Starbucks (สตาร์บัคส์) เชนร้านกาเเฟรายใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯ ระบุในเเถลงการณ์ว่า บริษัทตั้งใจจะเข้าถึงความเป็นท้องถิ่นในลาว ที่มีวัฒนธรรมการกินกาเเฟที่น่าตื่นเต้นเเละมีชีวิตชีวา เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเเละประชาชนชาวลาว รวมไปถึงการเพิ่มโอกาสในการสร้างงานให้คนท้องถิ่นด้วย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Starbucks เริ่มขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน นอกเหนือจากจีนแล้ว Starbucks เปิดตัวร้านแรกในอินเดีย เมื่อปี 2012 ตามมาด้วยไทย เวียดนาม บรูไน กัมพูชา เมียนมา เเละในที่สุดก็ถึงคิวเจาะตลาดลาว ในปี 2021

• Starbucks บุกเมียนมา เปิดร้านแรกใจกลางย่างกุ้ง หลังใช้เวลา 5 ปี

โดย Starbucks ในลาวจะดำเนินการโดย Coffee Concepts (Laos) Ltd. บริษัทในเครือ Maxim’s Caterers Ltd. ที่บริหารสาขาในฮ่องกง

“เรายินดีที่จะนำเสนอเเบรนด์ Starbucks ในลาว โดยเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ 20 ปีกับ Starbucks เพื่อขยายธุรกิจกาแฟไปทั่วเอเชีย” Michael Wu ประธานและกรรมการผู้จัดการ Maxim’s Caterers Limited กล่าว

สปป.ลาว มีประชากรราว 7.2 ล้านคน ส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของนมและน้ำตาล โดยมักจะมีโรงคั่วกาแฟเพื่อส่งออก และเปิดร้านกาเเฟประจำท้องถิ่นของตัวเอง

• รอชิม! Starbucks ส่งเมนูอาหาร-เครื่องดื่ม “Plant-based” เจาะใจคนรักสุขภาพในเอเชียเเละไทย

ก่อนการเเพร่ระบาดของ COVID-19 การท่องเที่ยวในลาวกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยสามารถดึงดูดชาวต่างชาติได้มากกว่า 4 ล้านคนในปี 2018 รายได้ในท้องถิ่นกำลังเพิ่มสูงขึ้น เเต่ยังอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ราว 9,300 บาท)

อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกยังคงต้องเผชิญกับวิกฤตไวรัสโคโรนา ที่ต้องถูกจำกัดการเดินทาง ทำให้ Starbucks ต้องประเมินสถานการณ์ในลาวอย่างใกล้ชิด เเต่ตอนนี้ก็ยังคงยึดเเนวการขยายสาขาตามเดิมว่าจะเปิดให้บริการในปีหน้า

โดยล่าสุด มีรายงานผู้ติดเชื้อ COVID-19 สะสมในลาวอย่างน้อย 24 คน เเละยังไม่มียอดผู้เสียชีวิต เเต่ก็มีการคาดการณ์ว่าอาจมีผู้ติดเชื้อที่ไม่เเสดงอาการจำนวนมากกว่านั้น

ที่มา : Marketwatch , Starbucks

สรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บอกว่า เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ จากเดิมที่จะนำโครงการมหานครเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ แต่ธุรกรรมครั้งนี้ ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที

เพซ นำกระแสเงินสดที่ได้มา รวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มทุนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ เพื่อทำให้สถานะทางการเงินแข็งแรงขึ้น มีสภาพคล่องที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจ

ประกอบไปด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 โครงการ มูลค่าโครงการทั้งหมดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท

เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก, โครงการมหาสมุทร วิลล่า โครงการนิมิต หลังสวน ห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1,291 ล้านบาท และโครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี 2562   

ส่วนโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน มีแผนหาพันธมิตรร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ เป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮาส์ (Health & Wellness)

สำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” เพซจะนำกระแสเงินสดอีกส่วนหนึ่งมาใช้ลงทุนขยายสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ภายใต้ชื่อ DEAN & DELUCA xp ส่วนสาขาในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นเน้นขยายในรูปแบบคาเฟ่

ทั้งสองคอนเซ็ปต์นี้เป็นการลงทุนในรูปแบบร้านขนาดเล็ก ที่เน้นการลงทุนน้อยแต่ได้ประสิทธิผลมากขึ้น และเป็นรูปแบบที่ถูกออกแบบให้ขยายได้อย่างรวดเร็วหากมีดีมานด์

คอนเซ็ปต์ DEAN & DELUCA xp จะเริ่มที่มหานครนิวยอร์กเป็นแห่งแรก นอกเหนือจากนั้น ยังเน้นการขายสิทธิบัตรหรือแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เป็นแฟรนไชส์จำนวน 30 สาขา ใน 9 ประเทศ

ปัจจุบันเพซเป็นเจ้าของกิจการ DEAN & DELUC ในสหรัฐอเมริกา จำนวน 10 สาขา ในประเทศไทยจำนวน 11 สาขา และถือหุ้นร้อยละ 50 ในดีน แอนด์ เดลูก้าแบบคาเฟ่ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 17 สาขา

ในปี 2560 ดีน แอนด์ เดลูก้า สามารถทำรายได้ที่ 3,142 ล้านบาท และตั้งเป้าที่จะมีกำไรจากกระแสเงินสดภายในปี 2561.