ตูนบอดี้สแลม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 10 Jan 2019 14:15:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะเรตติ้ง “กิ๊ก ดู๋” หลังย้ายอยู่บ้านใหม่ “PPTV” https://positioningmag.com/1207387 Wed, 09 Jan 2019 23:07:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1207387 หลังจากผ่านดราม่าของกรณีย้ายจากช่อง 7 มาอยู่กับช่อง “พีพีทีวี” “กิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงินล้าน” เจเอสแอล เลือกเปิดตัวเทปแรกด้วยขวัญใจมหาชน “พี่ตูนและวงบอดี้สแลม” ที่กะว่าจะดึงกระแสคนดูทั้งจากแฟนรายการเดิม และแฟนคลับพี่ตูนทั่วประเทศเข้ามาชมรายการมากขึ้น แถมด้วยรูปแบบกิจกรรมชิงของรางวัล สร้างฐานผู้ชมเข้าร่วมทั้งทางช่องทางออนไลน์ และหน้าจอสดพร้อมๆ กันอย่างเต็มที่ แต่เรตติ้งที่ได้ไปอยู่ที่ 0.827 

ความเป็นขวัญใจมหาชนของ “พี่ตูน” เป็นแรงดึงดูดที่หลายๆ รายการต่างต้องการตัวไปร่วมโปรโมตรายการ ก่อนหน้านี้ I can see your voice ช่องเวิร์คพอยท์ ถึง 2 เทป ในวันที่ 19 และ 26 ธันวาคม 2561 ฟันเรตติ้งให้ช่องได้ถึง 4.230 และ 3.949 ทำเรตติ้งแซงหน้าละครหลังข่าวทั้งหมดได้

ทำให้เทปแรกที่รายการทุ่มทุนดึง “พี่ตูนและวงบอดี้สแลม” มาออกรายการจึงคาดหวังไว้ค่อนข้างสูงมากเช่นเดียวกัน

ความสนุกของ “กิ๊ก ดู๋” อยู่ที่ความเป็นตลกธรรมชาติ สายฮา แบบผู้อาวุโส ประสบการณ์สูงในวงการบันเทิงของ “ป๋ากิ๊ก” ไม่ว่าจะใส่มุกแดกดัน จิกกัดใคร ทำให้ดูแล้วไม่รุนแรง อารมณ์เหมือนผู้ใหญ่ชวนคุย เล่นหัวกับเด็ก แม้กระทั่งกับการสาดมุกใส่ “พี่ตูนและวงบอดี้สแลม” หลายรายการอาจไม่กล้า แต่ “ป๋ากิ๊ก” จัดให้เต็มที่ ทั้งเรื่องการใส่กางเกงขาลีบ, การออกเสียงพูด, การยัดไมค์ใส่กระเป๋ากางเกง เป้าตุงด้านหน้า และท่าทางการร้อง เรียกเสียงฮาสนั่นจอ

อย่างไรก็ตาม เรตติ้งเฉลี่ยของตอนแรกได้ไป 0.827 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ชมในกรุงเทพฯ สูงถึง 1.153 มีผู้ชมชายและหญิงในสัดส่วนเริ่มใกล้เคียงกันมากขึ้น จากปกติฐานผู้ชมช่องจะมีผู้ชมผู้ชายมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิง โดยมีผู้ชายรับชม 0.772 และผู้หญิง 0.887 โดยได้กลุ่มผู้ชมช่วงอายุ 40-49 ปี เป็นกลุ่มที่รับชมสูงสุด

แม้เรตติ้งตอนแรกไม่ได้สูงมากเหมือนคาดหวัง แต่นับเป็นการเริ่มต้นรายการใหม่ที่ดี เมื่อเทียบกับ The Voice มีเรตติ้งตอนเปิดตัวอยู่ที่ 0.575 เท่านั้น แต่ The Voice มีเรตติ้งตอนที่ได้สูงสุดอยู่ที่ 0.969 ในวันที่ 10 ธันวาคม 2561

ไม่ง่ายสำหรับรายการดัง ย้ายวิกจากช่อง 7 ช่องใหญ่สุดมาอยู่ช่องพีพีทีวี ช่องน้องเล็กสุดของกลุ่มช่อง HD ที่มีฐานผู้ชมแตกต่างกันอย่างมาก พีพีทีวีมีฐานเดิมของผู้ชมเป็นกลุ่มคนเมือง ที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากมีคอนเทนต์หลักของช่องเป็นรายการกีฬา ในขณะที่ช่อง 7 มีฐานผู้ชมในต่างจังหวัดมากกว่ากลุ่มเมือง และมีฐานผู้ชมผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยมีละครเป็นคอนเทนต์หลัก

เดิมที พีพีทีวีวาง Theme ของช่องไว้เป็น World Class TV ที่มุ่งหวังดึงฐานคนเมืองเข้าช่องให้มากขึ้น และโฟกัสที่กลุ่มผู้หญิงที่มีกำลังซื้อสูงสุด เข้ามาเป็นฐานผู้ชมช่องให้ได้ ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์รายการต่างประเทศมากมาย แต่ยังไม่ช่วยให้เรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างที่คาดหวัง ยิ่งเป็นช่องเล็กๆ ด้วยแล้ว โอกาสแจ้งเกิดกับรายการใหม่ๆ ต้องใช้เงินทุนและเวลา

พีพีทีวี จึงปรับมาใช้วิธี “ดูด” รายการดังๆ จากหลายช่องมาลงผังแทน เพราะรายการเป็นที่รู้จักดีและมีฐานแฟนจำนวนมาก ไม่ต้องโปรโมตมาก น่าจะช่วยดังเรตติ้งให้ขยับขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

สำหรับ “กิ๊ก ดู๋” แล้ว รูปแบบรายการเป็นกลุ่มแมสมากกว่า ตั้งแต่อยู่กับช่อง 7 เป็นเวลานาน โดยเฉพาะช่วงที่มีตัวแทนแต่ละจังหวัดมาร้องเพลงเพื่อชิงเงินรางวัล สังเกตได้จากบรรดาสปอนเซอร์หลักของรายการ “กิ๊ก ดู๋” ในช่องพีพีทีวี ยังคงเป็นกลุ่มแมส เน้นฐานต่างจังหวัดมากกว่าฐานคนเมือง

น่าคิดว่า พีพีทีวี อาจจะ “ดูด” เพลินจนลืม Theme : World Class TV หรืออาจจะปรับเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ใหม่เพื่อขยายฐานแมสให้กว้างขึ้นก่อน เพื่อเปิดทางรับกลุ่มผู้ชมผู้หญิง กับคอนเทนต์ละคร ที่จะเริ่มออกมาให้เห็นในกลางปีนี้ก็เป็นไปได้

เซอร์ไพรส์ของพีพีทีวี คงมีมาอีกเป็นระลอกในปีนี้ โดยเฉพาะชุดละคร และนักแสดงในสังกัด เพื่อขยายอาณาจักรบันเทิงอย่างเต็มตัว.

]]>
1207387
ศึกชิงผู้นำเครือข่าย 4G เดือด เอไอเอสส่ง ”แบมแบม GOT7″ ควงคู่ “เป๊ก ผลิตโชค” สู้ศึก “พี่ตูน” ทรู https://positioningmag.com/1173133 Wed, 06 Jun 2018 04:03:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1173133 ถึงแม้จะเปิดให้บริการ 4G ไปแล้วได้พักใหญ่ แต่เอไอเอส และทรู ก็ยังต้องชิงความเป็นผู้นำเครือข่ายมือถือ 4G ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร คราวนี้ทั้งคู่ใช้คนดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อการันตีเครือข่าย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกัน 

เอไอเอส คว้าเอาหนุ่มไทยไอดอลเกาหลี “แบมแบม GOT7” ที่ดังกระหึ่มในโลกโซเชียล มีแฟนคลับติดตามเหนียวแน่น มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด

แต่แบมแบมไม่ได้มาเดี่ยว ประกบคู่รวมกับพลังขวัญใจนุช “เป๊ก ผลิตโชค” เพื่อโปรโมต AIS Next G เครือข่ายมือถือโดยเฉพาะ

เพราะงานนี้ เอไอเอส ไม่ได้เทียบความเร็วและแรงของสัญญาณกับคู่แข่งในประเทศ แต่มองข้ามช็อตไปที่คู่แข่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงต้องใช้แบมแบม จากวง GOT7 จากบริษัทบันเทิงรายใหญ่ของเกาหลีอย่าง JYP Entertainment ซึ่งแบมแบมนอกจากจะฮอตฮิตในโลกโซเชียลมีเดีย  ยังโด่งดังในระดับเอเชีย มาเป็นตัวแทน

(อ่านเรื่องแบมแบมเพิ่ม คลิก : ถอดรหัสความดัง แบมแบม GOT7 Born to be Presenter Idol , Got7 ถล่มทวิตเตอร์ไทยในปี 2017)

เริ่มจากการออกทีเซอร์เรียกน้ำย่อยในทวิตเตอร์ พร้อมกับดึงเอาพรีเซ็นเตอร์ในสังกัดคนอื่นๆ มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างการรับรู้ ผ่านการโปรโมตผ่านสื่อโฆษณาบนสถานีและตัวรถไฟฟ้า ก่อนจะเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด AIS  Next G Next Generation” ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้

ในขณะที่ ทรู เลือก “ตูน อทิวราห์” หรือ พี่ตูน บอดี้สแลม ศิลปินร็อกระดับไอคอน ขวัญใจชาวไทย ของค่ายทรู มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดในสังกัด  สร้างความเชื่อในเครือข่าย True Move H 4G HD Network

โดยทรูเตรียมเปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ มุ่งเน้นเรื่องของประสิทธิภาพเครือข่าย กลางเดือนมิถุนายนนี้เช่นเดียวกัน

วัดพลังเครือข่าย

การที่เอไอเอส และทรู ต้องออกแคมเปญมาประชันกันในเวลาใกล้เคียงกัน นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เพราะหัวใจสำคัญของการให้บริการคือการมีเครือข่ายที่ดี ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการ ประวัติศาสตร์ของวงโทรคมนาคมไทยที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ปัจจัยที่จะทำให้ผู้ให้บริการมีจำนวนลูกค้า มีรายได้มากขึ้นนั้น มาจากคุณภาพของเครือข่ายทั้งนั้น ซึ่งทุกค่ายล้วนแต่ผ่านประสบการณ์วิกฤตปัญหาเครือข่ายมาแล้วทั้งนั้น

การขยายเครือข่ายนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเงินลงทุน และคลื่นความถี่ที่จะให้บริการ ค่ายทรูเองมาทีหลังคู่แข่ง-เอไอเอส และดีแทคหลายปี ก็มีปัญหาด้านเงินลงทุน ต้องหาพาร์ตเนอร์ Orange เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น เพื่อช่วยสร้างแบรนด์ และเงินทุน ซึ่งก็สามารถแก้วิกฤตปัญหาการลงทุนไปได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่พอผ่านวิกฤตการเงิน ก็ต้องมาเจอปัญหาขาดแคลนคลื่น จนต้องไปประมูลคลื่นในราคาแพง

ทรู ประเมินแล้วว่า ถ้าจะแข่งขันในระบบ 3G แบบเดิม สู้ยังไงก็ไม่มีวันชนะคู่แข่งทั้ง 2 รายที่เปิดให้บริการนำหน้าไปหลายช่วงตัว สู้ไปเร่งมือขยายเครือข่าย 4G ชิงเปิดให้บริการก่อน โอกาสสร้างแต้มต่อ สร้างฐานลูกค้า โอกาสชนะก็ย่อมมีมากกว่า

ทรู จึงเป็นรายแรกที่ลงทุนเครือข่าย 4G ในเดือนพฤษภาคมปี 2556 โดยที่เอไอเอสกว่าจะฝ่าวิกฤตปัญหาคลื่นมาได้ ทำให้เริ่มการลงทุน และเปิดให้บริการ 4G ได้ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2558 ตามหลังกันอยู่ถึง 2 ปี

เมื่อทรูชิงทำตลาด และโปรโมตโครงข่าย 4G ได้ก่อน และกลายเป็นแต้มต่อให้กับทรู สามารถลืมตาอ้าปาก ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ซึ่งทรูเองก็คงไม่หยุดอยู่แค่นี้

เอไอเอส จึงต้องเร่งสร้างการรับรู้ถึงการเป็นผู้นำในด้านเครือข่าย เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะมีคลื่นความถี่ 55 MHz ในมือเท่ากัน แต่เอไอเอสก็ยังมีฐานผู้ใช้บริการ 40.1 ล้านราย ในขณะที่กลุ่มทรูมีจำนวน 27.6 ล้านราย

เมื่อทั้งคู่ต่างก็เคลมว่าเป็นผู้นำเครือข่าย 4G เน้นโปรโมต และจากเดิมที่เคยสร้างการรับรู้เรื่อง “ฟังก์ชัน” ของเครือข่าย ก็ได้เวลาที่ทั้งคู่ต้องเลือกใช้ “พรีเซ็นเตอร” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดใจผู้ใช้บริการให้รวดเร็วที่สุด

เอไอเอสนั้น มุ่งเน้นกับพลังของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับสังคมออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลัก เพราะกลุ่มี้ใช้ “ดาต้า” เป็นจำนวนมาก เอไอเอสจึงเลือก “แบมแบม” ไอดอลขวัญใจวัยเรียน มาผนึกกำลังกับ “เป๊ก ผลิตโชค” ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น รวมพลัง เพื่อสะท้อนถึงความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูลของเครือข่าย 4G

ร่วมกับพรีเซ็นเตอร์ในมือ ซึ่งไอเอสมีอยู่เป็นจำนวนมาก เจมส์ จิรายุ, แต้ว ณฐพร, มิว นิษฐา, เต้ย จรินทร์พร, ทอม Room39, ดีเจพุฒ, วี วิโอเลต, แพรวา-แบงค์ ฮอร์โมน 2 และรายล่าสุด เบลล่า ราณี

เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำ ด้วยภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของตูน และเป็นคนที่คนทั่วประเทศรู้จัก ในฐานะผู้นำความเชื่อ และทำความดีเพื่อสังคม

ในขณะที่ ทรู เลือกตูน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ผ่านพลังของฮีโร่ของสังคมไทย อย่าง “พี่ตูน” ที่กล้าทำโครงการที่ยิ่งใหญ่ “ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” จากการวิ่งจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ มาเป็นผู้สร้างความมั่นใจกับความแรงของเครือข่ายมือถือ 4G ของทรู จากภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ จริงใจของ “พี่ตูน”

พรีเซ็นเตอร์ สูตรการตลาดค่ายมือถือ

ด้วยฐานลูกค้าของค่ายมือถือที่มีจำนวนมาก ทำให้ค่ายมือถือต้องใช้พรีเซ็นเตอร์มาเป็นเครื่องมือการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ เป็นตัวแทนของแบรนด์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป

เอไอเอสมีกลุ่มพรีเซ็นเตอร์จำนวนมาก ตั้งแต่ เจมส์ จิรายุ, แต้ว ณฐพร, มิว นิษฐา, เต้ย จรินทร์พร, ทอม Room39, ดีเจพุฒ, วี วิโอเลต, แพรวา-แบงค์ ฮอร์โมน 2, เป๊ก ผลิตโชค, เบลล่า ราณี และ แบมแบม GOT7

ในขณะที่ทรูมูฟ เอช มี ณเดชน์-ญาญ่า, BNK48, แพนเค้ก, เบิ้ล ปทุมราช, โป๊ป ธนวรรธน์ และ ตูน บอดี้สแลม เป็นรายล่าสุด

ส่วนค่ายดีแทค ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เป็นพรีเซ็นเตอร์รายล่าสุด.

]]>
1173133
ดี ดัง ดับ! ถอดบทเรียน 3 แบรนด์แห่งปี “พี่ตูน-BNK48-เมจิกสกิน” ได้ใจคนไทย ฮิตสุด และเละ! https://positioningmag.com/1168937 Tue, 08 May 2018 00:08:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1168937 ในแต่ละปีมีแบรนด์สินค้าและบริการเกิดใหม่มากมายนับไม่ถ้วน และปีที่ผ่านมา จำนวนแบรนด์หน้าใหม่ที่แจ้งเกิดเข้ามาแย่งพื้นที่ในการทำตลาดสู้แบรนด์เก่าๆ เรียกว่ามีมากมายจริงๆ เพราะที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ทะลุกว่า 35,000 แบรนด์ จาก 2 ปีก่อน ที่มีราว 20,000 แบรนด์ เหตุผลของแบรนด์เกิดใหม่เยอะเว่อร์วังอลังการ ส่วนหนึ่งเพราะผู้ประกอบการสินค้าและบริการเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์ รู้ว่าแบรนด์มีความสำคัญ อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น ไม่ยึดติดแบรนด์เดิมๆ อีกต่อไป หรือ Loyalty ลดลงแล้วนั่นเอง 

ทว่าการทำตลาดและสร้างแบรนด์ แต่ละแบรนด์มีจุดมุ่งหมาย (Purpose) ที่ต่างกันว่าต้องการเป็นอะไร หมายมั่นปั้นแบรนด์ที่ดี (The Good) เป็นแบรนด์ที่ดังข้ามคืนและฮิตสุดๆ (The Hit) หรือจะเป็นแค่แบรนด์ที่ดังโกยเงินข้ามวันข้ามคืน ไม่สนระยะยาว เน้นขายของจะดีไม่ดีไม่สน (The Ugly) 

ปีที่แล้ว แบรนด์ที่นักการตลาดยกย่องให้เป็นแบรนด์ที่ดี คือ พี่ตูน บอดี้สแลมเป็น Personal Brand ที่สร้างปรากฏการณ์ได้ใจคนไทยทุกเพศทุกวัย นั่นเป็นเพราะผลพวงของการออกวิ่งจากใต้สุดจรดเหนือสุดนับพันกิโลเมตรเพื่อระดมเงินบริจาคให้กับ 11 โรงพยาบาลทั่วไทยกับโครงการ ก้าวคนละก้าว” 

ตลอดเวลาของการวิ่งนับแรมเดือน มีผู้บริโภคเฝ้าติดตาม ให้กำลังใจเพื่อให้พี่ตูนวิ่งสำเร็จดังเป้าหมาย มากกว่านั้น ผู้บริโภคต้องการมี ส่วนร่วมแบรนด์คนดี ช่วยบริจาคคนละนิดคนละหน่อย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือโรงพยาบาลนั่นเอง เป็นการสร้าง Engaement ระหว่างพี่ตูนและสังคมชัดมาก 

การเป็น Personal Brand ที่ดี ยังทำให้นักการตลาดย้ำเสมอว่า หากแบรนด์จะทำกิจกรรมการตลาดใดๆ ทำดีจากใจ จริงใจ เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องตระหนักให้มาก เพราะนั่นจะปูทางไปสู่การเป็น Brand Loyalty หรือผู้บริโภครักด้วยใจ นั่นหมายความว่า ถ้าแบรนด์ดี ผู้บริโภคก็อยากจะอุดหนุนซื้อสินค้าและบริการ นำไปสู่การสร้างยอดขายได้โดยปริยาย 

พี่ตูนคือแบรนด์คนดี ถ้าหากพูดถึงแบรนด์ดัง (The Hit) ปฏิเสธไม่ได้ว่าปีที่แล้วต่อเนื่องจนปีนี้ “BNK48” กลายเป็นไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปที่บูมสุดๆ จะขยับตัวไปทางไหนผู้บริโภคโดยเฉพาะเหล่า โอตะสาวกโอชิต้องตามไปให้กำลังใจกรี๊ดๆ หน้าขอบเวที 

ความฮิตของ BNK48 ยังทำให้นักการตลาดต้องหยิบยกมาศึกษาถึงพลังของคอนเทนต์ที่ BNK48 สร้างขึ้นด้วย การปูทางการตลาดที่มีสเต็ปและขั้นตอนเป๊ะๆ สะท้อนให้เห็นว่าความดังที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ โชคช่วยหรืออาศัยความฟลุก! แต่ผสานกลยุทธ์การตลาดเข้ากับเครื่องมือดิจิทัลได้อย่างลงตัว ยิ่งกว่านั้น คือการผสานทุกสื่อ Online On ground On Air ได้ครบหมดจดทุกสื่อเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย 

ตัวอย่างความฮิตของ BNK48 กับการตลาด แค่ออกรายการแล้ว เฌอปรางบอกว่า ชอบหนุ่มแว่นบรรดาร้านแว่นต่างหยิบมาเป็น Key Word ในการทำตลาดเล่นกับผู้บริโภคเป้าหมายทันที นั่นเป็น Reaction ของแบรนด์ในยุคที่การตลาดมีความ Dynamic มากๆ ซึ่งนักการตลาดต้องเกาะติดกระแสเหล่านี้ไว้ไม่ให้พลาด 

ดี เด่น ดังแล้ว ย่อมมี แกะดำ เกิดขึ้นบ้าง นาทีนี้ถ้าพูดถึง “The Ugly แบรนด์ความเห็นของนักการตลาดจะพุ่งตรงไปที่ เมจิก สกินทันที เพราะการผลิตสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน การขออนุญาต อย.ที่ไม่ถูกต้องตลอดจนการทำตลาดที่ใช้ Influencer มาเป็นเครื่องมือเรียก ศรัทธาสินค้าจากผู้บริโภคให้เกิดความเชื่อจนซื้อสินค้าและบริการ 

เมจิกสกิน เป็นตัวอย่างที่ทำให้นักการตลาดต้องตระหนักและไม่ควรลืมเรื่องศีลธรรมในการทำตลาด อย่าคิดแค่ขายสินค้า ขณะที่ดารา นักแสดง ก็คือ Personal Brand อย่างหนึ่ง ในการโฆษณา รีวิวสินค้าจะต้องบาลานซ์เป้าประสงค์เชิงพาณิชย์ และสังคมควบคู่ไปด้วยโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ประธานอำนวยการ วายแอนด์อาร์ ประเทศไทย (Y&R) กล่าว 

การเป็นแบรนด์ที่ดี หากวันหนึ่งทำตลาดพลาดพลั้งผิดแบบไม่ตั้งใจ นอกจากจะถูกซ้ำเติมเบาๆ อีกฝั่งหนึ่งจะได้รับ เกราะป้องกัน จากผู้บริโภคที่เป็นสาวกของแบรนด์ด้วย กลับกันถ้าเป็นแบรนด์ที่ Ugly นอกจากจะไม่มีเกราะป้องกัน ยังถูกถล่มซ้ำ จนไม่เป็นชิ้นดีด้วย และอาจลาก แบรนด์ที่แย่ๆ อื่นๆ มาโจมตีพร้อมๆ กันอีกต่างหาก 

สำหรับกรณีการทำตลาดของ เมจิก สกิน ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกประการคือ การทำตลาดที่ใช้ Influencer คนดังสารพัดมาเป็นตัวแทนบอกเล่าสรรพคุณสินค้า โดยไม่มีการใช้จริงถามว่าระลอกนี้แบรนด์โดนไปเต็มๆ จากคำก่นด่า แต่บรรดา ดาราInfluencer ถูกติงแป๊บเดียว เดี๋ยวผู้บริโภคก็ลืม ด้วยเหตุว่าพฤติกรรมคนไทยลืมง่าย!” นั่นเอง 

แน่นอนว่าเมจิ สกิน เป็นแบรนด์น้องใหม่เกิดไม่นาน ทำตลาดได้ปัง! โกยเงินได้อื้อซ่า แต่สุดท้าย ผลลัพธ์เกิดกับแบรนด์ กลายเป็นได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ นอกจากจะดับ ยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นพรวน!  

]]>
1168937
ระดับ “พี่ตูน บอดี้สแลม” พรีเซ็นเตอร์คงไม่พอ ต้องเป็น “Brand Endorser” สูตรเรียกศรัทธาแบรนด์ “พฤกษา” ตอบโจทย์คนอยากมีบ้านคุณภาพ https://positioningmag.com/1167469 Thu, 26 Apr 2018 05:14:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1167469 เป็นการลุกขึ้นมารีแบรนด์องค์กร” (Corporate Brand) ครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี สำหรับบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” โดยโจทย์ใหญ่ครั้งนี้ คือการพยายามกู้ภาพลักษณ์การเป็นบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้ดีขึ้น เพราะในฐานะเจ้าตลาดมีส่วนแบ่งในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มากสุด จากส่งมอบบ้านเดีย่ว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียมปีละกว่า 20,000 ยูนิต ทำให้การแจ้งซ่อม ร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับบ้านมีมากเป็นเงาตามตัว เฉลี่ย 0.48 รายการต่อหลังต่อเดือน

หากปล่อยให้ชื่อเสียงแบรนด์กลายเป็นชื่อเสียย่อมไม่ดีต่อการทำตลาดและขายสินค้าอย่างแน่นอน ดังนั้น พฤกษา ต้องหาสัญลักษณ์ความเชื่อมั่นแบรนด์มาตีตราประทับ” (Trust Mark) ให้ได้ จึงใช้กลยุทธ์ดังนี้

• ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เกือบ 10% ของงบการตลาดและโฆษณา (A&P) ทั้งปีราว 1,200 ล้านบาท เพื่อดึง พี่ตูน บอดี้สแลม หรืออาทิวราห์ คงมาลัยมาเป็น “Brand Endorser” เป็นเวลา 1 ปี

พี่ตูน บอดี้สแลม Brand Endorser ของพฤกษา

• ระดับ พี่ตูนต้องเป็น Brand Endorser ไม่ใช่ พรีเซ็นเตอร์ หรือ Brand Ambassador” เพราะพรีเซ็นเตอร์ต้องใช้สินค้าจริง แล้วมาเล่าสรรพคุณสินค้า แต่แบรนด์เอ็นดอสเซอร์ แค่เชื่อมั่นว่าเป็นของจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรเลยผู้บริโภคก็พร้อมเทใจให้และซื้อสินค้า

• เหตุผลที่ใช้พี่ตูน เพราะปีก่อนสร้างปรากฏการณ์วิ่งจากใต้จรดเหนือระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลในโครงการก้าวคนละก้าวสะท้อนภาพ แบรนด์ที่ดี (Personal Brand) เป็นต้นแบบปูทางสู่แบรนด์ที่รักของผู้บริโภค หรือ Brand Love

• พี่ตูน จึงเรียกทั้งศรัทธาให้แบรนด์พฤกษา และหนุนให้ขึ้นแชมป์แบรนด์ Top of Mind มัดใจบริโภคอยากมีบ้านให้นึกถึงพฤกษาเป็นแบรนด์แรกจากปัจจุบันเป็นเบอร์ 3

• พี่ตูน จึงตอบโจทย์พฤกษาทั้งหมดเป๊ะ! ประมาณว่า เห็นพี่ตูน หรือเห็น Corporate Brand โลโก้ใบไม้สีเขียวและตัว P นี่คือคุณภาพ” 

แบรนด์เอ็นดอสเซอร์ เหมือนคนที่สร้าง Trust Mark ให้กับพฤกษา ที่เห็นปุ๊บเชื่อได้ทันทีในเรื่องคุณภาพของที่อยู่อาศัย เหมือนกับการไปกินอาหาร ถ้าผู้บริโภคเห็นเครื่องหมายเชลล์ชวนชิม มิชลินสตาร์ การันตีความอร่อยได้เลยสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง บอก 

สูตรสร้างแบรนด์ปีนี้บริษัทยังโฟกัสการทำ Story of Doing มากกว่า Story of Telling ดึง 5 แนวทาง มาทำให้เห็นจริง ได้แก่

1. การตอกย้ำนวัตกรรมการก่อสร้าง เพราะเป็นจุดแข็งของพฤกษาที่ Disrupt ตลาดที่อยู่อาศัย

2. การดีไซน์สินค้า ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่วัยทำงานผู้ใหญ่คนชราครบครันทุกไลฟ์สไตล์

3. การบริการลูกค้า มีบริการซื้อที่อยู่อาศัยแบบ One Stop Service การเปิดให้บริการบัตรสมาชิกเพื่อให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกบ้าน

4. นวัตกรรม ที่มีทั้งบ้านปลอดภัย บ้านสำหรับคนชรา บ้านสีเขียว และ 5.สร้างชุมชน (Community) โดยรอบหมู่บ้านให้ดีขึ้น   

“Norm การทำตลาดอสังหาฯ เน้นใช้ Emotional Marketing เล่าเรื่องดีไซน์การออกแบบบ้าน สวยยังไง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่ แต่เราต้องการทำจุดแข็งที่มีตั้งแต่ภายในองค์กรสู่ภายนอก เริ่มจากโรงงาน การสร้างบ้าน นวัตกรรม นี่จึงไม่ใช่การทำแคมเปญการตลาด แต่เป็นการสร้าง Brand Purpose ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรด้วย

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาสมีซัพพลายที่อยู่อาศัยมูลค่า 8710,000 ล้านบาท เติบโต 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีจำนวน 211,000 ยูนิต เติบโต 4% ส่วนจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไตรมาสแรกมีทั้งสิ้น 110 โครงการ มูลค่า 108,000 ล้านบาท โต 15% มีจำนวน 25,000 ยูนิต ลดลง 1%

ไตรมาสแรกพฤกษาเปิดตัว 15 โครงการใหม่ มูลค่า 9,800 ล้านบาท ทั้งปีจะเปิด 77 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท ส่วนยอดขายไตรมาสแรกอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย เพราะเปิดคอนโดมิเนียมน้อย ส่วนรายได้และกำไรมีการเติบโตขึ้น ด้านยอดขายทั้งปีตั้งไว้ 53,700 ล้านบาท เติบโต 13% ขณะที่ยอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อกอยู่ที่ 31,000 ล้านบาท ปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาท

ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อดีขึ้น เพราะหนี้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2558 อัตราหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่ 81.6% ปี 2559 ลดเหลือ 80% และปี 2560 ลดเหลือ 77.5% จากการสิ่นสุดโครงการรถคันแรก

]]>
1167469
เผยอาชีพในฝันของเด็กไทยปี 61 “ครู” แชมป์ 2 ปีซ้อน เกมเมอร์ นักแคสเกม เชฟมาแรง ไอดอลในดวงใจ GOT7-พี่ตูน บอดี้สแลม https://positioningmag.com/1152841 Sat, 06 Jan 2018 03:00:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152841 เข้าใกล้วันเด็ก เสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย จึงทำการสำรวจอาชีพในฝันของเด็กไทย เป็นครั้งที่ 9 ผ่านกลุ่มตัวอย่างเด็กอายุระหว่าง 7-14 ปี จำนวน 2,044 คน ผลปรากฎว่า อาชีพ “ครู” ยังคงมาแรง และครองแชมป์ 2 ติดต่อกันปีซ้อน เหตุผลเพราะต้องการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น เป็นอาชีพที่ปลูกฝังให้เด็กไทยเป็นคนเก่งและดี รวมถึงเป็นอาชีพที่มีความสุจริตมั่นคงด้วย

อันดับ 2 แพทย์หรือคุณหมอ ที่สำคัญปีนี้เด็กอยากเป็นแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น แพทย์ทางด้านสมอง แพทย์ทหาร และแพทย์ผิวหนัง โดยอาชีพแพทย์เพิ่งตกอันดับอาชีพในฝันของเด็กๆ ตั้งแต่ปี 2560 จากเดิมที่ครองแชมป์ยาวนานถึง 7 สมัยติดต่อกัน

อันดับ 3 คือนักกีฬาฟุตบอล เพราะเด็กๆ มองว่าการเป็นนักกีฬาช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ผลตอบแทนดี และสรางชื่อเสียงให้กับประเทศชาติได้ ในปีนี้อาชีพดังกล่าวยังแซงเบียดอาชีพ “ทหาร” ซึ่งในปี 2560 ติดท็อป 3 อาชีพในฝัน

++เกมเมอร์ นักแคสเกม เชฟ ผู้ประกอบการ ติดเทรนด์อาชีพใหม่มาแรง

ในปีนี้ อาชีพใหม่ที่เด็กไทยให้ความสนใจมากขึ้น และมาแรง คือ เกมเมอร์ นักแคสเกม เพราะต้องการใช้ความชอบในการเล่นเกมมาประกอบอาชีพ สร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ รวมถึงอาชีพ “เชฟ” โดยเด็ก ๆ ให้เหตุผลว่าอยากเป็นเชฟเพราะอยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนที่ทานมีความสุข นอกจากนี้ เด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่สนใจอยากเป็นนักธุรกิจและผู้ประกอบการเพราะต้องการอิสระในการทำงาน บางส่วนต้องการสืบทอดกิจการของครอบครัว

++ทหาร ตำรวจ  นักกีฬา ดารา แพทย์ เด็กไทยเทใจว่าสุดเท่

ผลการสำรวจยังระบุ อาชีพ “ทหาร” เป็นอาชีพที่เท่ที่สุดในสายตาเด็กไทย ๆ ตามด้วยอาชีพตำรวจ เหตุผลเพราะคิดว่าเป็นาอาชีพที่ได้ปกป้องคุ้มครองประเทศ ได้รับใช้ประชาชนและประเทศชาติ รองลงมาคืออาชีพ นักกีฬา เพราะเปิดโอกาสให้รับใช้ทีมชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ตามด้วยการเป็น ศิลปินและดารา และปิดท้ายด้วย แพทย์ 

++เด็กไทยอยากได้เงินเดือนสูงสุดทะลุ 100 ล้านบาท

เมื่อถามถึงเงินเดือนที่เด็ก ๆ ต้องการ ส่วนใหญ่อยู่ที่ 15,000-30,000 บาท โดยเงินเดือนสูงสุดที่เด็กไทยอยากได้ คือ มากกว่า 100,000,000 บาท ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าอาชีพในฝันที่เด็ก ๆ คิดว่าจะได้เงินเดือนสูงคือ อาชีพนักกีฬา เพราะถ้ามีชื่อเสียงจะทำให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงตามมาด้วย

ส่วนเงินเดือนที่ได้ เด็ก ๆ บอกว่าจะนำเงินเดือนที่ได้ไปเลี้ยงดูครอบครัวและตนเอง ขณะที่เด็ก ๆ บางกลุ่มมองอาชีพที่ชอบเป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางใจที่สุด ดังนั้น จะได้รับเงินเดือนเท่าไรก็ได้ แต่ขอให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและเลี้ยงดูครอบครัว

ขณะที่คำถามยอดฮิตสำหรับเด็ก ๆ ทุกปี คือ หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำอะไร คำตอบมีหลากหลายมาก แต่เด็กให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า รองลงมาคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ขาดโอกาสในกลุ่มต่าง ๆ เช่น คนยากจน คนพิการ คนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร และผู้ประสบภัยต่าง ๆ รวมถึงการแก้ปัญหายาเสพติดและการทุจริต คอรัปชันด้วย

++ยึดในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้นแบบการดำรงชีวิต

นอกจากนี้ เด็กไทยยังยึด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต เนื่องจากพระองค์ทรงอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพสกนิกร ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย

++พ่อแม่ GOT7 พี่ตูน บอดี้สแลม แป้ง Zbing Z ไอดอลในใจ

สำหรับไอดอลในดวงใจ เด็กไทยยังเทใจให้พ่อแม่ เป็นอันดับ เพราะเป็นผู้มีพระคุณที่ให้กำเนิด คอยสั่งสอนและเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังแก้ปัญหาและเป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ อยู่เสมอ ท่านจึงเปรียบเสมือนฮีโร่ในทุก ๆ ด้าน

ภาพจาก : facebook.com/GOT7Official/

รองลงมาคือศิลปิน “GOT7” จากเกาหลี เพราะมีความสามารถทั้งการร้องและการเต้น และยังมีคนไทยคือแบแบม กันต์พิมุก เป็นสมาชิกในวง เป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ ได้ ตามด้วย พี่แป้ง Zbing Z. นักแคสเกมหญิงอันดับ ของเมืองไทย ขวัญใจเด็ก ๆ และพี่แป้งเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ทั้งความสนุกสนานและความรู้ และขาดไม่ได้คือ “พี่ตูน บอดี้สแลม” ที่เด็ก ๆ ชื่นชอบผลงานเพลง และชื่นชมถึงความเสียสละ อดทน และการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมในการวิ่งระดมทุนซื้ออุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน และเป็นแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายของเด็ก ๆ อีกด้วย

 

++ ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเล่น เสริมวิชาภาษาจีน

นอกจากนี้ เด็กไทยยังเห็นว่าโรงเรียนควรลดเวลาเรียนให้น้อยลง และเพิ่มเวลาเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ มากขึ้นด้วย ส่วนวิชาเรียนที่เด็ก ๆ ชื่นชอบมากที่สุดยังคงเป็น วิชาคณิตศาสตร์ ตามด้วย พลศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ โดยปีนี้เด็กอยากให้มีการเพิ่มวิชาว่ายน้ำ และภาษาจีนมากขึ้น สำหรับวิชาพลศึกษาต้องการให้เน้นกีฬาเฉพาะด้านมากขึ้น เช่น ฟุตบอล เทควันโด วอลเลย์บอล วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาอิสระที่ให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมที่สนใจอื่น ๆ

เด็ก 94% ดู Youtube

ด้านกิจกรรมวันหยุด การเล่น ทั่วไปยังนิยมมากมากที่สุด ที่เหลือเป็นการเล่นโทรศัพท์ เล่นกับเพื่อน เล่นฟุตบอล การไปเที่ยว ดูทีวี ฟังเพลง และอ่านหนังสือตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ปีนี้อเด็คโก้ประเทศไทย มีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูวิดีโอใน YouTube พบว่าเด็กไทยกว่า 94% ดู YouTube รายการยอดฮิต ได้แก่ รายการเพลงทั้งไทย Kpop ตามด้วย เกม การ์ตูน รายการบันเทิง และ รายการทำอาหาร แต่มีบางกลุ่มใช้เวลาการหาความรู้ที่สนใจ เช่น น้องที่อยากเป็นเชฟจะสนใจดูรายการสอนทำอาหาร หรือน้องที่อยากเป็นพยาบาลก็จะเลือกดูคลิปเกี่ยวกับการสอนการปฐมพยาบาล เป็นต้น

ปิดท้ายที่ ประเทศในฝันที่เด็กไทยอยากอยู่มากที่สุดในโลกรองจากไทย คือ ประเทศญี่ปุ่น ตามด้วยประเทศเกาหลีใต้ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และจีน

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าเด็กเริ่มให้ความสำคัญในการช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ ทหาร รวมถึงการมองไอดอลในดวงใจซึ่งเป็นผู้เสียสละ ทำประโยชน์ให้กับสังคม นับเป็นแนวโน้มจิตสาธารณะที่ดี เพราะพวกเด็กเหล่านี้คือแรงสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป “ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์” ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค-ไทยและเวียดนาม กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย กล่าว.

]]>
1152841
10 ปรากฏการณ์ สะเทือนตลาดปี 2560 https://positioningmag.com/1152106 Sat, 30 Dec 2017 00:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152106 ในทุกปีมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจการตลาด ที่มีทั้งเรื่องราวของแบรนด์ สินค้า ที่สร้างปรากฏการณ์ตลาดจนผู้ต้องร้องว้าว! คู่แข่งต้องหันมามอง นักการตลาดต้องหยิบมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อที่จะรียนรู้ ปรับใช้ และปรับตัวในปีต่อ ๆ ไป หากจะมองว่า กระแส หรือกิจกรรมตลาดไหนบ้างที่ “ร้อนแรง” ในปี 2560

1. ตูน Phenomenon 

ถ้าหากจะพูดถึงบุคคลแห่งปีที่ผู้คนทุกวงการต้องเกาะติด ตั้งแต่การเมือง การตลาด สังคม กีฬา สารพัดฯ ต้องยกให้คนนี้ “ตูน บอดี้สแลม” ที่ลุกมาทำโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ออกมาวิ่งจากเบตง ถึงเชียงรายระยะทาง 2,000 กว่ากิโลเมตร(กม.) เพื่อระดมทุน 700 กว่าล้านบาท ไปช่วยเหลือ 11 โรงพยาบาล ผลของการทำกิจกรรมด้วยใจจริง ทำให้แบรนด์ต้องหันมาศึกษา และยกเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ควรนำไปทำตาม ทั้งความจริงใจ มีความ Real Marketing ไม่ Fake เพราะการทำอะไรปลอมๆ ที่สุดแล้ว ก็จะกลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงทำลายแบรนด์ให้พังได้

นอกจากนี้ สิ่งที่ตูนทำ ยังก่อให้เกิดคนรักทั้งประเทศ ซึ่งในเชิงการตลาด เป้าหมายสูงสุดที่แบรนด์ต้องการไปให้ถึงคือ Build Brand Love เพราะหากผู้บริโภคนรักแบรนด์ได้ จะก่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อแบรนด์นั้นเป็นแบรนด์แรก อีกทั้งหากมีใครกล่าวร้ายแบรนด์ ผู้บริโภคจะออกมาปกป้องทันที

2. ครีมหน้าเด้งของก้อย รัชวิน ที่ทุกคนถามหา 

นอกจากพี่ตูน บอดี้สแลมจะเป็นที่สนใจของทุกคน แต่จะไม่พูดถึงคนนี้ไม่ได้ “ก้อย รัชวิน” แฟนสาว ที่ร่วมออกวิ่งกับตูน ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่สิ่งที่หลายคนสงสัย คือ “ใช้ผลิตภัณฑ์อะไร” ที่ยังคงสภาพผิว ใบหน้าให้สวดสดใสได้ตลอด จนมีบางแบรนด์มาเกาะกระแสขายสินค้า

ภาพจาก : facebook.com/rachwinwong

ขณะที่ก้อย บอกเพียงวิธีการดูแลผิวพรรณ ด้วยการใช้ครีมกันแดดในตอนกลางวัน หลังวิ่งเสร็จต้องลงอโลเวร่า ตบด้วยมาร์กหน้าตอนกลางคืน ส่วนก่อนเมคอัพให้สวยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่จำเป็นทั้ง อายครีม มอยเจอร์ไรเซอร์ เซรั่ม ต้องลงหมด

3. ไมโลคิวบ์ ไอเทมสุดฮิต 

ที่ทุกคนควานหา การออกสินค้าใหม่มาชิมลางในตลาด การแจ้งเกิดได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ไมโลคิวบ์ จะไม่ได้เปิดตัวโดยตรงจากเจ้าของแบรนด์อย่าง “เนสท์เล่” แต่เมื่อมี “ขาหิ้ว” นำเข้ามาขาย จนโด่งดัง ก็เป็นจังหวะดีที่แบรนด์กลับมามอง เพื่อปูพรมทำการตลาด หาโอกาสใหม่ๆเอง

ความดังของไมโลคิวบ์ อย่างแรกเกิดจากตัวผลิตภัณฑ์(Product)ที่แตกต่างจากตลาดอย่างแท้จริง เพราะเวลานั้นไม่มีคู่แข่งรายใดที่ทำช็อคโกแลตมอลต์อัดเม็ดออกมาจำหน่าย ส่วนการทำตลาดแน่นอนของดีเลยทำให้ “ผู้บริโภคบอกต่อ” เป็น Word of Mouth เป็นตัวกลางที่สื่อสารให้แบรนด์ซัคเซส โดยไม่ต้องลงทุนโฆษณาใดๆ

4. ชากุหลาบ โปรดักท์จุดพลุให้ชาตรามือ 

อีกหนึ่งสินค้าที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับ “ชาตรามือ” ที่มีสินค้าพระเอกของปีคือ “ชากุหลาบ” กลายเป็น Buzz Marketing รัวๆ เพราะใครที่ลองสินค้านี้แล้ว มีการบอกต่อกันอย่างมากในโลกออนไลน์ ถึงคุณสมบัติบางประการ และนั่นทำให้ผู้บริโภคต่อคิวซื้อสินค้ายาวเป็นหางว่าว

ชากุหลาบ ยังช่วยปลุกชีพแบรนด์ที่ดูบ้านๆ มีสินค้าจำหน่ายเป็น Kiosk เล็กๆ ตามสถานีรถไฟฟ้า หรือจุดต่างๆ จนสลัดภาพไปทำตลาด เปิดช็อปให้บริการในศูนย์การค้าสยามพารากอนอย่างสวยหรู ในโซนที่เต็มไปด้วยแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มไฮโซ

5. Louis Vuitton X Supreme สุดยอดแบรนด์ปัง 

ปีนี้ถ้าจะพูดถึงการ Collaboration แบรนด์ทรงอิทธิพลจนผู้บริโภคต้องร้องว้าวต้องยกให้แบรนด์ไฮเอนด์จากฝรั่งเศสอย่างหลุยส์ วิตตอง ที่ลุกมาร่วมมือกับแฟชั่นสตรีทแวร์ดังจากเมืองมะกัน สุพรีม ออกคอลเล็กชั่นพิเศษทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ ฯ มาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคตลาดบน

เมื่อสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ต้องยอมรับว่าอิทธิฤทธิ์ของทั้ง แบรนด์ทำให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าไปตั้งตารอซื้อที่สยามพารากอนตั้งแต่เที่ยงคืน จนเกิดกระแสดราม่าพอสมควร เพราะสนนราคาสินค้าไม่ใช่ไก่กา แต่ราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงแสน แพงหูฉี่ยังมีสาวกไปเฝ้านั่นเอง

6. ตลาดเหล้าขาวเจ้าสัวเจริญ ถูกลูบคม โดยนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” 

วงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเมืองไทย ถูกครอบครองโดยผู้ประกอบการน้อยราย(Oligopoly) หลักๆช้าง สิงห์ ไฮเนเก้น ยิ่งไปดูเหล้าขาว มีเพียง “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่กินรวบส่วนแบ่งกว่า 97% และมียอดขาย 109,297 ล้านบาท กำไรสุทธิ 20,420 ล้านบาท   

 แต่ปี 2560 “คู่แข่ง” ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ เสถียร เศรษฐสิทธิ์” และผองเพื่อนแห่งคาราวบาวแดง ผ่านด่านการทำประชาพิจารณ์จนสร้างโรงงานมูลค่า 3,000 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่เหล้าขาวมีคู่แข่งรายใหญ่พอตัว

อย่างไรก็ตาม การทำตลาดเหล้าขาวไม่ง่าย เพราะขุมข่ายพลังทางการค้า เอเย่นต์ ที่ขายสินค้าของเจ้าสัวมานานมีมากมาย การจะยอมให้แบรนด์ใหม่ไปแทรกแย่งตลาดย่อมยาก ดังนั้นเกมนี้ต้องจับตาดูกันยาวๆ ว่าเสถียร์ จะฝ่าด่านอรหันต์ไปได้หรือเปล่า

7. ตู้กดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ ไปไม่รอด 

การทำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ดูจะกลายเป็น “ยาขม” สำหรับเจ้าของแบรนด์สินค้าไปซะแล้ว เพราะไม่ว่าจะลุกมาทำอะไร ก็ถูกสังคมจับจ้อง และค้านสายตาบรรดาผู้ที่ต่อต้าน ส่วนในมุมผู้บริโภค ย่อมมีทั้งปิดรับเปิดค้านสลับกัน

นี่ถือเป็นความพยายามของผู้ประกอบการ ค่ายใหญ่ “สิงห์-ช้าง” ที่ต้องการขยายตลาดเบียร์สดหรือ Craft beer ให้ใหญ่มากขึ้น เพื่อหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ เพราะหากยังวนเวียนเล่นแต่ตลาดลาเกอร์เบียร์ ซึ่งทุกปีอัตราการเติบโตต่ำมาก ย่อมไม่ดีต่อธุรกิจ ดังนั้นการหาน่านน้ำสีคราม(Blue Ocean)ใหม่ๆ จึงจำเป็น แต่การทดลองวางตลาดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อก็เกิดขึ้นสั้นๆ เพราะแรงเสียดทานจากสังคม ทำให้อวสานเบียร์สดเร็วมาก

8. ดราม่ามาร์เก็ตติ้ง เสียงติงจากผู้บริโภค 

การทำตลาดไม่ได้มีแต่เรื่องราวดีๆ แต่ที่ “ดราม่า” ก็มีให้เห็นเยอะ โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ออกมาทำกิจกรรมตลาดแล้วทำลายความคาดหวังของผู้บริโภคจนพังดราม่าหนักๆในปีนี้นอกจากตู้กดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ สินค้าความงามก็โดน เมื่อสาวๆที่รอโปรโมชั่นแรง จาก EVEANDBOY ร้านมัลติแบรนด์ดังใจกลางสยาม ใช้กลยุทธ์ลดราคาแรงมาจูงใจผู้บริโภค จนความต้องการพุ่งปรี๊ด ต่อคิวกันยาวเหยียด แต่ปรากฎว่าสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังมีบล็อกเกอร์ได้อภิสิทธิ์ช้อปปิ้งก่อนโดยไม่ต้องเข้าคิว ไหนจะบรรดาแม่ค้าแม่ขายที่รับหิ้ว แห่ไปกวาดสินค้าจนหมด สุดท้ายแบรนด์โดนด่าเละ!

แต่นั่นไม่ทำให้เจ้าของแบรนด์เข็ด เพราะตราบใดที่ยอดขายยังดี การทำตลาดแบบนี้ ยังคงถูกมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพราะล่าสุดการลดราคาของ EVEANDBOY กระแสก็ซาลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพจาก : facebook.com/eveandboy

ดราม่ามาร์เก็ตติ้ง ไม่ได้มีแค่นี้ เคสอื่นๆที่เกิดขึ้นล่าสุด คือกรณีการจัดกิจกรรมระดับโลก Harry Potter Christmas in the Wizarding World ที่สยามพารากอน เพราะพลังการตลาดโปรโมทงานอลังการ แต่จัดงานจริงเล็ก สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ จัดคิวไม่ดี งานนี้ห้างเลยโดนเต็ม แต่ผู้จัดงานรอดเสียงติซะงั้น

ยังท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่กำลังทำตลาดออนไลน์บน Twitter อยู่ดีๆ “แอดมิน” คนเคยร่วมงานออกไปเล่ากลยุทธ์การตลาดใหม่ๆให้สื่อรับรู้ กลายเป็นการคลุกวงในของคนทำงานกันเอง จนต้องเบรกทำตลาดบนทวิเตอร์สักพัก ทั้งที่กำลังแจ้งเกิด สุดท้ายพอกลับมาทำตลาดอีกครั้ง เลยจืดสนิท กำลังปังแต่พังเพราะดราม่าแท้ๆ

9. เคเอฟซี-GMM25 ดีลแห่งปีจาก “เจ้าสัวน้อย ฐาปน” 

ภาพนักเทคโอเวอร์คงติดตานักบริหาร “หนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ทายาทคนที่ ของราชันย์น้ำเมา “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ไปเรียบร้อยแล้ว

หากพูดถึงดีลที่น่าสนใจ จาก “ฐาปน” ปีนี้ต้องยกให้การเข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ที่มีธุรกิจทีวี GMM25 เอไทม์มีเดียฯ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นในนามส่วนตัว ผ่านบริษัทลงทุนอย่าง “อเดลฟอส”  ซึ่งในอนาคตจะนำมาต่อยอดธุรกิจของเครือไทยเบฟอย่างแน่นอน ในฐานะที่บริษัทมีสินค้ามากมายทำ Music Marketing และ Sport Marketing ทั้งปีมากมาย

อีกดีลคือการซื้อกิจการสาขาร้านไก่ทอดเบอร์ ของโลกอย่าง KFC กว่า 1.13 หมื่นล้านบาท กลายเป็นสปริงบอร์ดสำคัญในการขยายเข้าสู่ธุรกิจอาหาร ให้ครบวงร จากที่มีร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารอาเซียน อาหารไทย ตั้งแต่ฟู้ดคอร์ทไปถึงหรูหรา(Fin Dining) แต่สิ่งที่ไทยเบฟจะได้จากการซื้อสาขาเคเอฟซี คือโนวฮาวการบริหารจัดการธุรกิจระดับโลกนั่นแอง

10. ศึกวันคนโสด สุดยอดกลยุทธ์การตลาดบนโลกออนไลน์ 

สมรภูมิค้าปลีกออนไลน์ ต้องบอกว่าแข่งขันกันเสือดลาด เพราะผู้ประกอบการทำตลาดหนักแค่ไหน ก็ยังแบกขาดทุนกันมโหฬารนั่นเอง

การทำตลาดออนไลน์ที่เขย่าวงการช้อปปิ้งสุดๆ ในปีนี้ ต้องยกให้กลยุทธ์การเปลี่ยนโจทย์วันคนโสด วันป๊อบๆของชาวจีน ให้เป็นวันช้อปปิ้งแห่งปี เพราะทั้ง LAZADA 11street Shopee  ออกแคมเปญ โปรโมชั่นเพื่อดวลศึกกันสนั่นวงการ กระตุ้นยอดขายกันเป็นวินาที จนทุบสถิติ ในไทยอาจไม่เปิดเผยตัวเลขนัก แต่เมืองจีนช้อปกันสะพัดมาก อย่างอาลีบาบา โกยยอดขายกว่า 8.6 แสนล้านบาท กันภายใน 24 ชั่วโมงแค่นั้นเอ๊ง!.

]]>
1152106
2 ล้านข้อความ-Engagements 100 ล้านครั้ง กระแสความปัง พี่ตูน-โครงการ ‘ก้าวคนละก้าว’ https://positioningmag.com/1151293 Fri, 22 Dec 2017 02:43:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151293 ต้องย้อนกลับมาดูกลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ การจะเกิด “ไวรัล” แคมเปญได้นั้นจะอาศัยเพียงแค่ ‘ปัง’ ในวันที่ปล่อยแคมเปญไม่ได้ ต้องคำนึงถึง Sentiment ของกระแสที่จะเกิดขึ้นด้วย หากเป็นเรื่องดี ๆ ก็จะได้แรงชาวโซเชียลช่วยกระพือให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น และการใช้ Influencer ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แคมเปญนั้น ๆ ประสบความสำเร็จได้

ในวันที่บทความนี้ออกไปคาดว่า “พี่ตูน” คงวิ่งจนใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเต็มทีแล้ว (ในขณะที่ยอดเงินบริจาคนั้นได้ทะลุเป้าหมายไปเรียบร้อยแล้ว) ก่อนที่พี่ตูนจะวิ่งจนถึงแม่สาย เรามาลองมาดูกันก่อนหน่อยดีกว่า ว่าที่ผ่านมาชาวโซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแคมเปญนี้กันบ้าง

บริษัท THOTH ZOCIAL ได้ทำการเก็บข้อมูลการพูดถึงโครงการ ก้าวคนละก้าว ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน จนถึง วันที่ 10 ธันวาคม 2560 (ซึ่งยอดบริจาคนั้นทะลุ 700 ล้านบาทตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 ธันวาคม) โดยชาวโซเชียลได้มีการพูดถึงโครงการนี้ทั้งหมด “มากกว่า 2 ล้านข้อความ” และได้รับค่า “Engagements มากกว่า 100 ล้านครั้ง”

Top Engagement Content

Facebook

  • Reaction : > 224K
  • Comment : > 10K
  • Share : > 86K

Twitter

  • Like : > 11K
  • Retweets : > 96K

Instagram

  • Like : > 480K
  • Comments : > 500

Word Clouds

มีคนดูพี่ตูนวิ่งผ่าน Live มากแค่ไหน?

ในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม

มีคนดู Live พี่ตูนวิ่งจากเพจก้าวคนละก้าว (นับยอดคนดูเฉพาะตอนที่ LIVE โดยไม่รวมคนดูย้อนหลัง) ทั้งหมด 3,256,643 Views เฉลี่ยประมาณ 24,000 Views ต่อ Live และได้รับ Engagement บน Live ทั้งหมด 8,132,227 ครั้ง

โดยยอด View สูงสุดคือจำนวน 74,400 Views โดยเกิดขึ้นบน Live ในวันที่ 3 ธันวาคม ช่วงสามทุ่มครึ่งที่พี่ตูนวิ่งในโซนกรุงเทพฯ นั่นเอง

โดยช่วงเวลาที่คนนิยมเข้าไปดู Live ก็จะเป็นคลิปที่ถูก Live ในช่วงเย็น ๆ ของทุกวัน หรือสาย ๆ ของวันจันทร์และอังคาร

หากดู ‘โพสต์ทั้งหมด’ บนเพจ “ก้าว” พบว่าอัตราการ Engagement ในรูปแบบต่าง ๆ มีแนวโน้มแตกต่างกันเล็กน้อย โดยที่ค่า Reactions และ Comment นั้นมีค่าเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ Share มีแนวโน้มที่ค่อย ๆ ลดลง ซึ่งอาจหมายถึงคนยังคงให้ความสนใจและติดตามเหมือนเดิม แต่ด้วยแคมเปญดำเนินมาระยะเวลาหนึ่งการแชร์เพื่อประกาศตัวตนหรือช่วยกระจายจึงค่อย ๆ ลดลง

สำนักข่าวที่โพสต์ข่าวนี้มากที่สุด

โครงการก้าวคนละก้าวของพี่ตูนมีสำนักข่าวพูดถึงบนออนไลน์ทั้งหมด 3,722 ข่าว โดยสำนักข่าวที่พูดถึงโครงการมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ

  1. Bangkokbiznews.com 480 ข่าว
  2. Thairath.co.th 353 ข่าว
  3. Today.line.me 349 ข่าว
  4. Khaosod.co.th 250 ข่าว
  5. News.kapook.com 237 ข่าว

ดูเหมือนพี่ตูนและโครงการก้าวคนละก้าว ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดบนโลกโซเชียลมีเดีย ด้วยจำนวนการพูดถึงและ Engagement ที่ท่วมท้น เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นได้อย่างจริงจังว่าคนหนึ่งคนทำอะไรได้บ้าง และโซเชียลมีเดียนั้นมอบพลังให้คนธรรมดาได้มากมายแค่ไหนหากใช้มันอย่างถูกวิธี ทำให้นักการตลาดต้องย้อนกลับมาดูกลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ การจะเกิด “ไวรัล” แคมเปญได้นั้นจะอาศัยเพียงแค่ ‘ปัง’ ในวันที่ปล่อยแคมเปญไม่ได้ ต้องคำนึงถึง Sentiment ของกระแสที่จะเกิดขึ้นด้วย หากเป็นเรื่องดี ๆ ก็จะได้แรงชาวโซเชียลช่วยกระพือให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น และการใช้ Influencer ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แคมเปญนั้น ๆ ประสบความสำเร็จได้

ที่มา : บริษัท THOTH ZOCIAL

]]>
1151293
จาก “พี่เบิร์ด” ถึง “พี่ตูน Phenomenon” ฟีเวอร์ Real Marketing เท่านั้นถึงจะเอาอยู่ https://positioningmag.com/1147684 Wed, 22 Nov 2017 22:55:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147684 นาทีนี้ ใครไม่พูดถึง “พี่ตูน บอดี้สแลม” อาทิวราห์ คงมาลัย ต้องถือว่า ตกยุค เชยสะบัด แน่นอน เพราะนอกจากพี่เขาจะทำดีเพื่อส่วนรวม ขันอาสาวิ่ง 2,191 กิโลเมตร (กม.) จากเบตงถึงเชียงราย ในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ระดมเงิน 700 ล้านบาท ช่วย 11 โรงพยาบาล

“พี่ตูน” ยังเป็นกรณีศึกษาที่นักการตลาดต้องหยิบยกมาเปรียบเทียบกับการสร้างแบรนด์ เพราะนี่คือปรากฏการณ์ (Phenomenon) ที่ทำให้ “คนรัก” ได้อย่างแท้จริง ซึ่งแบรนด์ต้องการแบบนั้น “ให้ผู้บริโภครัก” (Brand Love)

สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์

“สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์” นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย บอกว่า พี่ตูนPhenomenonเกิดขึ้น เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับนักการตลาดที่ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ใช้ “ความจริงใจ” บนเส้นทางที่เขาทำตั้งอยู่บนความจริง เปรียบเสมือนReal Marketingที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ ไม่มีเบื้องหลัง แม้มีใครออกมาแสดงความเห็นในเชิงลบ ก็ไม่สนใจ ไม่ฟัง ที่สำคัญ กลับมีคนออกมาเถียงแทนและ “ปกป้อง” ด้วยซ้ำ

สิ่งที่พี่ตูนทำ ไม่เพียงเกิดจากส่วนตัวเอง (Individual) แต่เป็นการขยายผลกระทบในวงกว้างต่อสังคม (Social) ทำให้เกิดการดึงดูดความสนใจจากประชาชน การถามหาบนโลกออนไลน์ และเกาะติดตามเรื่องราวพี่ตูน ถ้าเป็นสินค้า นี่จะนำไปสู่ “การซื้อมาใช้งาน” หากใช้แล้วประทับใจ จะกลายเป็นผู้บริโภคที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ (Loyal Customer) ซึ่งจาก Individual to Social เป็น 1 ใน “เทรนด์” สำคัญของการทำตลาดในยุคดิจิทัลด้วย

ส่วนการวัดผลลัพธ์ของการกระทำหรือ KPI เปรีบเทียบในการทำตลาด คือ “ตัวเงินบริจาค” แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการที่ตูนลงมือทำ มิตินี้สำหรับการตลาดคือBrand Executeเพื่อปลุกกระแสการมีจิตสำนึกบางอย่างให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ

“เมื่อ Brand Execute กระแสจะมาเอง นี่คือ Real Marketing”

กรณีศึกษาดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นว่า ยุคนี้แบรนด์จะมาทำการตลาดโดยใช้ “กิมมิก” เพื่อเรียกกระแสให้เกิดขึ้น สุดท้ายผู้บริโภคก็จะรู้ทันว่าแบรนด์ต้องการอะไร ดังนั้น การทำตลาดและสร้างแบรนด์ จึงไม่ควรตั้งต้นจาก “กระแส”

ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่สร้างกระแสในลักษณะดังกล่าว ระดับโลกยกให้ iPhone VS Samsungเพราะกลายเป็นแบรนด์ที่มี “สาวก” ทั่วโลก และหากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งถูกพาดพิงในเชิงลบ สาวกเหล่านั้นจะออกมา “โต้ตอบ” แก้ตัวแทน เพื่อปกป้องแบรนด์ที่รักทันที

นอกจากนี้ มี “พี่เบิร์ดPhenomenon” มาแล้ว เวลานี้มีพี่ตูนPhenomenon ซึ่งบุคคลเหล่านี้ขยับตัวเมื่อไหร่ จะสร้างความน่าสนใจให้กับ “ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย” ได้ทันที

สร้างให้เกิดส่วนร่วมและแชร์ต่อคีย์พอยนต์สำคัญ

ดั่งใจถวิล อนันตชัย

ดั่งใจถวิล อนันตชัย COO, MD INTAGE THAILAND มองว่า “ปรากฏการณ์ตูน” สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น “เรียลแบรนด์” ที่สามารถสร้างอิมแพกต์กับผู้บริโภค ผ่าน Passion และ Purpose หรือการวางเป้าหมายชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์และเกิดการแชร์ต่อ

กรณีของตูนนั้น ได้กระตุ้นให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ ด้วยการบริจาคเงิน หรือให้ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง เพื่อลดภาระของหมอและโรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ไปช่วยผู้ป่วยที่จำเป็นจริงๆ สามารถตอบสนองความต้องการให้คนรู้สึกดีกับตัวเอง ว่าได้มีส่วนร่วมในการบริจาค หรือวิ่ง เมื่อรู้สึกดีก็จะเกิดการแชร์ต่อ

ถ้าสังเกตให้ดี ตูนใช้สื่อ “ดิจิทัล” น้อยมาก ให้ความสำคัญในเรื่องของ “สาร” เป็นหลัก โดยใช้ดิจิทัลเป็นเพียงหนึ่งในช่องทางในการสื่อสารเท่านั้น สะท้อนให้แบรนด์ยุคนี้ ไม่ควรให้น้ำหนักกับ ”สื่อ” มากกว่า “สาร” ที่ส่งไปยังผู้บริโภค

การวัดผลความสำเร็จของแคมเปญการตลาดก็เช่นกัน ถ้าเป็นอดีต ต้องวัดกันที่ยอดขาย แต่ยุคนี้ต้องวัดกันที่สามารถทำให้เกิดแรงกระทบหรือ Influence ต่อผู้บริโภคเกิดการตอบรับได้อย่างไร ซึ่งกรณีของตูน นั้นสามารถวัดได้ทั้งยอดบริจาคที่เป็นตัวเงิน และการตอบรับจากคนทั่วไปที่เข้ามามีส่วนร่วม

นอกจากนี้ แบรนด์ในอดีตมักจะหา “จุดขายที่สร้างความแตกต่าง” ทำให้แบรนด์ส่วนใหญ่จึงพยายาม “ขายของ” มากเกินไป จนลืมนึกถึงความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการเข้าถึงผู้บริโภคยุคนี้ ที่มองหาแบรนด์ที่จะตอบสนองความคาดหวัง ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ยุคนี้ต้องหาให้เจอ คือ สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง  ตูน นั้นแม้จะเป็นนักร้อง แต่เขาไม่ได้ขายเสียงเพลง ด้วยการจัดคอนเสิร์ต เพราะมองว่าเข้าถึงคนแค่บางกลุ่ม และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่สิ่งที่เขานำเสนอ คือ การคาดหวังของคนที่ต้องการช่วยเหลือโรงพยาบาล

แบรนด์ต้องคอยตรวจสอบด้วยว่า ถ้าไม่มีแบรนด์ของเราอยู่แล้วลูกค้าจะคิดถึง ถามหาหรือไม่ ถ้าแชร์ เพอเพิสแบรนด์  ต้องถามลูกค้าว่า ถ้าแบรนด์เราไม่อยู่ เขาจะคิดถึงเรามั้ย…กรณีพี่ตูน ถือเป็นปรากฏการณ์คนที่สองของประเทศไทย ที่ทุกคนจะนึกถึงทุกวัน

ถ้าไม่เรียนรู้จาก “ตูน” จะเสียโอกาส

 ปรากฏการณ์ตูน ไม่ใช่แค่วิ่ง และรับเงินบริจาค เพื่อบรรลุเป้าหมายช่วยโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังให้บทเรียน และสะท้อนสิ่งที่คนไทยและผู้บริโภคไทยเป็นอยู่ และกำลังเป็นไป หากใครไม่เรียนรู้ จะเสียโอกาสมาก

ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ภาพจากมูลนิธิมั่นพัฒนา

ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการโครงการ Sustainable Brands ประจำประเทศไทย และที่ปรึกษาและวางกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ มองว่า ปรากฏการณ์ตูน สะท้อนความคิด และความเป็นไปของสังคมในหลายมิติ คือ คนมองหาโอกาสในการทำความดี สังคมต้องการผู้นำที่จริงใจ และทุกคนเป็นโลคอลฮีโร่ได้

คนมองหาโอกาสในการทำความดี เมื่อมีคนสร้างโอกาส ความมีส่วนร่วมก็มีมากขึ้น ไม่ได้หมายถึงต้องวิ่งเหมือนตูน หรือวิ่งไปกับตูน แต่แค่ร่วมบริจาค ก็รู้สึกว่ามีส่วนร่วมได้ทำความดี เหมือนได้อยู่ในขบวนการทำความดีกับตูนด้วย

สังคมต้องการผู้นำที่จริงใจ ทุกสังคมต้องการคนมาเป็นต้นแบบ เพราะคนเรามีความกล้า และความขยันไม่เหมือนกัน เมื่อมีคนนำได้ก็จะทำตามได้ง่าย เมื่อเป็นผู้นำที่พาสังคมร่วมกันทำความดีก็จะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับชื่นชม

ดาราร่วมแทกทีมวิ่งไปกับตูน

นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่คนตัวเล็ก ๆ องค์กรเล็ก ๆ หากจะทำอะไรดี ๆ ไม่ต้องรอให้รัฐบาล หรือบริษัทใหญ่เริ่มก่อน ทำได้เองเลย และก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำแค่ลำพัง เพราะในที่สุดจะมีคนร่วมขบวนด้วย เพราะพลังของสื่อโดยเฉพาะโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน

แต่แน่นอนว่า ต้องมีการวางแผน เพราะการวิ่งระยะเวลาถึง 55 วัน ระยะทางกว่า 2,191 กม. จากเบตง ยะลา ถึง แม่สาย เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. – 25 ธ.ค. ด้วยเป้าหมายเงินบริจาค 700 ล้านบาท โดยผ่านไปประมาณ 20 วัน มีคนร่วมในเส้นทางจำนวนมาก ต้องมีการจัดการที่ดี และมีผู้สนับสนุน ไม่เช่นนั้นทำไม่ได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ในการทำโครงการใหญ่ขนาดนี้

5 พลังสังคมจุดติดปรากฏการณ์ตูน

ปรากฏการณ์ตูนเกิดขึ้นได้เพราะพลังสังคม (Social Power) พร้อมกับมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ซึ่งการจะมีส่วนร่วมเกิดขึ้นได้ เมื่อรู้สึกว่าเห็นปัญหาเหมือน ๆ กัน คนไทยทุกคนไปโรงพยาบาล และรับรู้ถึงความขาดแคลน นี่คือปัญหาที่มีผลกระทบต่อสังคม (Social Impact) ที่เป็นประเด็นที่ทุกคนอยากให้มีการแก้ไข และทำให้ดีขึ้น

ที่สำคัญยังต้องการเปิดให้สังคมมีส่วนร่วม (Social Engagement) ภาพที่เห็นง่าย ๆ ตรงไปตรงมา คือ การที่ตูนวิ่ง และมีการทักทายคนที่มารอ ยกมือไหว้ หอมเด็ก ๆ กอดแฟน ๆ ร่วมร้องเพลงกับเด็ก ๆ ไม่ได้มีการ์ดมากันมากจนเกินไป ดูติดดิน ทำให้คนรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย จับต้องได้

ภาพเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดทั้งสื่อเดิมอย่างทีวี คนดูเป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งทางโซเชียลมีเดียที่คนรุ่นใหม่ใช้ คนในประเทศได้เห็น คนต่างประเทศก็เห็น ทุกคนพูดคุยเรื่องตูนกันได้หมด

ปรากฏการณ์นี้ยังมีพลังของคนที่สนับสนุนตูน (Social Advocacy) เกิดขึ้นจำนวนมาก อย่างที่เห็น การขอความร่วมมือกันเองของประชาชนว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่างนี้กับตูน เช่น เรื่องเซลฟี่ การรวมตัวกันถ่ายภาพหมู่ การเป็นปากเสียง ชี้แจงแทนให้เมื่อมีข้อมูลไม่ถูกต้องเผยแพร่ การเตือนกันเรื่องการถูกหลอกลวงบริจาค

ภาพจากเพจ ก้าวคนละก้าว

หลักการจริงใจ ทำต่อเนื่อง

การจุดติดนี้มีพื้นฐานที่สำคัญคือ “ความจริงใจ” ที่ไม่ได้สร้างได้เพียงข้ามคืน เพราะตูนมีมุมของความใส่ใจสังคม และเคยทำโครงการก้าวคนละก้าวครั้งแรกมาแล้ว เมื่อโครงการก้าวคนละก้าวครั้งที่สองนี้เกิดขึ้น จึงสานต่อได้ง่าย

ดร.ศิริกุล บอกว่า นี่คือหลักของการทำอย่างต่อเนื่อง เหมือนแบรนด์ถ้าจะทำให้คนยอมรับ ก็ต้องดีตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การสร้างภาพเป็นคนดี เพราะสังคมต้องการความจริงใจ ไม่ว่าจากทั้งคน หรือสินค้าบริการ

เมื่อทำแล้วต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งในยุคปัจจุบันการทำง่ายขึ้น เพราะมีโซเชียลมีเดีย และแต่ละองค์กรสามารถมีสื่อของตัวเองเพื่อสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ข้อระวังคือหากทำไม่ต่อเนื่อง จะทำให้คนสงสัย และที่สุดจะมีผลเสียต่อแบรนด์

ส่วนแบรนด์ไหนที่คิดว่าจะเข้ามาฉวยโอกาสกับปรากฏการณ์ตูนนั้น ดร.ศิริกุลเตือนว่า ถ้าใครฉวยโอกาสตอนนี้ จะไม่เหลืออะไร ต้องดูกาลเทศะ ใครจะเข้ามาเกาะแสให้หยุดคิด และควรไปคิดว่าจะทำอะไรที่ดีกับสังคมได้บ้างดีกว่า แต่ก็เชื่อว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาฉวยโอกาสในเวลานี้

ดร.ศิริกุล สรุปว่า ปรากฏการณ์นี้ ถ้าใครไม่เรียนรู้จากตูน จะถือว่าเสียโอกาสมาก.

]]>
1147684
เปิดใจผู้บริหารแกรมมี่ “ตูน” บุคลากรที่มีคุณค่า ไม่ใช่สินค้า! ยอมทิ้งรายได้ 30 ล้าน เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับกลับมา https://positioningmag.com/1147463 Tue, 21 Nov 2017 08:10:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147463 ผู้บริหารแกรมมี่ยกตูน บอดี้สแลมเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า ไม่ใช่สินค้า เป็นมืออาชีพมากกว่าคำว่าศิลปิน ถึงจะสูญเสียมูลค่าเรื่องตัวเลข แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีค่ามหาศาล ไม่จัดคอนเสิร์ตเพราะคุณค่าทางจิตใจต่างกัน

ยอมเสียรายได้ครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว สำหรับต้นสังกัด ตูน บอดี้สแลมอาทิวราห์ คงมาลัย กรณีที่นักร้องดังเบรกงานเพื่อโครงการก้าวคนละก้าว ทิ้งเงินกว่า 30 ล้านเพื่อระดมทุนช่วยเหลือ 11 โรงพยาบาล

นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการผลิตและโปรโมชั่นเพลงบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด มหาชน ยอมรับต้นสังกัดสนับสนุน และสิ่งที่ได้กลับมามีมูลค่ามากกว่าเรื่องตัวเลข

“โดยปกติ วงบอดี้สแลมจะรับงานประมาณ 15-20 งาน ไม่เกิน 20 งานต่อเดือน การที่ตูนไปทำกิจกรรมก้าวคนละก้าว ไม่รับงาน 3 เดือน ก็ถือว่าเยอะอยู่ แต่ตูนเขามองว่าโครงการนี้มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจ เขาอยากที่จะทำ และเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งตรงนี้เพื่อนๆ และทีมงานในวงก็เห็นด้วย  

ส่วนของค่ายจีนี่ฯ ที่ทำงานปกติก็ทำไป เราจัดสรรคนเข้าช่วยสนับสนุนในเรื่องต่างๆ ให้กับตูน ส่วน รายได้เสียไปเยอะ แต่มองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันเป็นรายได้ที่หาได้ต่อไปในอนาคต ผมไม่แน่ใจว่าค่าตัวของวงเขาเท่าไหร่ เรียกว่าหลายแสนต่อครั้ง (เห็นว่าประมาณ 450,000-500,000บาท?) อันนี้ก็ต้องไปประเมินเอาเอง

ย้ำเสียมูลค่าเรื่องตัวเลข แต่สิ่งที่ได้กลับมามหาศาล

เรามองว่าสิ่งที่ตูนทำมันได้คุณค่ามาก เราอาจจะสูญเสียมูลค่าเรื่องของตัวเลขไป แต่คุณค่าที่ได้กลับมา ลองคิดนะว่าเราต้องใช้มูลค่าแค่ไหนที่ได้คุณค่าแบบนี้กลับมา มันเป็นมูลค่าที่มหาศาลเลยนะ ที่จะสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมแบบนี้ การที่ตูนทำแบบนี้ ในทางกลับกันเขาได้สร้างประโยชน์ให้กับชื่อของวง และตัวค่ายเองก็ได้อานิสงส์ไปด้วย ทางบริษัทแกรมมี่ฯ เองก็ได้ส่วนร่วมไปโดยปริยาย 

ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีที่เราควรสนับสนุน ถามว่าการที่เราส่งคนภายใต้บริษัทไป ไม่ได้เป็นการหนีงาน แต่เป็นการไปรับภาระงานที่หนักขึ้น นี่คือการสร้างชื่อเสียงอย่างหนึ่ง ถ้าคิดในเชิงธุรกิจ แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่าทั้งตูนและทางค่ายไม่เคยคิดถึงตรงจุดนี้เลย ความตั้งใจของตูนในการทำโครงการนี้ มาด้วยความบริสุทธิ์ใจของเขา ที่เขาเอาตัวเองมาทำเพื่อสังคม ซึ่งถ้าถามว่าเราสูญเสียอะไร เราไม่มีคำว่าสูญเสีย เรามีแต่ได้กับได้

แจงเหตุไม่จัดคอนเสิร์ตเพราะคุณค่าทางใจที่ได้รับกลับมาน้อยกว่า

ถ้าทำแบบนั้นคุณค่าจากความตั้งใจทำของเขามันจะเปลี่ยนไป ตอนนี้ทุกหย่อมหญ้ารู้จัก พี่ตูน เวลาตูนไปไหนต่อจากนี้เขาจะได้รับการต้อนรับมากขึ้นจากวงกว้าง แต่อย่างที่บอกสิ่งที่ตูนทำเขาทำมาจากใจของเขา เขาไม่ได้คิดว่าจะได้ผลประโยชน์อะไรกลับมา มันอาจจะง่ายกว่ากับการที่จัดคอนเสิร์ต แต่คุณค่าทางใจที่ได้กลับมา มันน้อยกว่า สิ่งที่เขาทำไม่ได้เป็นการโปรโมตให้ตัวเองดัง แต่เป็นการที่เขาเอาชีวิตของเขาเข้าไปแลก ผลที่กลับมาคือ ยิ่งให้ยิ่งได้

กเป็นบุคลากรที่มีมูลค่า ไม่เคยมองว่าเป็นสินค้า ในฐานะต้นสังกัด ไม่คิดว่าบริษัทจะต้องเสียมูลค่า

เรื่องนี้เป็นความชอบส่วนตัวของเขาเป็นสิ่งที่เราสั่งเขาไม่ได้มันเป็นความต้องการของเขาเองสิ่งที่เขาทำมันเป็นสิ่งที่ดีน่าสนับสนุนสิ่งที่เราทำคือสนับสนุนเขาถามว่ามีการทำประกันชีวิตเขามั้ยเขาคงมีอยู่แล้วไม่ต้องไปห่วงเขา

ส่วนเรื่องที่ว่าเขาคือบุคลากรที่มีมูลค่าของเรา อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าใช่ เขาคือบุคลากรที่มูลค่า แต่เราไม่เคยมองว่าเขาคือสินค้า เราไม่ได้คิดแบบฝรั่งที่แบบว่า ศิลปิน นักฟุตบอล หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง มูลค่าของเขาทางธุรกิจจะเป็นเท่าไหร่ ยังไง แต่เรามองเขาคือคนไทยคนหนึ่งที่เสียสละตัวเอง  เราในฐานะที่เป็นต้นสังกัดเราควรยินดี ไม่ใช่มาคิดว่าเราจะเสียมูลค่าเท่าไหร่ จากเขาในเชิงธุรกิจ สิ่งที่เราคิดคือ เขาไปทำงานหนักขนาดนี้ เขาควรจะได้รับการดูแลอย่างดี และการสนับสนุนอย่างดี เราเชื่อว่าตูนเขารู้ตัวเองดี และเขาก็มองว่านี่คือโครงการส่วนตัวของเขา เขาก็ไปดิ้นรนทำของเขาส่วนหนึ่ง ไม่ได้เป็นภาระของค่ายทั้งหมด ค่ายแค่อยู่ในส่วนของการช่วยสนับสนุนเท่านั้น

เลื่อนปล่อยซิงเกิลใหม่ไปเป็นปีหน้า ยกเป็นมืออาชีพที่เหนือกว่าศิลปิน

จริงๆ จะมีเพลงปล่อยในช่วงนี้ แต่ไม่เป็นไรก็เลื่อนออกไปประมาณมกราคมปีหน้า เอ็มวีอะไรก็ถ่ายเสร็จไปแล้ว ไม่ต้องห่วงเขาเลย ผมจะบอกเลยว่าเหนือกว่าศิลปินก็คือมืออาชีพ ตูนคือคนหนึ่งที่เป็นมืออาชีพ เขามีโรดแมปของเขา ตูนและวงบอดี้สแลมเขามีแนวทางของเขา ค่ายแทบไม่ต้องวางอะไรให้เลย ค่ายมีหน้าที่แค่สนับสนุนเขา.

ที่มา : mgronline.com/entertainment/detail/9600000117469

]]>
1147463
เคาะตัวเลข “ตูน บอดี้สแลม ยอมทิ้งรายได้ 20 ล้าน วิ่งก้าวคนละก้าวฯ https://positioningmag.com/1146944 Thu, 16 Nov 2017 10:04:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1146944 ภาพจาก: แฟนเพจ bodyslamband

เมื่อ ตูน บอดี้สแลม” (อาทิวราห์ คงมาลัย) ตัดสินใจออกมาทำกิจกรรมวิ่งในโครงการ ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงธันวาคมแล้ว ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

นอกจากจะเสียสละร่างกายในการวิ่งเป็นระยะทางถึง 2,191 กิโลเมตรแล้ว ถ้าลองมาคำนวณรายได้” ที่เจ้าตัวและวงจะต้องเสียไปจากการเอาเวลามาวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าวฯ ครั้งนี้แล้ว ต้องบอกว่าเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว

สำหรับอัตราค่าว่าจ้างวงบอดี้สแลมในการแสดงนั้น ทั่วไปจะอยู่ที่ชั่วโมงละ 4 – 5 แสนบาท ซึ่งหากคิดราคาโดยประมาณในการเล่นคอนเสิร์ตหนึ่งครั้ง (ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง) ทางวงจะมีรายรับอยู่ที่ประมาณ 7 แสนบาท

และเมื่อย้อนกลับไปดูตารางการแสดงคอนเสิร์ตของวงก็จะพบว่า หากเป็นเดือนทั่วๆ ไปที่ไม่มีเทศกาลอะไร บอดี้สแลมจะรับงานประมาณเดือนละ 7-10 คอนเสิร์ต หากแต่เป็นเดือนที่มีช่วงเทศกาล เช่น เมษายน หรือช่วงปลายปีเช่นนี้แล้ว คิวการแสดงก็จะเพิ่มขึ้นมากว่า 10 ครั้งต่อเดือน สูงสุดไม่เกิน 20 ครั้ง

สำหรับการวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าวฯ นั้นจะกินระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 .ไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งตีซะว่าใช้เวลารวมๆ ก็คือ 2 เดือน ดังนั้นเมื่อคิดรายได้เฉพาะการแสดงคอนเสิร์ตเพียงอย่างเดียวของทางวงที่หายไปก็จะอยู่ที่ 15,400,000 – 19,600,000 บาทเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเสียพลังงานเสียรายได้ไปสักเท่าไหร่ แต่กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าถึงตรงนี้สำหรับเจ้าตัวแล้วมันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มชนิดที่ว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้อย่างแน่นอน..

ที่มา : mgronline.com/entertainment/detail/9600000115515

]]>
1146944