทำให้ไม่หลุด แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่ยืนยันว่าไม่ขึ้นราคา ตอนนี้ซื้อจักรมาแล้ว เตรียมเซตระบบ และปีหน้าจะได้เห็นถุงตาข่ายแบบใหม่

    สินค้า 50 ตัว ขาดทุน 7 ตัว

    ปัจจุบันหงส์ไทยมีสินค้ารวม 50 รายการ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ยาดม, ยาหม่อง, สเปรย์, น้ำมัน และยาหม่องหัวปั๊ม เป็นสินค้าที่ติดตลาด 10 กว่าตัว ยาดมเป็นรายได้หลักเกือบ 80% มีการตั้งเป้าว่าในปี 2570 อยากทำให้สินค้าติดตลาด 30 ตัวให้ได้

    hongthai

    แต่ในสินค้า 50 รายการ มีขาดทุนอยู่ 7 รายการ ยกตัวอย่างเช่น สเปรย์นวดขวัญใจคนยาก ไว้ใช้สำหรับนวดแก้ปวดเมื่อย ธีระพงศ์บอกว่าทำแรกๆ ก็ได้กำไร แต่หลังๆ ขาดทุน เพราะมันไม่มีคุณภาพ เนื่องจากพยายามกดราคาที่ 95 บาท เพื่อให้ไม่เกิน 100 บาท แต่ค่าครองชีพขึ้นเรื่อยๆ ต้นทุนก็สูงขึ้น ถ้าจะเอากำไรจริงๆ ต้องราคา 100 บาทขึ้นไป 

    “ผมพัฒนาสินค้า 500 กว่ารอบ มีสินค้าขาดทุน 7 ตัว แต่สามารถสร้างชื่อ สร้างแบรนด์ สร้างความรัก สร้างความพึงพอใจ รวมถึงให้ลูกค้ารากหญ้าที่มีรายได้น้อยได้มีสิทธิ์ซื้อสินค้ามีคุณภาพ แม้วันที่วันที่ไม่มีเงิน หรือเริ่มมีเงิน ก็ยังเป็นลูกค้าเรา มีสินค้าที่มีกำไรเกือบ 40 ตัวก็เลยสมดุลกัน” 

    กำลังการผลิตวันละ 2 แสนชิ้น เตรียมผุดโรงงานรองรับส่งออก

    ปัจจุบันยาดมสมุนไพรสีเขียวสูตร 2 ไซส์ใหญ่ขายดีที่สุด ผลิตทุกวันตั้งแต่ 8.00-22.00 น. มีกำลังการผลิต 200,000 ชิ้นต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 300,000 ชิ้นในเร็วๆ นี้ ตอนนี้กำลังประสบปัญหาผลิตไม่ทัน แม้จะเพิ่มกำลังคนแล้วก็ตาม

    แต่ในอีก 2 ปีข้างหน้าเตรียมแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่ย่านพุทธมณฑลสายสี่เพื่อรองรับการส่งออก ด้วยพื้นที่ 4 ไร่ มี 3 อาคาร 

    ในปีที่แล้วบริษัทมีรายได้ 300 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่าเท่าตัว เพราะได้แรงหนุนจากพลังโซเชียล และพลังปากต่อปากที่ช่วยสร้างหงส์ไทยให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ตัวจริง

    ]]>
    1504353
    URBAN REVIVO ฉายา Zara เมืองจีน กับการปักหมุดในไทย เป้าใหญ่สู่ Fast Fashion ระดับโลก https://positioningmag.com/1504068 Wed, 18 Dec 2024 09:22:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504068 URBAN REVIVO แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นแบรนด์แรกสัญชาติจีน ที่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเพื่อท้าชน Zara โดยเฉพาะ ได้บุกประเทศไทยอย่างเต็มสูบ พร้อมกับการขยาย 4 สาขาในช่วงเวลา 6 ปี ล่าสุด Fashion Momentum Group (FMG) ผู้เป็นบริษัทแม่ได้นำแบรนด์น้องอย่าง BENLAI เข้ามาบุกตลาดในไทยอีกแบรนด์ เป็นสาขาแรกในอาเซียน หรืออาจจะเรียกได้ว่าไทยกำลังเป็นประตูสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ ในการขยายสู่ตลาดอื่นๆ ก็เป็นได้

    URBAN REVIVO กับฉายา Zara แดนมังกร

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 Fashion Momentum Group (FMG) ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่นระดับโลก โดยได้เปิดตัวแบรนด์ URBAN REVIVO (เออร์เบิน รีวิโว่) ขึ้นมาแบรนด์แรก วางจุดยืนเป็นแบรนด์ Fast Fashion ที่มีดีไซน์พรีเมียม ในราคาจับต้องได้ จนใครๆ ต่างให้ฉายาว่าเป็น Zara เมืองจีน เพราะด้วยดีไซน์สินค้า กลุ่มสินค้า ระดับราคา การจัดวางเลย์เอาท์ของร้านล้วนคล้ายคลึงกับแบรนด์ Zara ไปหมด

    URBAN REVIVO ได้เปิดสาขาแรกที่เมืองกว่างโจว ด้วยพื้นที่ 800 ตารางเมตร ใช้จุดเด่นด้วยการทำกลุ่มสินค้าให้หลากหลาย และแตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาด เพราะในตอนนั้นตลาดแฟชั่นจีนไม่ได้มีดีไซน์ที่หวือหวามากนัก 

    ปัจจุบัน FMG ขยายธุรกิจ และมีสาขากว่า 400 แห่งทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน และกลุ่มอาเซียนอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงขายผ่านช่องทางออนไลน์ในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และทั่วโลก เตรียมแผนที่จะขยายตลาดสู่สหราชอาณาจักร, ตะวันออกกลาง, ยุโรป และสหรัฐอเมริกาในปีหน้า

    URBAN REVIVO ได้บุกตลาดประเทศไทยเมื่อปี 2561 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ศูนย์การค้าไอคอนสยามได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และเป็นช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 

    สาขาแรกในไทยจึงได้ปักหมุดที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เป็นแฟลกชิปสโตร์ที่กินพื้นที่ถึง 3 ชั้น “ลีโอ หลี่” ประธานกลุ่มและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FMG ได้บอกว่า ทางไอคอนสยามเป็นฝ่ายที่ติดต่อแบรนด์มาก่อน เนื่องจากอยากได้แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มศูนย์การค้า จึงเป็นโอกาสที่ได้ทำตลาดในไทย

    หลังจากนั้น URBAN REVIVO ก็ได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมี 4 สาขา ได้แก่ ไอคอนสยาม, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และล่าสุดกับวัน แบงค็อกที่เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร มี 2 ชั้นเช่นกัน

    URBAN REVIVO ให้อารมณ์เหมือนช้อปอยู่ใน Zara จริงๆ ด้วยกลุ่มสินค้าเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้าต่าง เฉดสีต่างๆ รวมไปถึงระดับราคาที่อยู่ในช่วง 450-2,500 บาท เท่าที่ได้เดินสำรวจสินค้า ระดับราคาของสินค้าส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 1,200-1,900 บาท เป็นราคาที่คนไทยยอมใช้จ่ายได้

    ลีโอ หลี่ ยังเสริมอีกว่า วางเป้าให้ URBAN REVIVO เป็นโกลบอลแบรนด์ให้ได้ อยากสร้างอิมแพ็คในวงการแฟชั่น จึงวางภาพลักษณ์ให้เป็นระดับพรีเมียมในราคาจับต้องได้

    ส่ง BENLAI แบรนด์น้อง ผู้เป็น Uniqlo เมืองจีน บุกไทย

    หลังจากพา URBAN REVIVO เข้ามาโลดแล่นในตลาดไทยได้ 6 ปี พร้อมกับการขยายสาขาต่อเนื่อง ล่าสุดยังพาแบรนด์น้องใหม่อย่าง BENLAI (เปิ่นไหล) เข้ามาเปิดตลาดบ้าง โดยไทยจะเป็นสาขาแรกในอาเซียนเลยทีเดียว

    BENLAI ก่อตั้งเมื่อปี 2565 แบรนด์เสื้อผ้าแนวแคชชวล หรือจะเรียกว่า Uniqlo เมืองจีน ก็ไม่ผิดนัก เพราะสินค้า ราคา การจัดวางของร้านก็เป็นแนว Uniqlo เลย เป็นเสื้อผ้าที่เน้นการใช้เทคโนโลยีของผ้า ฟังก์ชัน เน้นความเบาสบาย 

    เสื้อผ้าจะเป็นแนวมินิมัล สีพื้น ไม่มีลวดลายฉูดฉาด เน้นเทคโนโลยีผ้าแห้งไว สวมใส่สบาย โทนสีเอิร์ธโทน หรือสีพาสเทล รวมไปถึงเสื้อผ้าออกกำลังกาย โยคะ โดยราคาอยู่ในช่วง 400-2,500 บาท 

    จะสังเกตได้ว่าทั้ง 2 แบรด์เรือธงของ FMG ล้วนใช้กลยุทธ์ Follower Strategy ทั้งสิ้น หรือกลยุทธ์ผู้ตาม โดยเลือกแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ แล้วนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างแบนด์ต่อ

    ลีโอ หลี่ บอกว่า BENLAI จะเป็นแบรนด์ที่ทำ S Curve ตัวใหม่ให้กับกลุ่มบริษัท ปัจจุบันมี 21 สาขาในจีน สาขาที่วัน แบงค็อกเป็นสาขาแรกในอาเซียน และเตรียมเปิดสาขาที่นิวยอร์ก, ลอนดอน, โตเกียว และฮ่องกงในปี 2568 

    การมาบุกตลาดไทยเป็นใบเบิกทางในการเข้าสู่อาเซียน ลีโอ หลี่บอกว่า ไทยมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีการเปิดกว้างเรื่องแฟชั่น และมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเยอะ ไทยเป็นประเทศชั้นนำในอาเซียน การมาเปิดสาขาที่ไทยจะช่วยสร้างการรับรู้ และขยายสาขาอื่นๆ ได้ 

    โดยแผนระยะสั้นของ BENLAI จะครอบคลุมตลาดสำคัญในเอเชียแปซิฟิกให้ได้ในปี 2569 มองประเทศอินโดนีเซียเป็นสำคัญ เพราะประชากรเยอะ หลังจากนั้นภายใน 5 ปีคาดว่าจะมีร้านในต่างประเทศ 200 แห่งให้ได้

    โดยที่เป้าหมายใหญ่สุดของ FMG คือการเป็นโกลบอลแบรนด์ มีแนวคิดที่ว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่ต้องมีความเป็นอินเตอร์แบรนด์ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จก็ต้องเป็นอินเตอร์แบรนด์เช่นกัน

    อ่านต่อ

    ]]>
    1504068
    KTC บทใหม่ภายใต้ CEO หญิง “พิทยา วรปัญญาสกุล” ทรานส์ฟอร์มสู่องค์กรดิจิทัลเต็มตัว https://positioningmag.com/1502970 Wed, 11 Dec 2024 10:33:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502970 เคทีซีเผยแผนยุทธศาสตร์ปี 2568 ยกระดับทั้งองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน “Building  a Sustainable Future Through Digital Transformation” เตรียมพร้อมระบบไอทีและแผนการพัฒนาโครงสร้างการทำงานเชิงลึก ผลักดันบุคลากรทุกฝ่ายติดอาวุธความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์สมาชิกแบบครบวงจร พร้อมขยายฐานสมาชิกให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่การบริหารพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ 

    พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผย “เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ จะช่วยเพิ่มรายได้ในภาคประชาชนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกกับธุรกิจบริการสินเชื่อผู้บริโภค สำหรับทิศทางธุรกิจเคทีซีในปี 2568 เราได้เตรียมการเพื่อก้าวสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” บน 4 แนวทางหลัก ประกอบด้วย 

    1. Reach Better: ใช้ช่องทางดิจิทัลในการขยายฐานสมาชิกกลุ่มใหม่ที่นิยมทำรายการด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการด้วยการพัฒนา E-Application ที่ง่าย ไร้รอยต่อ และปลอดภัย สามารถรู้ผลการสมัครได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาและทดสอบเครื่องมือในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring Model) ใหม่ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสของการขยายฐานสมาชิกที่ยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้ 
    2. Grow Healthier: การบริหารฐานข้อมูลสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาบริการใหม่ๆ บนแอป KTC Mobile ที่ทำให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเคทีซีได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก และสร้างความมั่นใจในการใช้จ่าย
    3. Bond Tighter: เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบริการรวมถึงการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ทั้งผ่านแอป “KTC Mobile” Line Connect, Facebook และเว็บไซต์ www.ktc.co.th เพื่อให้สมาชิกใช้งานง่าย สะดวกและมั่นใจมากขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานคอนแทคเซ็นเตอร์ (Contact Center) สามารถให้บริการตอบคำถามได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้สมาชิกได้รับความพึงพอใจมากที่สุด
    4. Work Smarter: เตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ กระบวนการและการพัฒนาทักษะ (Upskill) ด้านไอทีให้กับบุคลากรเคทีซีทั้งองค์กร ส่งเสริมการคิดริเริ่มและปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดค่าใช้จ่าย และพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 

    สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจในปี 2568 เคทีซีคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมจะขยายตัวที่ 4-5% และคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) รวมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% และมีแผนระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงรองรับหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดประมาณ 13,000 ล้านบาท 

    ในส่วนของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตปี 2568 คาดการเติบโตที่ประมาณ 10-12% ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ไม่ต่ำกว่า 320,000 ล้านบาท เพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ 250,000 บัตร เน้นกลุ่มผู้มีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป รวมถึงกลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber) สร้างความแตกต่างในด้านการทำกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขายโดยใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสม KTC FOREVER ในการเพิ่มมูลค่าให้สมาชิกโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกหมวดสำคัญ เช่น หมวดอาหาร ช้อปปิ้ง เติมน้ำมัน และท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกทุกกลุ่มเซ็กเมนต์

    สำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ตั้งเป้าเติบโตที่ 3% เน้นขยายฐานสมาชิกใหม่ผ่านพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อผ่านช่องทางสมัครสินเชื่อออนไลน์ E-Application ที่ลูกค้าสามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง รู้ผลอนุมัติพร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีภายใน 30นาที พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับสมาชิกผ่านฟังก์ชัน “รูด โอน กด ผ่อน” ครบจบในบัตรเดียว และสานต่อโครงการ “เคลียร์หนี้” เพื่อเสริมวินัยทางการเงินแก่สมาชิก 

    ส่วนสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ตั้งเป้าการเติบโตที่ 3,000 ล้านบาท เน้นขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และกำลังมองหาสินเชื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายและปลอดภัย พร้อมรับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน 

    เคทีซีพร้อมพัฒนาองค์กรด้วยกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างยั่งยืน และธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต”

    ]]>
    1502970
    “ชาวอเมริกัน” ใช้จ่ายในไทยผ่านบัตรวีซ่าสูงที่สุด ส่วนใหญ่จ่ายค่าที่พัก-ช้อปปิ้ง https://positioningmag.com/1500207 Thu, 21 Nov 2024 08:23:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500207 วีซ่า ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัล เผยถึงเทรนด์การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าสนใจในครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าที่ออกโดยสถาบันการเงินในต่างประเทศ ณ ร้านค้าในประเทศไทยของวีซ่า ตั้งแต่ มกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า นักเดินทางต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยและมียอดการใช้จ่ายมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น

    การวิเคราะห์เชิงลึกของข้อมูลการใช้จ่ายในร้านค้าของนักท่องเที่ยวจากประเทศ 5 อันดับแรก การใช้จ่ายหลักอยู่ในหมวดหมู่โรงแรมที่พัก, สินค้าค้าปลีก, ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และกิจกรรมด้านสุขภาพ

    ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาจัดสรรเงินมากกว่า 1 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายของพวกเขาไว้เป็นค่าที่พัก และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพอีกกว่า 10%

    ส่วนการช้อปปิ้งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวจีน และสิงคโปร์ให้ความสำคัญ โดยค่าใช้จ่ายด้านสินค้าค้าปลีกคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 25% และ 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ประเทศนี้

    นักเดินทางชาวญี่ปุ่น ถือได้ว่าให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารมากกว่านักเดินทางชาติอื่น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ร้านอาหารถึง 22% ในขณะที่นักเดินทางจากสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายด้านที่พักมากถึง 37% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด

    จากการวิเคราะห์ของวีซ่า ยังพบว่า 5 จังหวัดแรกที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุดโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยในจังหวัดเหล่านี้ สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่มีการใช้จ่ายในจังหวัดเติบโตสูงที่สุดถึง 30% ซึ่งคาดว่าเป็นการกระตุ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในเกาะสมุย

    ]]>
    1500207
    สายเคเบิลใต้ทะเลบอลติกขาดอีก 2 เส้น เยอรมนี-ฟินแลนด์คาดเป็นการ ‘ก่อวินาศกรรม’ ใช้เวลาซ่อม 5-15 วัน https://positioningmag.com/1499902 Wed, 20 Nov 2024 04:49:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499902 สายเคเบิลใยแก้ว 2 เส้นที่ใช้รับส่งข้อมูลสื่อสารผ่านทะเลบอลติกถูกตัดขาด รวมถึงเส้นที่เชื่อมระหว่างฟินแลนด์กับเยอรมนี ทำให้ประเทศและบริษัทที่เกี่ยวข้องออกมาตั้งข้อสงสัยว่านี่จะเป็นการ “ก่อวินาศกรรม” โดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีหรือไม่

    เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นยังทำให้หลายฝ่ายนึกไปถึงกรณีอื่นๆ ที่มีการตรวจสอบแล้วว่า อาจเกิดจากการก่อวินาศกรรม ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดกับท่อก๊าซและสายเคเบิลใต้ทะเลเมื่อช่วงปีที่แล้ว รวมถึงเหตุท่อก๊าซนอร์ดสตรีม ระเบิดเมื่อปี 2022

    สายเคเบิลใยแก้วความยาว 1,200 กิโลเมตรที่เชื่อมระหว่างกรุงเฮลซิงกิกับท่าเรือรอสต็อกของเยอรมนีหยุดทำงานเมื่อราวๆ 2.00 น. GMT เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ตามข้อมูลจากบริษัทด้านความมั่งคงไซเบอร์และโทรคมนาคม Cinia ของฟินแลนด์

    ขณะเดียวกัน สายเคเบิลรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความยาว 218 กิโลเมตรที่เชื่อมระหว่างลิทัวเนียกับเกาะกอต ลันด์ (Gotland Island) ของสวีเดนก็หยุดทำงานไปในเวลาประมาณ 8.00 น. GMT ของวันอาทิตย์ที่ 17 พ.ย. ตามข้อมูลของบริษัทโทรนาคม Telia Leituva ในลิทัวเนีย

    รัฐบาลฟินแลนด์และเยอรมนีได้ออกคำแถลงร่วมระบุว่า “มีความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีสายเคเบิลใต้ทะเลถูกตัด” และกำลังเร่งสืบหาความจริง “เกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในทันทีว่า จะเป็นการจงใจก่อความเสียหายหรือไม่”

    คำแถลงร่วมยังระบุด้วยว่า ความมั่นคงปลอดภัยของยุโรปกำลังถูกคุกคามโดยสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน “รวมถึงสงครามไฮบริดอันเป็นฝีมือของพวกผู้ไม่หวังดี” ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าหมายถึงใคร

    “การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานร่วมที่จำเป็นยิ่งยวดถือว่าสำคัญต่อความมั่นคงและความอดทนยืดหยุ่นในสังคมของพวกเรา”

    ด้าน ออดรีอุส สตาซิอูไลทิส โฆษกของ Telia Leituva เปิดเผยว่ายังมีสายเคเบิลอีกเส้นหนึ่งที่ถูกตัดขาดเช่นกัน โดยเป็นสายเคเบิลของบริษัท Arelion ของสวีเดนที่ใช้เพื่อการรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ Telia Leituva

    “จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ชัดเจนว่า ทำไมสายเคเบิล 2 เส้นในทะเลบอลติกถึงไม่ทำงาน” คาร์ล-ออส การ์ โบห์ลิน รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันพลเรือนสวีเดน ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ STV

    ทะเลบอลติกซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปเหนือถือเป็นเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่สำคัญ และมีอาณาเขตติดกับ 9 ประเทศ รวมถึงรัสเซีย

    อารี-จุสซี คนาปิลา ซีอีโอของ Cinia ระบุในงานแถลงข่าวว่า จุดที่สายเคเบิลเชื่อมฟินแลนด์กับเยอรมนีเสียหายนั้นอยู่ใกล้ๆ กับตอนใต้ของเกาะโอลันด์ (Oland Island) ของสวีเดน และอาจต้องใช้เวลาประมาณ 5-15 วันในการซ่อมแซม

    ย้อนไปเมื่อช่วงปีที่แล้ว ท่อก๊าซใต้ทะเล 1 เส้นและสายเคเบิลรับส่งสัญญาณสื่อสารใต้ทะเลบอลติกอีกหลายเส้นก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วภูมิภาค

    พนักงานสอบสวนของฟินแลนด์และเอสโตเนียได้แถลงในปี 2023 ว่า เรือสินค้าจีนลำหนึ่งน่าจะเป็นตัวการลากสมอจนทำให้สายเคเบิลถูกทำลาย แต่ก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือการกระทำโดยจงใจ

    ในปี 2022 ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีมที่เชื่อมระหว่างรัสเซียกับเยอรมนีในทะเลบอลติกก็ถูกระเบิดจนพังเสียหาย ซึ่งเป็นคดีที่ทางการเยอรมนียังอยู่ระหว่างสืบสวนหาต้นตอ

    ]]>
    1499902
    เคานต์ดาวน์แบบติดแกลม! หมูกระทะคนรวย ICONSIAM จัดแพ็กเกจเคานต์ดาวน์โซนริมน้ำ เริ่มต้น 12,000-60,000 บาท https://positioningmag.com/1499881 Wed, 20 Nov 2024 04:36:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499881 เรียกได้ว่าเข้าสู่โค้งสุดท้ายของปีเต็มที เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในแต่ละปีศูนย์การค้า และร้านอาหารต่างคึกคักไปด้วยผู้คนที่ต่างออกมาเคานต์ดาวน์ ต่างงัดไม้เด็ดออกมาดึงดูดลูกค้า

    ICONSIAM ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์การค้าริมน้ำเจ้าพระยา และมีการจัดงานเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ที่ค่อนข้างโดดเด่น จัดเต็มด้วยศิลปิน กิจกรรมต่างๆ และพลุอย่างอลังการ แถมปีนี้ยังได้ “ลิซ่า BLACKPINK” มาร่วมงานด้วย เตรียมปรากฏการณ์ห้างแตกได้เลย

    และด้วยความที่เป็นศูนย์การค้าริมแม่น้ำเข้าพระยา ทำให้มีโซนห้างที่ติดริมน้ำ ร้านอาหารบางส่วนก็มีโซนติดริมน้ำเช่นกัน สร้าง Vibe สร้างบรรยากาศอีกแบบ เพิ่มมูลค่าให้ร้านอาหารได้ดีทีเดียว ในช่วงวันปีใหม่ร้านอาหารใน ICONSIAM ต่างกันออกแพ็กเกจเคานต์ดาวน์ด้วยราคาแบบปังๆ เคานต์ดาวน์แบบติดแกลม เฉลี่ยแล้วตกคนละ 6,000 บาทเลยทีเดียว แต่ก็อาจจะคุ้ม เพราะวิวหลักล้าน

    อย่าง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” เจ้าของแบรนด์ดังมากมาย ส่งแบรนด์ nice two Meat u และหมูกระทะคนรวย เข้าร่วมแพ็กเกจเคานต์ดาวน์เพราะมีสาขาตั้งอยู่โซนเอาต์ดอร์ โดยร่วมทานอาหาร และเคานต์ดาวน์ตั้งแต่เวลา 22.00-01.30 น.

    nice two Meat u มีแพ็กเกจ ตั้งแต่ 2-8 คน ราคาตั้งแต่ 2 คน = 9,999 ++, 4 คน = 19,999 ++, 6 คน = 29,999 ++ และ 8 คน = 39,999 ++ ซึ่งราคายังไม่รวม vat 7% และ service charge 10% หากจำนวนลูกค้าเกินกำหนด คิดเพิ่มคนละ 3,999 ++

    ส่วนหมูกระทะคนรวยได้สร้างเสียงฮือฮาเป็นพิเศษ เพราะแพ็กเกจราคาสูงสุดถึง 60,000 บาท มีแพ็กเกจราคาตั้งแต่ 2 คน = 11,999 ++, 4 คน = 23,999 ++, 6 คน = 35,999 ++ และ 10 คน = 59,999 ++ ราคายังไม่รวม vat 7% และ service charge 10% เช่นกัน หากจำนวนลูกค้าเกินกำหนด คิดเพิ่มท่านละ 4,999 ++ 

    ส่วนร้าน “กับข้าวกับปลา” ของกลุ่มไอเบอร์รี่ก็ส่งเข้าประกวดด้วยเช่นกัน แต่เป็นราคาต่อคนไม่ได้เป็นแพ็กเกจโต๊ะ ราคา 5,999 บาท จะได้รับรับ Welcome drink 1 แก้ว/ท่าน, อาหารทานเล่น 1 จาน/ท่าน, เมนูส้มตำหรือยำ 1 เมนู/โต๊ะ, บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก 1 ชิ้น/ท่าน, 5 wishes ice cream 1 ที่ /โต๊ะ และ Piccini Prosecco DOC Venetian Dres (Italy) 1 ขวด/ 2 ท่าน

    เรียกได้ว่างานเคานต์ดาวน์ปีนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ ทางศูนย์การค้าก็งัดหมัดเด็ดในการดึงลูกค้าเข้าศูนย์ และก็เป็นโอกาสทองของร้านอาหารที่จะได้ขายอาหาร และบรรยากาศดีๆ ในช่วงส่งท้ายปี

    ]]>
    1499881
    ส่องรายได้ – กำไร บิ๊กอสังหาฯ 9 เดือนแรกปี 2567 “แสนสิริ-เอพี-ศุภาลัย” รั้งท็อป 3 ผลงานดีสุด https://positioningmag.com/1498940 Thu, 14 Nov 2024 06:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498940 ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลาย ๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ

    อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท

    ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ

    ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา

    สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่น ๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ๆ

    ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี    

    ]]>
    1498940
    เจาะลึก LAZY Marketing การตลาดจับกลุ่มคนขี้เกียจ สำหรับคนที่ชอบใช้เงินแก้ปัญหา https://positioningmag.com/1497671 Wed, 06 Nov 2024 07:28:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497671 เชื่อหรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่กดสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ ทั้งที่ร้านอยู่ใกล้แค่ใต้คอนโด สั่งซื้อของจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่ร้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม หรือยอมจ่ายเงินจ้างคนไปต่อคิวเพื่อซื้อของ ทำธุระ หรือแม้แต่เล่นเกมแทน นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของ “พฤติกรรมขี้เกียจ” ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย แม้กระทั่งกิจกรรมง่ายๆ หรือใช้เวลาไม่มาก

    การเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายและพร้อมใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เรียกว่า Lazy Economy เทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างเศรษฐกิจวิถีใหม่ไปทั่วโลก และยังมีสถิติที่น่าสนใจพบว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วโลกกว่า 34% ทำธุรกิจเพื่อสนับสนุนคนขี้เกียจอีกด้วย

    จากผลงานวิจัย “เจาะลึกอินไซต์ พิชิตใจคนขี้เกียจ” ของนักศึกษาสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ชี้ชัดว่าตลาดคนขี้เกียจยังคงเป็นที่จับตามองและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงอนาคต ซึ่งในวันนี้ ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด จาก CMMU จะพาขยับเข้าไปทำความรู้จักกับพฤติกรรมสุดขี้เกียจ และเทรนด์ Lazy Economy ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมร่วมค้นหาสินค้า และบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์เทรนด์นี้ เพื่อคว้าโอกาสแจ้งเกิดและเติบโตในธุรกิจนี้ โดย ผศ.ดร.บุญยิ่ง ได้กล่าวถึง TOP 4 สุดยอดพฤติกรรมขี้เกียจ ที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายและเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ดังนี้

    • ขี้เกียจเดินทาง – เพราะการไปไหนมาไหนแต่ละที เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ไปทางไหนก็เจอแต่รถติด LAZY Consumer จึงยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ส่งผลให้สินค้าและบริการต่างๆ ที่ช่วยลดการเดินทางตอบโจทย์และเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บริการ Delivery ทุกรูปแบบ ทั้งส่งอาหาร ส่งของ ซึ่งปัจจุบันได้แตกไลน์บริการเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น บริการส่งด่วนทันใจภายใน 24 ชั่วโมง บริการแบบ Door-to-Door Service จากหน้าบ้านผู้ส่งถึงหน้าบ้านผู้รับ ฯลฯ บริการแบบส่งตรงถึงบ้าน เช่น  ทำสปา เสริมสวย นวดแผนไทย ล้างรถ อาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยง ฯลฯ รวมถึงการช้อปออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นบริการที่ช่วยให้  ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าและได้รับบริการต่างๆ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
    • ขี้เกียจรอ – ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว ทันใจไปหมดอย่างทุกวันนี้ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะชาว LAZY Consumer ติดนิสัยไม่ชอบการรอคอย ชอบอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่เสียเวลา ทำให้เกิดธุรกิจที่เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย ไม่ต้องรอนาน เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจรับจ้างต่อคิว ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวซื้อของ ต่อคิวร้านอาหารยอดฮิต ต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ตหรือแม้แต่ต่อคิวทำธุระที่หน่วยงานราชการ หรือบริการจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าและบริการที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด และเพิ่มฟังก์ชันที่ช่วยให้ทำทุกอย่างได้แบบครบจบในที่เดียว เช่น บริการแบบ One stop Service แพลตฟอร์มซูเปอร์แอปที่รวมหลายๆ บริการไว้ในที่เดียว
    • ขี้เกียจออกแรง – ร้อยทั้งร้อยของ LAZY Consumer จะชอบอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน จึงชอบหาวิธีหรือทางลัดต่างๆ ที่จะช่วยให้ออกแรงน้อยที่สุด จึงมักเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นแรงหรือให้คนมาทำแทนได้ ส่งผลให้สินค้าและบริการที่ช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน จัดสวน ซักรีด ย้ายบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
    • ขี้เกียจคิด ขี้เกียจตัดสินใจ – เพราะลำพังชีวิตประจำวันก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเต็มไปหมดชาว LAZY Consumer จึงชอบที่จะอยู่ในสภาวะทิ้งตัวและมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ ธุรกิจแบบจัดการให้จบ ครบวงจร คิดมาให้พร้อม ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนหรือจัดการเองจึงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น บริการวางแผนท่องเที่ยวแบบครบวงจรบริการจัดงานแต่งงาน บริการสไตลิสต์ส่วนตัวที่จัดส่งสินค้าไปให้ทดลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือสินค้า ที่จัดเป็น Set และสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้ต่างๆ เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุง (Meal Kit) ซึ่งหากเข้าใจ 4 พฤติกรรมขี้เกียจหลักๆ ของผู้บริโภคได้ก็จะทำให้มีจุดโฟกัสที่ชัดเจน นำไปสู่การสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ตรงใจ และประสบความสำเร็จในธุรกิจได้

    Lazy Economy เทรนด์ธุรกิจมาแรง จะอีกกี่ปีก็ไม่มีแผ่ว

    แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับมูลค่าของ Lazy Economy ทั่วโลก แต่จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น ธุรกิจ Delivery และช็อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าตลาดนี้มีศักยภาพมหาศาล และมีแนวโน้มเติบโตอีกมากทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ทั้งนี้เพราะ

    • ยิ่งหาเงินได้มาก ก็ยิ่งอยากใช้เงินแก้ปัญหา ไม่ว่าใครก็ชอบความรวดเร็ว สะดวกสบาย และไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด การใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อซื้อความสะดวกสบายก็จะยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ยิ่งมีรายได้สูงเท่าไหร่แนวโน้มที่จะใช้เงินซื้อความสะดวกสบายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
    • ยิ่งทำงานหนัก ก็ยิ่งไม่อยากทำอะไร เพราะลำพังแค่ทำงานอย่างเดียวก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากไปคิดหรือทำอะไรต่อแล้ว ดังนั้น ตราบใดที่คนยังต้องทำงานหนักและมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นพลังกาย พลังสมอง และทุ่นเวลาจึงไม่มีทางตกเทรนด์
    • ยิ่งเทคโนโลยีเจริญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนขี้เกียจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีคือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของมนุษย์ขี้เกียจ ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาเจริญก้าวหน้าเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างยิ่งง่ายเพียงแค่ขยับปลายนิ้ว เพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    ]]>
    1497671
    เปิดเส้นทาง “เซ็นทรัล รีเทล” ลงทุนห้างหรูในอิตาลี พลิก Rinascente จาก Department Store สู่ Luxury Retail https://positioningmag.com/1497320 Tue, 05 Nov 2024 08:12:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497320
  • เซ็นทรัล รีเทล กับการลงทุนกลุ่มห้างหรูในยุโรป 13 ปี ปักหมุดอิตาลีด้วยการเข้าซื้อ Rinascente ห้างโลคอลตำนานกว่า 160 ปี 
  • พลิกโฉม Department Store สู่ Luxury Retail เบอร์ 1 ในอิตาลี
  • ปีที่ผ่านมาสามารถกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือ 36,000 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ มีทราฟฟิก 20 ล้านคนต่อปี รวม 9 สาขา
  • ความฝันของเซ็นทรัลในการครองห้างหรูในยุโรป

    เซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หนึ่งในลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเซ็นทรัล กรุ๊ปที่นอกจากจะมีธุรกิจในไทย และเวียดนามแล้ว ยังมีธุรกิจห้างหรูในอิตาลีด้วย หลายคนอาจจะสงสัยธุรกิจห้างหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลมีการแบ่งโครงสร้างอย่างไร  

    renascente

    โดยที่ “รีนาเซนเต” ในอิตาลีจะอยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล เพียงกลุ่มเดียว เพราะก่อนหน้านี้มีการซื้อขายภายใต้ CRC พอเข้าตลาดหลักทรัพย์เลยอยู่ในเครือเดียวกันเลย ส่วนห้างหรูอื่นๆ ทั้งคาเดเว กรุ๊ป (เยอรมนี), อิลลุม (เดนมาร์ก), โกลบัส (สวิตเซอร์แลนด์), โกลเดนเนส ควอเทียร์ และกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซลฟริดส์เจส (Selfridges Group) จะอยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล

    รีนาเซนเตมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปี เริ่มก่อตั้งปี 1865 (พ.ศ. 2408) แต่เดิมใช้ชื่อว่า La Rinascente แปลว่า Reborn เพราะตอนนั้นในเมืองมิลาน เลยตั้งชื่อว่าเหมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง ภายหลังได้รีแบรนด์เหลือแค่ Rinascente โดยที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมือง ในประเทศอิตาลี

    แรกเริ่มเดิมทีรีนาเซนเตเป็นห้างสรรพสินค้าแบบ Traditional Department Store แบบเก่าแก่ ให้นึกถึงภาพ “ตั้งฮั่วเส็ง” ในไทย ให้ฟีลประมาณนั้นเลย อีกทั้งยังเป็นธุรกิจครอบครัวอีกด้วย จนมาถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีลูกหลานดูแลกิจการต่อ จึงมองหาพาร์ทเนอร์ในการส่งต่อธุรกิจ เป็นจังหวะเดียวกันกับ “ทศ จิราธิวัฒน์” หัวเรือใหญ่กลุ่มเซ็นทรัล มีความใฝ่ฝันที่อยากมีห้างสรรพสินค้าในยุโรป การมีดีลของรีนาเซนเตเข้ามา เหมือนเป็นทางด่วนให้ความฝันนั้นเป็นจริงเร็วขึ้น โดยที่ไม่ต้องสร้างห้างเซ็นทรัลในยุโรปเลย

    renascente

    เซ็นทรัลเลยเข้าซื้อกิจการในช่วงปี 2554 ในตอนนั้นเป็นช่วงค่าเงินยูโรอ่อนค่าด้วย เลยเป็นผลดีในการซื้อขาย ก่อนหน้านี้ได้ซื้อตึกร้างแห่งหนึ่งในกรุงโรมเพื่อทำการรีโนเวตเป็นห้างแห่งใหม่ แต่ต้องหยุดสร้างเป็นเวลา 12 ปี เพราะเจอโครงสร้างเก่าแก่สมัยโบราณ จากนั้นจึงได้เปิดตัวรีนาเซนเตในกรุงโรมเมื่อปี 2560

    พลิกโฉมสู่ Luxury Retail 

    ก่อนที่เซ็นทรัล รีเทลจะเข้ามาซื้อกิจการ รีนาเซนเตมีผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกทั้งจุดยืนของห้างก็เป็น Department Store แบบดั้งเดิม ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดอะไรมากนัก ประกอบกับห้างที่ค่อนข้างเก่า นักท่องเที่ยวก็ไม่เข้า

    เมื่อเซ็นทรัล รีเทลเข้ามาซื้อกิจการจึงทำการสังคยนาใหม่ ตั้งแต่การปรับโฉม ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ห้างดั้งเดิมกลายเป็น Luxury Retail เน้นสินค้าแบรนด์เนม ลักชัวรี่ เพราะอิตาลีขึ้นชื่อเรื่องสินค้าแบรนด์เนมอยู่แล้ว พร้อมกับเติมความแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ให้มากขึ้น 

    renascente

    เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางเซ็นทรัล รีเทลได้พาสื่อมวลชนจากไทยไปเยือนรีนาเซนเต 3 สาขา ได้แก่ โรม, ฟลอเรนซ์ และมิลาน พร้อมกับแชร์อินไซต์ในการพลิกโฉมเป็น Luxury Retail ตอนนี้ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในอิตาลีไปแล้ว

    ปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล
    รีเทล กล่าวว่า

    “หลังจากที่เซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยปรับโฉมห้างทุกสาขาทั่วอิตาลี ตั้งแต่ช่วงปี 2554 – 2566 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน Traditional Department Store สู่ Luxury Retail อย่างเต็มรูปแบบ และสำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี”

    ภาพรวมของรีนาเซนเตทั้งหมด มีพื้นที่รวมทั้งหมดทุกสาขา 74,000 ตารางเมตร ออนไลน์สโตร์ 1 แห่ง มีสินค้าขายรวม 559,000 รายการ 3,600 แบรนด์ มีสมาชิกรีนาเซนเต การ์ด 4 ล้านราย มีทราฟฟิกเยี่ยมชมสโตร์ปีละ 20 ล้านคน โดยที่ 47% ของลูกค้า มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

    สำหรับรีนาเซนเต สาขาโรม มีพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยที่ชั้น 7 ได้รีโนเวตนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ยังคงใช้โครงสร้างสไตล์โรม มีช่องให้แสดงแดดเข้า 

    สาขานี้มีทราฟฟิกผู้ใช้บริการเฉลี่ย 5,000 คน สำหรับวันธรรมดา และ 10,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ สัดส่วนรายได้ 60% มาจากนักท่องเที่ยว ท็อป 5 ที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, เกาหลีใต้, บราซิล และกลุ่มตะวันออกกลาง

    renascente

    สัดส่วนสินค้าส่วนใหญ่ 70% เป็นสินค้าลักชัวรี่ คนอิตาเลียนชอบใช้ของแบรนด์เนม และชอบแบรนด์อิตาลีเอง ได้แก่ Dolce&Gabbana, Prada, Gucci, Tod, Valentino และ Bottega Veneta แบรนด์เหล่านี้จะค่อนข้างขายดี 

    สินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่ง ยังคงเป็นสินค้ากลุ่มผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ 50% รองลงมาเป็นสินค้าผู้ชาย เสื้อผ้าต่างๆ 50% 

    ช่องทางออนไลน์ยังเป็นสัดส่วนน้อย เพราะคนอิตาเลียนชอบเดินห้าง ชอบลองสินค้า เพราะฉะนั้นประสบการณ์ในห้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเซ็นทรัล รีเทลในการเข้ามาลงทุนห้างหรูในยุโรปก็คือ “คอนเน็กชั่น” ได้มีคอนเน็กชั่นดีๆ กับเหล่าแบรนด์เนมต่างๆ มีพาวเวอร์ที่ดีในการดึงมาลงทุนที่ไทย ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ 

    ทุบสถิติกวาดรายได้พันล้านยูโร

    ถึงแม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบทั่วโลกจะไม่สู้ดีนัก รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก แต่ภาพรวมของอิตาลียังเติบโตมากกว่ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม EU รวมไปถึงสถานการณ์ช่วงหลัง COVID-19 ที่กระทบไปทั่วโลก กำลังซื้อก็แย่ลง แต่การรีนาเซนเตมีการรีโนเวตห้าง ทำให้ยังดึงนักท่องเที่ยวได้อยู่

    ทำให้ในปี 2566 รีนาเซนเตกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือราว 36,000 ล้านบาท ทุบสถิตินิวไฮเป็นครั้งแรก โดยที่สาขามิลานสร้างรายได้อันดับ 1 ที่ 430 ล้านยูโร

    renascente

    รีนาเซนเตสาขามิลานมีพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเมืองมิลานก็คือ อยู่ติดกับมหาวิหาร Duomo di Milano จุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเยือน ทำให้สาขานี้มีทราฟฟิกคนมาเยือนปีละ 8 ล้านคน สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นคนโลคอล 70% และนักท่องเที่ยว 30% กลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ จีน, สหรัฐอเมริกา และกลุ่มตะวันออกกลาง

    ที่นี่ยังคงเน้นสินค้าลักชัวรี่มีสัดส่วน 72% แบรนด์ที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Louis Vuitton, Dior และ Gucci กลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุดยังเป็นกลุ่มผู้หญิง กระเป๋า รองเท้า รองลงมาเป็นกลุ่มเสื้อผ้าผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้ชาย

    ที่มิลานจะมีการรีโนเวตใหญ่ ใช้งบลงทุน 1,200 ล้านบาท ย้ายโซนบิวตี้ไปที่ตึกใหม่ทั้งหมด บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งตึกข้างๆ เป็นโรงภาพยนตร์เก่า แต่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นฮอลล์บิวตี้ เปิดให้บริการปี 2570 

    ส่วนที่สาขาฟลอเรนซ์ แม้จะเป็นสาขาเล็กพริกขี้หนู มีพื้นที่ 3,000-4,000 ตารางเมตร แต่ก็ยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใจกลางเมือง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี สร้างรายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี สาขานี้คนไทยไปเยือน และมีการใช้จ่ายติด Top 10 

    สำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการลูกค้าแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในด้านต่างๆ และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี

    ]]>
    1497320
    CLOVER ENTERTAINMENT เอเจนซี่จากเกาหลีใต้บุกไทย รุกตลาดอินฟลูฯ เชี่ยวชาญด้าน TikTok Live https://positioningmag.com/1496458 Wed, 30 Oct 2024 09:18:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496458 THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT หรือ CLOVER ENTERTAINMENT เอเจนซี่ผู้พัฒนาครีเอเตอร์อันดับ 1 จากเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าบุกตลาดโลก ปักหมุดประเทศไทยเป็นแห่งแรก นำทัพครีเอเตอร์ระดับท็อป ความเชี่ยวชาญด้าน TikTok Live และการตลาดดิจิทัลครบวงจร พร้อมมุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างครีเอเตอร์และแบรนด์ธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อสร้างความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

    ปาร์ค อิลซอ CEO THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT กล่าวว่า

    ตลาดอินฟลูเอนเซอร์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยมีมูลค่าถึง 21.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 คาดว่าจะสูงถึง 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และยังมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มถึง 199.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 28.6% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึง 68.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากฐานผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นิยมเสพคอนเทนต์ออนไลน์และติดตามครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตนชื่นชอบ และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการตามคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์

    แบรนด์ต่าง ๆ จึงหันมาใช้กลยุทธ์นี้ทำการตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงอย่าง TikTok Live ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อกับอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์ได้แบบเรียลไทม์กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ Clover Entertainment เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ Clover Entertainment ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งอันดับ 1 จากเกาหลีใต้และมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางการตลาดในประเทศไทยอีกทั้งยังเป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรม K-POP อย่างแพร่หลาย และเป็นพันธมิตรที่ดีของเกาหลีใต้จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่ไทยจะเป็นประเทศแรกสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก

    “Clover Entertainment เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง โดยเฉพาะการพัฒนาครีเอเตอร์สำหรับ TikTok Live เรามีประสบการณ์ในการคัดสรรและช่วยผลักดันครีเอเตอร์ให้เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของการเพิ่มยอดผู้ติดตาม ยอดวิว และยอดขาย มีเครือข่ายครีเอเตอร์ระดับแถวหน้ามากกว่า 1,500 คน ในจำนวนนี้ติดอันดับท็อป 100 ของโลกถึง 64 คน โดยท็อป 3 ของครีเอเตอร์ระดับโลกมาจาก Clover และครีเอเตอร์อันดับ 1 ของโลก ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็มาจาก Clover เช่นกัน ตัวอย่าง ครีเอเตอร์ชื่อดังระดับโลกในเครือข่ายของเรา เช่น คูฮยอนโฮ (Ku Hyunho) ชเวซีวอน (Choi Siwon) อีอินฮวา (Lee Inhwa) อีอินจู (Lee Inju) รวมถึง อีชียอง (Lee Si-Young) ผู้ได้รับฉายาว่าไอคอนแห่ง TikTok เกาหลี

    นอกจากนี้ เรายังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Kiwe Lab ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเนื้อหาขนาดสั้น (short-form content) และการตลาดดิจิทัล ทำให้ Clover Entertainment สามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำ สร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่น เป็นไวรัล สร้างสรรค์แคมเปญการตลาดที่เหมาะกับคาแรกเตอร์ของอินฟลูเอนเซอร์ ตอบโจทย์แบรนด์ โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเติบโตถึง 300% ในปี 2566 และ 400% ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดในด้าน TikTok Live Commerce อันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และเติบโตเร็วที่สุดในโลกในธุรกิจประเภทเดียวกัน

    THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT เป็นเอเจนซี่อันดับ 1 จากเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร ตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ การวางแผนการตลาด การสร้างสรรค์คอนเทนต์ การจัดทำแคมเปญ การผลิตไปจนถึงการโปรโมต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาครีเอเตอร์สำหรับแพลตฟอร์ม TikTok Live โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้ครีเอเตอร์และแบรนด์เติบโตไปพร้อมกันตามแนวคิด “Our success is shared by all”

    THE CLOVER UNIVERSE ENTERTAINMENT ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2564 และหลังจากเปิดบริการ TikTok Live เพียงไม่นาน บริษัทก็สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 300% ในปี 2566 และ 400% ในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นผู้นำในตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งระดับโลก มีเครือข่ายครีเอเตอร์ระดับแถวหน้ากว่า 1,500 คน และในจำนวนนี้ติดอันดับท็อป 100 ของโลกถึง 64 คน ครองส่วนแบ่งตลาดในด้าน TikTok Live Commerce อันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในธุรกิจประเภทเดียวกัน

    จากความสำเร็จที่ผ่านมา Clover Entertainment จึงมีแผนขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก โดยเริ่มจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก เนื่องจาก Clover เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสทางการตลาดในประเทศไทย

    ]]>
    1496458