ธนาคารกสิกรไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 05 Aug 2024 05:16:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 KBank ESG Highlight กับการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน https://positioningmag.com/1485029 Mon, 05 Aug 2024 03:22:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485029 ธนาคารกสิกรไทย มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่วางใจได้ สร้างคุณค่า และส่งมอบความยั่งยืนให้กับทุกคน ด้วยการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน โดยดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรมบนหลักธรรมาภิบาลที่ดีและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักการแนวคิด ESG ที่ธนาคารนำมาผนวกเข้ากับทุกการดำเนินงาน

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้าน ESG ของกลุ่มธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ธนาคารจึงไม่หยุดที่จะพัฒนาการทำงาน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานทั้งในระดับประเทศและสากล เกิดเป็นผลการดำเนินงานดังนี้

Environmental – มุ่งมั่นสู่การเป็น Net Zero และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถปรับตัวสู่สังคมไร้คาร์บอนและอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ

  • สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ลดได้ 74% จากปีฐาน (ปี 2563) และมีการจัดการด้านคาร์บอนเครดิต ส่งผลให้ได้รับการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาแล้ว 6 ปีต่อเนื่อง (2561-2566)
  • สนับสนุนสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะมียอดสะสมเป็น 94,670 ล้านบาท (2565-มิถุนายน 2567) และมียอดสะสมเป็น 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 นี้
  • วางแผนกลยุทธ์ลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
  • พัฒนา Climate Solutions อย่างครบวงจรในทุกมิติที่มากกว่าการเงิน ทั้งเรื่องความรู้ด้าน ESG เพื่อธุรกิจ ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และการจับคู่ธุรกิจกลุ่ม ESG บูรณาการศักยภาพทั้งโซลูชัน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจไปสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เตรียมความพร้อมในการเชื่อมต่อใน Carbon Ecosystem ในธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนเครดิต
  • ผนึกกำลังร่วมกับ 25 องค์กรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เชื่อมโยงการทำงานของทั้ง 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคการเงินและการธนาคาร องค์กรและธุรกิจต่างประเทศ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: ThaiCBN) เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

Social – มอบความรู้และส่งเสริมวินัยทางการเงินบนพื้นฐานของการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ หรือResponsible Lending รวมทั้งการให้ความสำคัญแก่การดูแลพนักงานและสังคม ภายใต้การดำเนินงานที่เคารพสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียทุกท่าน

  • ให้ความรู้ทางการเงินการลงทุน สิ่งแวดล้อม และทักษะต่าง ๆ แก่ผู้ด้วยโอกาส 53,886 คน ในปี 2566
  • ให้ความรู้ด้าน Cyber Security สื่อสารผ่านช่องทางโซเชียล มีเดียของธนาคาร เข้าถึงผู้อ่าน 2 ล้านคน
  • ส่งเสริมความหลากหลายและการปฏิบัติด้านแรงงานอย่างเท่าเทียม มีการพัฒนาศักยภาพและทักษะพนักงานผ่าน หลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งดูแลด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี
  • ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างเหมาะสม
  • มีการประเมินสิทธิมนุษยชนแบบรอบด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินงานของธนาคารตั้งอยู่บนแนวทางของการเคารพสิทธิมนุษยชน

Governance – ดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกด้านของลูกค้า

  • ยอดสินเชื่อโครงการและเครดิตเชิงพาณิชย์ของลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ทั้ง 100% มูลค่า 389,240 ล้านบาท
  • ประเมินและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมไปถึงความเสี่ยงด้านความยั่งยืนESG และ Climate Risk
  • ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยปฏิบัติตามมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งของประเทศไทยและระดับสากล
  • รวบรวมข้อมูลความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการของธนาคารให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน

ธนาคารกสิกรไทย พร้อมเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาคธุรกิจ ลูกค้า  ผู้กำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบาย องค์กรแหล่งความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนภาคการเงินและตลาดทุน บูรณาการศักยภาพ ต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลให้เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยขับเคลื่อนทุกความต้องการของลูกค้า รวมถึงคว้าโอกาสที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

 

]]>
1485029
“orbix” บุกตลาดกระดานเทรดคริปโตด้วยจุดขาย “Easy & Trustworthy” ตั้งเป้าปี 2567 จำนวนผู้ใช้งานโต “10 เท่า” https://positioningmag.com/1470857 Wed, 24 Apr 2024 12:28:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470857

orbix” (ออร์บิกซ์) กระดานเทรดคริป ชูจุดขายบุกตลาดด้วยกลยุทธ์​ “Easy & Trustworthy” ขอเป็นกระดานเทรดที่ “ไว้ใจได้” มากที่สุด ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่และนักลงทุนสถาบัน ตั้งเป้าปี 2567 จำนวนผู้ใช้งานเติบโต “10 เท่า” ขึ้นเป็น Top 3 ของประเทศไทยภายใน 3 ปี มั่นใจสินทรัพย์ดิจิทัลกลับมาฮอตจากปัจจัยบวกส่งเสริม

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 กลุ่มธนาคารกสิกรไทยประกาศรุกเข้าสู่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจร โดยดำเนินการผ่านบริษัทลูก “บริษัท ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด” เข้าซื้อกิจการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และเปลี่ยนชื่อกระดานเทรดจาก Satang Pro เป็น orbix” (ออร์บิกซ์)

จนถึงวันนี้กระดานเทรด “orbix” พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าเต็มพิกัดในตลาด ผ่านกลยุทธ์ชูจุดขายเป็นกระดานเทรดที่ “Easy & Trustworthy”

(ซ้าย) “ชาญวิทย์​ รุ่งเรืองลดา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด และ (ขวา) “ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์” ประธานกรรมการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด

“ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์” ประธานกรรมการ และ “ชาญวิทย์​ รุ่งเรืองลดา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด สองหัวเรือใหญ่ของ orbix ร่วมกันเปิดเผยแนวทางกลยุทธ์ของ orbix ที่จะช่วยจับกลุ่มตลาดลูกค้าที่แตกต่าง ดังนี้

“Easy” – ใช้ง่ายและสะดวก

  1. การยืนยันตัวตน – ทำได้ผ่าน NDID สำหรับลูกค้าทั่วไป และยืนยันตัวตนบน K+ สำหรับลูกค้าธนาคารกสิกรไทย
  2. ฟีเจอร์ Wallet Lock ที่มีระบบการล็อกกระเป๋าสองชั้น ลูกค้าสามารถตั้งค่าเปิดปิด Wallet Lock ได้ด้วยตนเอง
  3. ฟีเจอร์ Price Alert ตั้งเตือนราคาที่ใช่ ไม่ต้องเฝ้าจอ ไม่พลาดทุกโอกาสการซื้อขาย โดยสามารถเลือกเหรียญที่ต้องการให้แจ้งเตือนได้ด้วยตนเอง
  4. ฟีเจอร์ orbix Balance ระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ ทำให้รู้กำไรขาดทุนทุกเหรียญ โดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ (*เปิดฟีเจอร์ภายในปี 2567)
  5. Seamless การเติมเงินไม่ต้องบันทึก QR CODE ให้ยุ่งยาก แต่สามารถลิงก์เข้าไปชำระเงินที่ K+ ได้โดยตรง (*เปิดฟีเจอร์ภายในปี 2567)

ตัวอย่างหน้าการใช้งานฟีเจอร์บนแอป orbix


“Trustworthy” – น่าเชื่อถือและไว้ใจได้

  1. เปิดเผยข้อมูลและโปร่งใส (Transparency) – orbix ให้ความสำคัญและจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการของบริษัทฯ ตามที่หน่วยงานกำกับกำหนด รวมถึงมีการจัดทำรายงาน Proof of Reserve เป็นรายเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและความโปร่งใสให้กับนักลงทุน
  2. การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่รัดกุม (Prudent Product Selection) – orbix มีกระบวนการคัดเลือกเหรียญตามเกณฑ์ ก.ล.ต. โดย orbix มีแผนในการเพิ่มเหรียญใหม่ๆ ที่มีคุณภาพเข้าสู่กระดานซื้อขาย (List) แต่ในขณะเดียวกันก็มีการทบทวนคุณสมบัติของเหรียญในกระดานซื้อ ขายอย่างสม่ำเสมอ หากเหรียญใดไม่ผ่านเกณฑ์ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อนักลงทุนก็จะมีการพิจารณานำออกจากกระดาน (Delist) โดยมีการพิจารณาทุกๆ 1 ปี
  3. การให้ความรู้แก่นักลงทุน (Investor Education) – orbix เชื่อว่าการให้ความรู้นักลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ มีการใช้วิธี ‘Gamification’ เข้ามาช่วยให้การให้ความรู้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย โดยมีการสร้างระบบ ‘Kryptonian Test’ ขึ้นมาให้นักลงทุนตอบแบบสอบถามเพื่อหาตัวตนว่าตนเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนใน 4 ประเภท เมื่อทำแบบทดสอบแล้วจะได้รับภาพประจำตัวจาก 4 ศิลปินชื่อดังเป็นของรางวัล

Kryptonian Test แบบสอบถามเพื่อค้นหาว่าคุณเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนใน 4 ประเภท

ดร.กรินทร์กล่าวว่า orbix ต้องการจะตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความน่าไว้วางใจเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็น ‘กลุ่มใหม่’ ที่ยังไม่เคยเข้ามาเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ผ่านมากลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่รับความเสี่ยงด้านความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้ แต่ยังไม่ลงทุนเพราะยังไม่ไว้วางใจในผู้ให้บริการ

“เราเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาใหม่จะเป็นคนละกลุ่มกับที่มีในตลาด กลุ่มนี้จะต้องการความมั่นใจ ความน่าเชื่อถือ ก่อนที่จะเข้ามาลงทุน รวมถึงเราคาดว่าจะได้ลูกค้าจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันด้วย” ชาญวิทย์กล่าวเสริม


เป้าหมายปี 2567 จำนวนผู้ใช้ขอเติบโต “10 เท่า”

ด้านเป้าหมายในการดำเนินการ เป้าระยะสั้นปี 2567 นี้ชาญวิทย์คาดหวังว่า orbix จะเติบโตทั้งจำนวนผู้ใช้งานและรายได้

โดยจำนวนผู้ใช้งานฐานเดิมของ Satang Pro มีอยู่ราว 500,000 คน เชื่อว่าหลังจากนี้ลูกค้าเดิมจะทยอยกลับมาใช้งาน และ orbix จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานรายใหม่อีก 10-15% ผ่านการจัดโปรโมชันต่างๆ เช่น ผู้ใช้งานใหม่มีสิทธิได้รับ Cash Back รวมสูงสุด 700 บาทจากแคมเปญ ‘Welcome to orbix’ และแคมเปญ ‘Kryptonian Deposit Bonus’ รวมไปถึงมีการเปิด ‘Kryptonian Referral Program’ ให้ผู้แนะนำและผู้ถูกแนะนำมีสิทธิรับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมจากการขายดิจิทัลโทเคน และมีการสร้างลอยัลตี้ต่อแพลตฟอร์มด้วยโปรแกรม OBX Reward Point ให้ผู้ใช้สามารถสะสมพอยต์จากการใช้งานเพื่อนำมาแลกของรางวัลพิเศษได้

ชาญวิทย์กล่าวว่า ในด้านของ ผู้ใช้งานประจำในแต่ละวัน (Daily Active Users) orbix ตั้งเป้าถึงสิ้นปีนี้จะเพิ่มจำนวนการเติบโต 10 เท่า

ด้านรายได้ของ orbix ก็จะต้องเติบโตสอดคล้องกับการใช้งาน โดยในปีนี้ orbix ตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 6 เท่า

ส่วนเป้าหมายระยะกลางของบริษัทฯ ชาญวิทย์มองว่า ภายใน 3 ปี orbix จะขอขึ้นเป็น Top 3 กระดานเทรดคริปโตในไทยให้ได้ ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้และปริมาณการเทรดต่อวัน


‘Bitcoin ETF’ และ ‘Bitcoin Halving’ ปลุกตลาดกลับมาฮอต

ในแง่สภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากสกุลเงิน Bitcoin ที่มูลค่ากลับมาเติบโตตั้งแต่ต้นปี 2567 จะปลุกตลาดให้คึกคักแล้ว ชาญวิทย์ระบุว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่จะเสริมให้ตลาดการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลกลับมา ได้แก่

  1. Bitcoin ETF – ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. สหรัฐฯ ทั้งหมด 11 กอง มูลค่ารวมประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันไหลเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
  2. Bitcoin Halving – อัตราการเกิดของ Bitcoin ใหม่จะลดลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปี ซึ่งเกิดการ Halving ไปเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา
  3. Ethereum ETF – มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต. สหรัฐฯ ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งจะช่วยเสริมแรงเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันอีกทางหนึ่ง
  4. ประเทศไทยมีนโยบายศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค (Digital Asset Hub) ทำให้มีมาตรการส่งเสริม เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Dealer) ที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทย
  5. คณะกรรมการ ก.ล.ต. ของไทย มีมติเห็นชอบ ปรับหลักเกณฑ์ให้นักลงทุนรายใหญ่พิเศษและนักลงทุนสถาบัน สามารถลงทุนใน Bitcoin ETF ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้

“เราเชื่อว่ากลุ่มที่กล้าเสี่ยงมากที่สุดน่าจะเข้ามาเทรดกันหมดแล้ว ที่จะเข้ามาต่อจากนี้คือกลุ่ม ‘เงินใหม่’ ที่เทรดคริปโตเป็นครั้งแรก และกลุ่ม ‘เงินใหญ่’ ซึ่งต้องการลงทุนระยะยาว orbix จะตอบโจทย์พวกเขาเหล่านี้ได้ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น น่าไว้วางใจด้วยการทำงานระดับ ‘bank grade’ ในฐานะบริษัทลูกของ ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด ภายใต้กลุ่มสถาบันทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย

]]>
1470857
KBank Private Banking และ Lombard Odier ชูแนวคิด Rethink Sustainability ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน https://positioningmag.com/1464208 Wed, 28 Feb 2024 16:21:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464208 ธนาคารกสิกรไทย และ Lombard Odier รวมถึง KBank Private Banking ได้ชูแนวคิด Rethink Sustainability ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน หรือ CBAM ที่กำลังใช้ในทวีปยุโรปในเวลานี้

อูแบร์ เคลเลอร์  Senior Managing Partner, Lombard Odier ได้ชี้ว่า เราพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมกันมาก แต่ปัญหาของสภาวะภูมิอากาศนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่โลกเรายังพบปัญหาอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ดินเป็นพิษจากสารเคมี น้ำทะเลที่มีความเป็นกรดมากขึ้น ฯลฯ

เราอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งมาพร้อมโอกาสในการลงทุนอย่างมหาศาล ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับธรรมชาติ

Senior Managing Partner ของ Lombard Odier ยกตัวอย่างว่า ในตอนนี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านด้านเศรษฐกิจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด 70% ของเศรษฐกิจโลก หรือการลดใช้วัสดุต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต การให้ราคากับธรรมชาติ

เขายังกล่าวว่าการที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจที่หันมาใช้พลังงานสะอาด หรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนให้ได้คือการทำให้ผู้คนส่วนมากหันมาใช้สิ่งดังกล่าวจนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้คนหันมาใช้จำนวนมาก (Tipping Point)

อูแบร์ ได้ยกตัวอย่าง เช่น ราคาแผงโซลาร์เซลล์ถูกขึ้น ราคาของ Battery ถูกลง หรือแม้แต่ความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากกว่ารถยนต์สันดาปที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว 

ไม่เพียงเท่านี้รัฐบาลในหลายประเทศ หรือแม้แต่เอกชน ยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อความยั่งยืนเหล่านี้ด้วย โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกรวมกันจะมากถึง 24.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 883 ล้านล้านบาท

เขายังชี้ว่าการผลักดันของรัฐบาลถือเป็นอีกส่วนที่อุ้มชูให้เกิด Tipping Point ขึ้นมาได้

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ (ซ้าย) อูแบร์ เคลเลอร์ (กลาง) และ พิพิธ เอนกนิธิ (ขวา) / ภาพจาก KBank Private Banking

นอกจากนี้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ อูแบร์ ได้ชี้ว่าโมเดลธุรกิจทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เขายกตัวอย่างกรณีของ Tesla ที่ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่บริษัทได้ขาย Battery ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐาน หรือการทำ Energy Distribution รวมถึงขาย Software บนรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

อูแบร์ได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมไอทีเองได้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาล และชี้ว่าสิ่งที่ลงทุนนั้นได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เขาชี้ว่ากำไรของกลุ่มไอทีในปี 2020 อยู่ที่ 20% มากกว่าในปี 1990 ซึ่งสัดส่วนกำไรอยู่ที่ 5% เท่านั้น

Senior Managing Partner ของ Lombard Odier ได้กล่าวทิ้งท้ายว่าช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านนั้นมาไวมาก เขาได้กล่าวถึงเรื่องการใช้พลังงานสะอาดนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คาด และทำให้การใช้พลังงานจากฟอสซิลลดลงไวด้วยเช่นกัน และบริษัทผลิตพลังงานจากฟอสซิลได้รับผลจากสถาบันการเงินมากขึ้น เช่น การไม่ปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก KBank Private Banking ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้ให้คำแนะนำการลงทุน มองว่านักลงทุนคือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้น แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแห่งอนาคตไปสู่ความยั่งยืนได้ด้วย

พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน และเป็นผู้นำด้าน ESG ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งธนาคารพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานภายในของธนาคารเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและยกระดับมาตรฐานสู่สากล

กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ธนาคารต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านของลูกค้าธนาคารสู่ความยั่งยืน โดยก้าวไปด้วยกัน และมองว่านี่เป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากในต่างประเทศเริ่มมีการใช้มาตรการมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน หรือ CBAM แล้ว อย่างเช่นทวีปยุโรป

]]>
1464208
KBTG ชูกลยุทธ์ 3 ปี ‘Human-first x AI-first Transformation’ เพื่อยกระดับการบริการในเครือธนาคารกสิกรไทย https://positioningmag.com/1463720 Thu, 22 Feb 2024 14:37:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463720 กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ชูกลยุทธ์ 3 ปีข้างหน้า ‘Human-first x AI-first Transformation’ หรือการขยายศักยภาพขององค์กรด้วยปํญญาประดิษฐ์โดยคงมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง และยังเตรียมงบลงทุนสูงสุดถึง 9,000 ล้านบาท เป้าหมายสำคัญคือเพื่อยกระดับการบริการในเครือธนาคารกสิกรไทย 

เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้กล่าวถึงการทำ Transformation ขององค์กรอย่าง KBTG ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคลากร หรือแม้แต่เทคโนโลยีต่างๆ ตั้งแต่ปี 2019 และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งไวกว่ากำหนดถึง 2 ปี

ผลลัพธ์ที่ได้คือ ระบบไอทีของธนาคารกสิกรไทยมีเสถียรภาพมากที่สุดเป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน มีเปอร์เซ็นต์ความพร้อมในการให้บริการของระบบมากถึง 99.99% รองรับธุรกรรมทางการเงินถึง 23.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 35% ของธุรกรรมทางการเงินในประเทศไทย

การยกระดับสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีให้ทันสมัย การปรับระบบการทำงานด้วย Agile และ Automation การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือแม้แต่การขยายองค์กรออกไปยังภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น

สำหรับกลยุทธ์ 3 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ KBTG ตั้งเป้าที่จะขยายศักยภาพขององค์กรด้วยปํญญาประดิษฐ์ (AI) โดยคงมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง เรียกว่า Human-first x AI-first Transformation เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ภาพจาก KBTG

กลยุทธ์ Human-first x AI-first Transformation ของ KBTG ประกอบไปด้วย

  1. ขยายขีดความสามารถด้านไอทีและเทคโนโลยีสู่ระดับโลก
  2. ตั้งเป้าเป็น AI-First Organization ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงปรับกระบวนการทำงานภายในองค์กร
  3. เพิ่มความสามารถในการผลิตด้วย Machine Learning และ AI รวมถึง Data (M.A.D) โดยตั้งเป้าหมายที่ 100,000 Man Days และทำงานเร็วขึ้น 2 เท่าภายใน 3 ปี
  4. เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถด้าน AI ให้กับพนักงาน KBTG รวมไปถึงบุคคลทั่วไป
  5. Transform สู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีระดับภูมิภาคแบบเต็มตัว
  6. พัฒนา KBTG ให้เป็นพื้นที่สำหรับคนที่มีฝีมือและใฝ่ฝันที่จะเติบโตในสายงานเทคโนโลยี

นอกจากนี้ KBTG ได้เตรียมงบลงทุนอีกประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท โดยเน้นไปที่การยกเครื่องระบบเครดิตจากต้นน้ำยันปลายน้ำ (Rearchitect E2E Credit), แพลตฟอร์มบริหารความมั่นคั่ง (Wealth Platform), AI, Credit Card และ Infrastructure as a Service ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างไอทีพื้นฐาน

สำหรับเทคโนโลยีที่ KBTG ได้นำ AI เข้ามาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ระบบเปรียบเทียบใบหน้า (Face Recognition) และยืนยันหน้าจริง (Face Liveness) ระบบตรวจสภาพรถยนต์แบบอัตโนมัติเพื่อประเมินความเสียหายจากรูปภาพ สำหรับธุรกิจประกัน ซื้อขายรถยนต์มือสอง และอื่นๆ

แผนการดังกล่าวของ KBTG เรืองโรจน์ มองว่าหลายๆ ส่วนนั้นเพื่อที่จะยกระดับการบริการของเครือธนาคารกสิกรไทย และการที่จะนำเทคโนโลยีไปแก้ปัญหาได้ต้องลงไปฟังเจ้าหน้าที่ที่ทำงานจริง ว่ามีปัญหาติดขัดในส่วนไหน เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีที่พัฒนาไปแก้ปัญหา หรือทำ Transformation

นอกจากนี้ เรืองโรจน์ ยังได้กล่าวถึงเรื่องของการ Transformation ว่าเปรียบได้เป็นเหมือนกับการผจญภัยที่ไม่มีวันสิ้นสุด

]]>
1463720
“KATALYST STARTUP LAUNCHPAD” จบภารกิจปีที่ 4 หนุนสตาร์ทอัพไทย – เซอร์ไพรส์ปีนี้ “Deep Tech” มาแรง https://positioningmag.com/1455943 Mon, 18 Dec 2023 09:49:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455943

โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD โดยธนาคารกสิกรไทยจัดต่อเนื่องมาจนถึงปีที่ 4 สนับสนุนสตาร์ทอัพไทยผ่านหลักสูตรไปแล้วรวมกว่า 200 ราย ปีนี้เห็นการก้าวกระโดดในวงการ สตาร์ทอัพไทยนำเสนอธุรกิจจาก ‘Deep Tech’ ต่อยอดงานวิจัยกันมากขึ้น

หลักสูตรและการแข่งขันเข้มข้นขึ้นทุกปีสำหรับโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD” ที่ธนาคารกสิกรไทยจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้วในปีนี้

โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD เป็นหลักสูตรที่ธนาคารกสิกรไทยร่วมมือกับโครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดย รองศาสตราจารย์ Charles (Chuck) Easley และพันธมิตรในด้านต่างๆ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับองค์ความรู้ผ่านการอบรมต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ พร้อมคำแนะนำจากเมนเทอร์ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีการแข่งขันนำเสนอธุรกิจในสัปดาห์สุดท้ายเพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท

สำหรับโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 ปีนี้มีผู้สมัครมากถึง 200 ทีม และมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าอบรมในหลักสูตร 62 ทีม ในจำนวนนี้มีทีมที่ผ่านเกณฑ์สำเร็จหลักสูตรคิดเป็นสัดส่วน 80% ของทั้งหมด

บรรยากาศการแข่งขันรอบสุดท้าย

ในสัปดาห์สุดท้ายของหลักสูตร จะมีทีมที่ได้รับคัดเลือกให้นำเสนอธุรกิจ (Pitching) ต่อคณะกรรมการเพียง 10 ทีม โดยมีรางวัลให้กับผู้ชนะ 3 อันดับแรก และรางวัลพิเศษ Sustainable Innovation Award อีก 1 รางวัล เพื่อมอบให้กับทีมที่มีวิสัยทัศน์ด้านการสร้างนวัตกรรมที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน

บรรยากาศในงานวันนำเสนอธุรกิจวันสุดท้ายของหลักสูตร ธนาคารกสิกรไทยมีการเชิญ “ยอด ชินสุภัคกุล” ซีอีโอ LINE MAN Wongnai แบ่งปันประสบการณ์การทำสตาร์ทอัพเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ

โดยยอดมีคำแนะนำสำคัญๆ ให้กับเหล่าสตาร์ทอัพหน้าใหม่ว่าต้องเริ่มจากการ “เลือกเข้าสู่ตลาดที่ถูกต้อง” เป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปทำตลาด เมื่อเข้าไปทำธุรกิจแล้วให้ “ใส่ไข่ในตะกร้าทุกใบ” เปิดโอกาสไว้ทุกๆ ทางเพื่อเตรียมคว้าโอกาสที่ดีที่สุดเมื่อมาถึง รวมถึง “อย่ายอมแพ้” อดทนรอจนกว่าจะถึงจังหวะที่ธุรกิจของตนเองจะเป็นขาขึ้น

“ยอด ชินสุภัคกุล” ซีอีโอ LINE MAN Wongnai

“สิ่งที่จะบอกสำหรับคนทำสตาร์ทอัพคือ ผมเองไม่ได้ฉลาดกว่าคนอื่น แต่ที่มีมากกว่าคนอื่นคือ ‘ผมทนกว่า’ สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะบริหารจัดการพลังงานของคุณอย่างไร ทำอย่างไรให้คุณไม่ท้อและไปต่อให้ได้” ยอดกล่าว

ผู้ชนะปีนี้ “Tambaan.co” ระบบจ้างงานผู้รับเหมา เพื่อแก้ปัญหาการโกงในงานก่อสร้าง

สำหรับ 10 ทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 ได้แก่

  • co ระบบจ้างงานผู้รับเหมา เพื่อแก้ปัญหาการโกงในงานก่อสร้าง
  • OsseoLabs เทคโนโลยีการออกแบบและผลิตอุปกรณ์ช่วยผ่าตัดและวัสดุฝังเฉพาะบุคคลสำหรับการรักษาเนื้องอกและมะเร็งในกระดูก
  • PAC Technovation ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมจัดการพลังงานในระบบน้ำร้อน/ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล
  • Eyequila นวัตกรรมเกมมือถือช่วยบริหารสายตา ลดอาการตาล้าและความเครียด
  • Moronline โรงพยาบาลบนสมาร์ทโฟน ครบจบในแอปเดียว
  • GATI ระบบบริหารจัดการฟาร์มกุ้งอัจฉริยะ
  • Modgut ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจุลินทรีย์ในลำไส้ เพื่อการดูแลสุขภาพอย่างแม่นยำเฉพาะบุคคล
  • OrderKub ระบบจัดการออเดอร์ร้านค้าออนไลน์ด้วย AI
  • Preceptor AI แพลตฟอร์มที่ช่วยบุคคลากรแพทย์วินิจฉัยโรคและดูแลคนไข้ โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่จะมาแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ
  • Plant Origin ผลิตภัณฑ์ทดแทนไข่ที่ทำมาจากโปรตีนรำข้าว เพื่อผู้ที่มีปัญหาในการรับประทานไข่

ผลการแข่งขันปรากฏว่าผู้ชนะของปีนี้ อันดับ 1 Tambaan.co (Space Next Co.,Ltd.) ตามด้วย อันดับ 2 Plant Origin ปิดท้าย อันดับ 3 Preceptor AI ส่วนรางวัลพิเศษ Sustainable Innovation Award ตกเป็นของ Modgut

“ธนพงษ์ ณ ระนอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) กล่าวถึงทีมผู้ชนะรางวัลทั้ง 4 ทีมว่ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน โดยทีม Tambaan.co ทำธุรกิจตัวกลางในการจ้างผู้รับเหมาซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยทำ แต่ยังเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ Pain Point ในสังคม รวมถึงตลอดการอบรม 9 สัปดาห์ ทีมนี้แสดงออกถึง Passion ในการทำงานสูงมาก

ด้านทีม Plant Origin เป็นอีกทีมที่ตอบโจทย์ Pain Point ในตลาดได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นสินค้าต่อยอดจากงานวิจัยเพื่อหาทางออกด้านสุขภาพให้กับผู้ป่วย เชื่อว่าจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคตได้

ส่วนทีม Preceptor AI ถือเป็นธุรกิจใหม่ หาช่องว่างในตลาดที่จะทำธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาให้กับแพทย์ และยังใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นฐานในการทำงาน

ด้านรางวัลพิเศษ Sustainable Innovation Award เป็นปีแรกที่โครงการมีการมอบให้ เนื่องจากเป็นปีที่เน้นการส่งเสริมสตาร์ทอัพให้คำนึงถึงประเด็นด้าน Sustainable และทีม Modgut ถือว่าทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ในด้านนี้ เพราะการวิเคราะห์จุลินทรีย์ในลำไส้จะเป็นเวชศาสตร์เชิงป้องกันรูปแบบหนึ่ง สร้างเสริมสุขภาพที่ดีตั้งแต่ก่อนเจ็บป่วย พร้อมทำให้สังคมไทยสามารถเข้าถึงการรักษาสุขภาพด้านได้ง่ายขึ้นอย่างทั่วถึง

“การันต์ แป้นทอง” ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ Tambaan.co กล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการร่วมโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 ว่าเป็นโครงการที่มีหลักสูตรอบรมเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดการเรียน ในทุกสัปดาห์จะมีการบ้าน มีการให้คะแนนและ Feedback กลับมา ทำให้พัฒนาได้เร็ว รวมถึงหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดทำให้บริษัทวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าได้ละเอียดแม่นยำ มีความมั่นใจในทิศทางการทำธุรกิจมากขึ้น


เซอร์ไพรส์ “Deep Tech” มาแรงมาก

ด้าน “เชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร” Managing Director, KBTG Labs หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินผู้ชนะรางวัล มองว่าหลักสูตรปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากสายธุรกิจ Health Tech” และ Enterprise Solution” ค่อนข้างมาก เป็นไปตามความต้องการในตลาด เพราะทั้งสองสายธุรกิจถือเป็นกลุ่มที่ผู้ซื้อมีโอกาสจะจ่ายจริงเพื่อซื้อสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสาย Health Tech นั้นเป็นเทรนด์ที่เชื่อว่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับสภาวะสังคมผู้สูงอายุของไทย

“เชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร” Managing Director, KBTG Labs

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประทับใจของปีนี้คือการได้เห็นสตาร์ทอัพจำนวนมากทำธุรกิจจาก “Deep Tech” หรือ “Deep Science” หลายทีมนำงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาต่อยอดพัฒนาเพื่อเป็นธุรกิจ ซึ่งจะเป็นจุดแข็งในระยะยาวเพราะธุรกิจที่ใช้องค์ความรู้ที่ต้องผ่านการวิจัยเป็นตัวตั้งจะทำให้ลอกเลียนแบบได้ยาก และไทยจะมีโอกาสเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีได้อย่างน้อยในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังเห็นเทรนด์จากผู้เข้าร่วมโครงการปีนี้ 80% มีการประยุกต์ใช้ AI เข้ามาในธุรกิจ สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในตลาด รวมถึงเห็นศักยภาพที่สูงขึ้นมากของสตาร์ทอัพ เพราะหลายทีมไม่ได้มาในขั้นตอนการสร้างไอเดียธุรกิจเหมือนในอดีต แต่มีการเริ่มลงมือทำและเติบโตไปแล้วในระดับหนึ่ง

“เห็นได้ว่าคนที่เข้ารอบไฟนอลลิสต์วันนี้คือคนที่เข้าใจโจทย์ของลูกค้าจริงๆ ไม่ได้วิ่งตามเทรนด์ที่กำลังมา และมีการเสนอโซลูชันให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ ได้เห็นแล้วว่าธุรกิจของเขาสามารถดึงเม็ดเงินได้จริง” เชษฐพันธุ์กล่าว “แลนด์สเคปสตาร์ทอัพของเราเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ได้ขายกันด้วยวิสัยทัศน์อย่างเดียว แต่มาพร้อมกับฐานลูกค้าจริง รายได้จริงที่เกิดขึ้นแล้ว”

“ธนพงษ์ ณ ระนอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี)

ธนพงษ์แห่งบีคอน วีซี กล่าวต่อว่า จาก 4 ปีที่สร้างโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD เห็นได้ว่ามีอัตราสตาร์ทอัพที่ไม่ผ่านเกณฑ์การอบรม (Drop Rate) น้อยลงเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่าในวงการเริ่มเข้าใจจุดประสงค์โครงการนี้ว่ามีการอบรมเข้มข้นและต้องการสร้างทักษะอย่างแท้จริง ทำให้ทีมสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการมีคุณภาพสูงขึ้นทุกปี

หลังจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้อยู่ในระบบนิเวศของการสร้างเครือข่ายและการทำธุรกิจ และทางธนาคารกสิกรไทยจะเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเวนเจอร์แคปิตอลที่ต้องการลงทุนในสตาร์ทอัพระดับ Seed Stage รวมถึงการสนับสนุนองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยทางธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่าสตาร์ทอัพเหล่านี้จะเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมให้กับประเทศไทยในอนาคต

]]>
1455943
Reuters รายงาน KBank กำลังพูดคุยเพื่อซื้อกิจการ Home Credit ในประเทศเวียดนาม สูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ https://positioningmag.com/1441957 Tue, 22 Aug 2023 10:44:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441957 Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทยกำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อเข้าซื้อกิจการของ Home Credit สถาบันการเงินในประเทศเวียดนาม ด้วยมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อที่จะขยายธุรกิจไปในเวียดนามได้รวดเร็วขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ได้กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการของ Home Credit Vietnam เป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 35,000 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุดในตอนนี้ทาง KBank ได้พูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการ และข่าวดังกล่าวมาในช่วงที่เศรษฐกิจเวียดนามกำลังประสบสภาวะชะลอตัว รวมถึงปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้กระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศเวียดนามด้วย

ถ้าหากดีลดังกล่าวกลายเป็นความจริงแล้วนั้น จะทำให้ดีลนี้กลายเป็นการซื้อกิจการสถาบันการเงินใหญ่อันดับ 2 ของประเทศเวียดนามในปีนี้ รองจากดีลที่ Sumitomo Mitsui ซื้อกิจการของ VPBank ด้วยมูลค่ามากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 52,500 ล้านบาท

แหล่งข่าวของ Reuters ได้ชี้ว่าการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการดังกล่าวเนื่องจาก KBank ต้องการที่จะเป็นผู้เล่น 1 ใน 20 ของธนาคารรายใหญ่ในเวียดนามในแง่ทรัพย์สินภายในปี 2027

ก่อนหน้านี้ Home Credit Group ซึ่งเป็นผู้เล่นในตลาดสินเชื่อรายย่อยในหลายประเทศ และมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทลงทุนจากสาธารณรัฐเช็ก ได้ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ว่าจะเป็นในอินโดนีเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยามาแล้ว เนื่องจากผลขาดทุนจากการที่ต้องถอนตัวจากรัสเซีย

Home Credit Vietnam ปัจจุบันได้ให้บริการลูกค้าในเวียดนามมากถึง 12 ล้านราย และมีพนักงานมากถึง 6,000 ราย ทำให้การซื้อกิจการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ KBank ในการขยายธุรกิจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด KBank ได้ชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในประเด็นข่าวดังกล่าวว่า ธนาคารแสวงหาโอกาสทางธุรกิจต่างๆ ในสาธารณัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลหรืออาจจะไม่ได้ส่งผลให้มีธุรกรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีธุรกรรมเกิดขึ้น ธนาคารจะเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลาที่เหมาะสม

Note: อัพเดต 23 สิงหาคม หลัง KBank ชี้แจงข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

]]>
1441957
KBank แยก กสิกร อินเวสเจอร์ เป็นบริษัทใหม่ โฟกัสธุรกิจสินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยที่แบงก์เข้าไม่ถึง https://positioningmag.com/1439582 Wed, 02 Aug 2023 09:15:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439582 KBank ประกาศแยก “บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด” หรือ KIV เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรุกธุรกิจให้บริการการเงินกับลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเข้าไม่ถึง จากการร่วมทุนกับบริษัทต่างๆ

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBank) กล่าวถึงการดำเนินการของธุรกิจธนาคารในปัจจุบันทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านของบริการจ่ายเงิน บริการสินเชื่อทั้งลูกค้าบริษัทและลูกค้ารายบุคคล บริการด้านการลงทุนและประกัน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงการแยก บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ KIV นั้นเพื่อสร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และมองว่าธุรกิจ KIV มีความคล้ายคลึงกับธุรกิจของธนาคารใน 4 ด้านในข้างต้น แต่ลูกค้าของ KIV แตกต่างกับธุรกิจของธนาคาร ซึ่งต้องใช้วิธีคิดที่แตกต่างไปจากเดิม

โดยเธอได้กล่าวว่าก่อนที่จะมีการเปิดตัว KIV ในวันนี้ได้มีการทดลอง แยกธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อประสบความสำเร็จจึงค่อยแยกตัวออกมา เธอยังได้กล่าวเสริมว่า KIV คือ Game Changer ของ KBank สามารถเป็นแหล่งรายได้ใหม่ และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากกว่าเดิม

ปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของ KIV ประกอบด้วย 14 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่น่าสนใจเช่น การลงทุนใน Grab ของธนาคาร การร่วมทุนกับ LINE ในชื่อ Kasikorn LINE ที่เป็นเจ้าของ LINE BK การร่วมทุนกับกลุ่มคาราบาวภายใต้ชื่อ KBao เป็นต้น

ข้อมูลจาก KBank

พัชร สมะลาภา Group Chairman ของ บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด ได้กล่าวถึงปัญหาของลูกค้ารายย่อยนั้นไม่สามารถที่จะเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่า 60% ของผู้ขอสินเชื่อนั้นธนาคารไม่แน่ใจว่าจะกลับมาจ่ายเงินหรือไม่ ขณะเดียวกันทางธนาคารเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงจากปัญหาผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้จากการสำรองหนี้

เขาชี้ว่าเป้าหมายของ KIV คือ เพิ่มความสามารถในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีโจทย์สำคัญคือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) และลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินงานในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

นอกจากนี้ KIV ยังได้อาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน รวมกับการใช้โครงสร้างและทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล ระบบไอที เงินทุนซึ่งมีต้นทุนการเงินที่ถูกกว่า

พัชรยังชี้ว่ากระบวนการทำงานของ KIV ได้แตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้พนักงานเข้ามาตรวจสอบลูกค้าว่ามีตัวตนจริงๆ ไม่ใช้เอกสารปลอม หรือแม้แต่กรณีการปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าที่หาเช้ากินค่ำนั้นก็ดูวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งผลที่ได้คือ NPL ของ KIV ลดลงมาต่ำแล้ว

ขณะเดียวกันในการร่วมทุนกับพันธมิตรนั้นก็ทำให้ KIV สามารถเก็บเงินจากลูกค้าที่เป็นหนี้เสียได้มากขึ้น ส่งผลทำให้ Credit Cost ลดลง

โดย KIV ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีกำไรราวๆ 900-1,000 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายในปี 2026 จะมีมูลค่าของพอร์ตสินเชื่อ 75,000-80,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีกำไรมากถึง 4,500-5,000 ล้านบาท

]]>
1439582
“กสิกรไทย” จัดหลักสูตรติวเข้มสตาร์ทอัพไทย ผ่านโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 อัดแน่นด้วยองค์ความรู้จาก Silicon Valley พร้อมเครื่องมือต่อยอดธุรกิจ https://positioningmag.com/1437143 Tue, 11 Jul 2023 10:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437143

ในประเทศไทยเราได้เห็นเทรนด์ของ “สตาร์ทอัพ” มาหลายปีแล้ว ซึ่งวงการสตาร์ทอัพในไทยก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มี Ecosystem ที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งในแง่ของผู้ประกอบการ ศูนย์บ่มเพาะ และนักลงทุน แต่การที่เหล่าบรรดาสตาร์ทอัพจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องมีผู้สนับสนุนที่คอยชี้แนะแนวทาง เราจึงได้เห็นองค์กรใหญ่ๆ มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับวงการสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง

“ธนาคารกสิกรไทย” เป็นอีกหนึ่งองค์กรใหญ่ที่ส่งเสริมและผลักดันวงการสตาร์ทอัพไทยต่อเนื่องอย่างครบวงจร ทั้งด้านเงินทุน ความเชี่ยวชาญ เครือข่ายธุรกิจ พันธมิตร รวมทั้งการให้องค์ความรู้ผ่านโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 หลักสูตรพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจเพื่อสตาร์ทอัพที่ธนาคารกสิกรไทยร่วมพัฒนาขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา


เดินหน้า 4 ปีต่อเนื่อง ปั้นตัวตึงวงการสตาร์ทอัพ

สำหรับโครงการในปีนี้ ซึ่งทีจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จะเป็นหลักสูตรเข้มข้น ภายใต้แนวคิด “Unleash Your Entrepreneurial Spirit for Sustainable Success” ระยะเวลา 9 สัปดาห์ที่จะทำให้สตาร์ทอัพพัฒนาธุรกิจและเติบโตอย่างยั่งยืน อัดแน่นด้วยองค์ความรู้การทำสตาร์ทอัพ ในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่เรื่องทีมงาน การวางรากฐาน ไปจนถึงปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต ทั้งเทคโนโลยีที่กำลังมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) รวมทั้งแนวคิดการจัดการธุรกิจที่คำนึงถึง ESG สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้จริง พร้อมคว้าโอกาสใหม่ในเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคต

นอกจากนี้ สตาร์ทอัพที่เข้ารับการอบรมยังได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงโอกาสนำเสนอโครงการเพื่อชิงเงินรางวัลพร้อมรับการสนับสนุนเครื่องมือในการทำธุรกิจ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาทอีกด้วย เรียกว่าได้ทั้งองค์ความรู้ และเครื่องมือในการติดปีกธุรกิจไปพร้อมๆ กัน

โดยใน 3 ปีที่ผ่านมามีสตาร์ทอัพไทยเรียนจบหลักสูตรทั้งสิ้นกว่า 100 ทีม และมีหลายทีมที่นำองค์ความรู้ที่ได้ในโครงการไปต่อยอดกับธุรกิจจนประสบความสำเร็จ สำหรับปีนี้ ธนาคารจะมุ่งเน้นส่งเสริมเทคสตาร์ทอัพที่มีผลิตภัณฑ์หรือต้นแบบ (Prototype) ที่พร้อมแล้ว ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน (FinTech) สิ่งแวดล้อม (ESG และ Green Technology) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligenceและ Machine Learning) เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) และโซลูชั่นสำหรับองค์กร (Enterprise Solution) ตอกย้ำเจตนารมณ์ของธนาคารในการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งเพื่อร่วมเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างความยั่งยืน

ทั้งนี้มี 2 บริษัทได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ที่เคยเข้าร่วมโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2022 ได้แก่ โปรเจค อีวี (Project EV) และ PetPaw


ทำ Customer Validation หาลูกค้าตัวจริง ปรับแผนธุรกิจให้เป็นไปได้สูง

โปรเจค อีวี (Project EV) เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจรเพื่อดัดแปลงรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ รวมทั้งมีบริการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ศูนย์กระจายสินค้า หรือใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าของพันธมิตรทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงตลอดระยะเวลาการใช้งานการใช้รถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงสามารถช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและลดภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ให้กับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างมาก

ปัจจุบัน โปรเจค อีวี ให้บริการดัดแปลงรถกระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เหมาะสำหรับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ที่มีศูนย์กระจายสินค้าระยะการขนส่งไม่เกิน 250 กิโลเมตรต่อวัน สามารถคืนทุนภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ประมาณ 30.8 ตันต่อคันต่อปี ในรถกระบะที่วิ่งประมาณ 90,000 กิโลเมตรต่อปี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและสมรรถนะการใช้งานจริงร่วมกับบริษัทขนส่งโลจิสติกส์

ปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้ก่อตั้ง โปรเจค อีวี ได้เล่าว่า “รู้จักโครงการ KATALYST จากการประชาสัมพันธ์ของทีมงาน Beacon VC และจากคำแนะนำของสตาร์ทอัพ ที่เข้าร่วมโครงการปีก่อน จึงสนใจเข้าร่วมโครงการ ซึ่งจุดเด่นและประโยชน์สำคัญที่ได้รับจากโครงการนี้ คือเนื้อหาหลักสูตรที่มีความกระชับ แนวทางการพัฒนาธุรกิจอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งมีการบ้านให้ลงมือทำ Customer Validation หาลูกค้าตัวจริง ทำให้การปรับปรุงแผนธุรกิจมีความเป็นไปได้สูงขึ้น และที่สำคัญคือ คำแนะนำจาก Mentorทำให้เข้าใจและมีมุมมองทางธุรกิจกว้างขึ้น ตลอดจนการวางแผนการตลาด และการเงินซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการ Scale Business และระดมทุน”

ปริวรรต ยังเสริมอีกว่า โครงการมีประโยชน์มากสำหรับ Early Stage Startup ที่มีไอเดียใหม่ๆ หรือสตาร์ทอัพที่เริ่มต้นธุรกิจมาบ้างแล้วและต้องการปรับหรือ Pivot Business ให้มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการประเมินมูลค่าธุรกิจ (Business Valuation) บนฐานของ Business Traction และรายได้อย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถเข้าสู่การระดมทุนได้ดีขึ้น


จุดประกายสร้าง Prototype Ecosystem ช่วยต่อยอดธุรกิจ

สำหรับ PetPaw เป็นบริษัท Startup ที่มีจุดมุ่งหมายในการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้าง Eco-System ให้กับอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง และ ผู้ที่รักสัตว์ โดยปัจจุบันทาง PetPaw เองมี 3 ช่องทางหลักๆ ในการเชื่อมโยง Eco-System เข้าด้วยกัน

PetPaw Application – Application ที่รวบรวม Feature ต่างๆ ที่คนรักสัตว์สามารถเข้ามาใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อสินค้าสัตว์เลี้ยง / การหาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแต่ละสายพันธุ์ / การพูดคุยปรึกษากับสัตว์แพทย์ผ่านช่องทาง Online รวมถึงการหาซื้อ ศึกษาเปรียบเทียบประกันสำหรับสัตว์เลี้ยง

PetPaw O2O Commerce – ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงผ่านทาง Online และ Offline โดยปัจจุบันช่องทาง Online อยู่ระหว่างการเพิ่มรายการสินค้าให้มีมากกว่า 10,000 รายการ และในส่วนของช่องทาง Offline ทาง PetPaw ได้ทำการเปิดหน้าขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเรียบร้อยแล้ว 2 สาขา คือที่ สาขา ปตท.พระราม4 กล้วยน้ำไท และ สาขาเทพารักษ์ และ ยังมีแผนการขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ ต่างจังหวัด เพิ่มอีก 10-15 สาขา ภายในปี 2566

PetPawVet Service – Software บริหารจัดการธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ครบวงจร ทั้งการทำนัดผ่านระบบ เชื่อมต่อไปยัง Application PetPaw / การสั่งจ่ายยาผ่านระบบ Online จัดส่งไปยังลูกค้า / ระบบจัดซื้อสินค้าเครื่องมือแพทย์ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลสัตว์เข้าใช้งานมากกว่า 1,400 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

แรกเริ่ม PetPaw ได้เขียนแผนธุรกิจ และ เริ่มเข้าร่วมงานการแข่งขัน Pitching ตามงานต่างๆ รวมถึงได้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของหน่วยงานรัฐเช่น DEPA และได้รับคำแนะนำให้ลองเข้ามาสมัครในโครงการ KATALYST Startup Launchpad และได้รับโอกาสเข้าร่วมโครงการนี้

ณัฐวัฒน์ กลการวิทย์ Team Lead PetPaw ได้เล่าว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับผู้ที่มีไอเดียในการเริ่มต้นธุรกิจ หรือเริ่มต้นทำธุรกิจไปแล้วแต่ยังหาขั้นตอนวิธีการเข้าสู่ตลาดไม่ได้ เพราะทางโครงการจะช่วยให้คุณกลับมาทบทวนตั้งแต่การสร้างทีมผู้ก่อตั้ง การประเมินขนาดตลาด การเริ่มนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ไปจนถึงการนำเสนอธุรกิจเพื่อหานักลงทุน

เนื้อหาที่ได้จากการเรียนและทำ Workshop สามารถนำมาปรับใช้กับตัวธุรกิจของทาง PetPaw ได้โดยตรง จากที่ทางเราพยามที่จะสร้าง Eco-System ซึ่งจำเป็นจะต้องมี Service ที่หลากหลายครบถ้วนและตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ Service ของเราเป็น Prototype ที่ไม่สมบูรณ์ แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการและทำ Workshop ทีมงานจึงได้ตัดสินใจ เลือกทำ Service ของเราให้แข็งแรงเติบโตขึ้นทีละส่วน จึงสามารถทำให้เราสามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะช่องทาง Offline


หลักสูตรส่งตรงจาก Silicon Valley

เนื้อหาของหลักสูตรภายใต้โครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 ได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดยรองศาสตราจารย์ Charles (Chuck) Eesley นอกจากนั้นธนาคารได้จับมือกับพันธมิตรในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับคำปรึกษา และคำแนะนำโดยเมนเทอร์ชั้นนำจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ ผู้บริหารจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ผู้แทนจาก Amazon Web Services (AWS) รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจาก กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)  และบีคอน วีซี (Beacon VC) ที่จะมาให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อผลักดันให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ดึงศักยภาพของตัวเองและทีมออกมาได้อย่างเต็มที่

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้การพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพอย่างครบวงจรตั้งแต่พื้นฐานเริ่มที่ไอเดียธุรกิจ การวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน การสร้างแบรนด์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบของความเป็นผู้ประกอบการ การตลาด การบริหารเงิน การวางแผนธุรกิจ และทักษะการนำเสนอ รวมถึงโอกาสในการสร้างเครือข่ายและต่อยอดการทำธุรกิจกับผู้เข้าร่วมโครงการในรุ่นก่อนๆ และในสัปดาห์สุดท้ายของการอบรม ทีมสตาร์ทอัพที่มีผลงานโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ โดยผู้ชนะ 3 อันดับแรกจะได้รับทั้งเงินรางวัล และสิทธิประโยชน์จากทางพาร์ทเนอร์ของ KATALYST by KBank เพื่อต่อยอดธุรกิจพร้อมโอกาสการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในด้านธุรกิจรวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดหลักสูตร คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ และสมัครได้ทางเว็บไซต์ของ KATALYST ที่  https://launchpad.klandingservice.com หรือติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการทางเฟซบุ๊กที่ https://www.facebook.com/KATALYSTbyKBank โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2566 และเริ่มเรียนตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2566

]]>
1437143
เดอะวิสดอมกสิกรไทย ชวนกูรูสายวีไอ เฟ้นกลยุทธ์ลงทุนช่วงตลาดผันผวน ดอกเบี้ยขาขึ้น https://positioningmag.com/1433968 Wed, 14 Jun 2023 10:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433968

ภายใต้สภาวะตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ทำให้สินทรัพย์หลายประเภทเกิดความผันผวนอย่างมาก ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลดังกล่าวด้วยเช่นกัน และยังรวมถึงปัจจัยสำคัญก็คือการเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงนี้เราควรจะลงทุนอะไรดี?

Positioning ได้รวบรวมแนวความคิดจากกูรูชื่อดังอย่าง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ ซึ่งเป็นนายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือที่เรารู้จักดีคือไทยวีไอ (Thai VI) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ เซียนหุ้นสายวีไอชื่อดังของเมืองไทย รวมถึง คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ของธนาคารกสิกรไทย เข้าร่วมให้ความรู้ ในงาน THE WISDOM WEALTH DECODED EXCLUSIVE DINNER TALK ที่บริการเดอะวิสดอม ธนาคารกสิกรไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการเชิญนักการเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาแลกเปลี่ยนมุมมองและโอกาสการลงทุนในช่วงสถานการณ์สำคัญๆ


การเมืองส่งผลกระทบลงทุนระยะสั้น

คุณเฉลิมเดช ได้กล่าวถึงคำตอบในงานนี้อาจไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาก่อน เนื่องจากตัวเขาเองเป็นนักลงทุนสายวีไอ ที่เน้นการลงทุนระยะยาว ทำให้แนวคิดการลงทุนอาจแตกต่างกับนักลงทุนทั่วไป โดยดูได้จากจำนวนสมาชิกของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) นั้นมีสมาชิกเพียงแค่ 10,000 คน เทียบกับจำนวนของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 500,000 กว่าบัญชี

นายกสมาคมไทยวีไอ ยังได้ชี้ถึงหลักการของการลงทุนแนวเน้นคุณค่าว่าเหมือนกับนักธุรกิจ คือดูธุรกิจเป็นหลัก หาธุรกิจที่ดี มีหนี้น้อย มีกระแสเงินสด แตกต่างกับนักลงทุนทั่วไปที่ดูกราฟเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มองการลงทุนเหมือนกับการทำธุรกิจเป็นระยะยาวสิบปีขึ้นไป เขาชี้ว่าการเมืองไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการลงทุน ไม่ว่าจะมีการรัฐประหาร หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่

คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ – นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

ท่องเที่ยวไทย แหล่งรายได้ของประเทศไทย

คุณเฉลิมเดช มองว่า ประเทศไทย มีอุตสาหกรรมหลักคือภาคการท่องเที่ยว และภาคการท่องเที่ยวยังเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สปา หรือแม้แต่สนามบิน โดยประเทศไทยได้รับความนิยมต่อเนื่องเพราะระยะทางการบินราว 6 ชั่วโมงเท่านั้น ถือว่าใกล้เคยงกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ทำให้การท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญของประเทศไทย โดยถ้าเทียบกับ GDP นั้น ถือว่าสูงมาก


ตลาดหุ้นจีนและสหรัฐอเมริกายังน่าสนใจ

“เซียนมี่”หรือคุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย มองว่าตลาดจีนมีอนาคต หากมองภาพการลงทุนในระยะยาวๆ โดยเปรียบตลาดหุ้นจีนเหมือนตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของมหาเศรษฐี แผนการเพิ่มชนชั้นกลางของรัฐบาลจีน หรือแม้แต่จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 4.6 ล้านคนต่อปี

คุณทิวา มองว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงส่งเศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะไปอยู่ในจุดที่อเมริกายืนอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ แต่ในการเข้าลงทุนสำหรับตลาดที่ใหญ่อย่างจีนนั้น ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากหุ้นจีนนั้นเวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลงลึกกว่าที่คิด จึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว

คุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย แลกเปลี่ยนมุมมองกับ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย

ขณะที่หุ้นสหรัฐอเมริกาดัชนีฟื้นตัวขึ้นจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Meta, NVIDIA, Microsoft, Tesla, Google  ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัดปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย

แต่คุณทิวามองว่าในรอบนี้เป็นเศรษฐกิจถดถอยที่สามารถควบคุมได้ และผู้เล่นรายใหญ่มองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว เขามองว่าอเมริกาจึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย


ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้

คุณเฉลิมเดช ได้ชี้ว่า การลงทุนลองคิดว่าเหมือนเราใส่เงินลงทุนในธุรกิจหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน แล้วคิดว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะได้กำไรกลับมาเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งเขาชี้ว่าการลงทุนแบบวีไอก็คิดแบบนักธุรกิจเช่นกัน แค่ดูหุ้นทั้งตลาดหุ้น และมองว่ามีธุรกิจไหนที่มองแล้วเข้าใจ มองระยะยาวว่าลงทุนอะไรที่จะได้กำไรหรือไม่ ถ้าหากคาดการณ์ถูกเราก็จะได้ตังค์ แต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็เสียเงิน ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจ จำนวนหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีราวๆ 800 บริษัท ก็เท่ากับ 800 ธุรกิจ ทำให้เลือกได้ว่าจะลงทุนตัวไหน ตัวไหนระยะยาวจะมีกำไร เพราะท้ายที่สุดหุ้นจะขึ้นได้ก็เพราะบริษัทเหล่านี้มีกำไร และยังรวมถึงลงทุนในราคาที่เหมาะสม

เขาได้ยกตัวอย่างหุ้นเครื่องสำอางที่เคยลงทุนจากมูลค่าบริษัทหลักร้อยล้านบาททุกวันนี้บริษัทมีมูลค่าตลาดถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 15 ปี และมองว่าเครื่องสำอางของไทยไม่แพ้กับเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ของต่างประเทศ

นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ยังได้กล่าวว่าแนวทางการลงทุนแบบวีไอก็เปรียบเหมือนกับลูกค้าเดอะวิสดอมที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จเช่นกัน สำหรับการดูวิธีว่าบริษัทที่เราลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่เขาได้ชี้ว่าต้องดูว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันแค่ไหน แต่ละธุรกิจก็ไม่เหมือนกัน โดยการหาข้อมูลจากหลายแห่ง หรือแม้แต่การถามคู่แข่ง ซัพพลายเออร์ ฯลฯ ทำให้เราจะเห็นข้อมูลลึกมากขึ้น และจะเห็นว่าบริษัทไหนเป็นผู้ชนะ

คุณเฉลิมเดชชี้ว่าถ้าหากเรารู้ในธุรกิจต่างๆ เราจะเข้าใจในอุตสาหกรรมเป็นยังไง เช่น ถ้าหากเราเป็นซัพพลายเออร์อาหารสัตว์ เราจะรู้ว่าบริษัทที่ผลิตอาหารสัตว์แต่ละรายเป็นเช่นไร ซึ่งเขาแนะนำว่าให้ลงทุนกับอุตสาหกรรมที่เรารู้ก่อน ก่อนที่จะไปลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น


ลงทุนสไตล์ VI ยุคนี้ ต้องทำอย่างไร

สำหรับเรื่องพอร์ตการลงทุนสายวีไอนั้น คุณเฉลิมเดชได้ให้แนวคิดว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีหุ้นจำนวนไม่มาก และหุ้น 3 ตัวที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุดนั้นจะทำผลตอบแทนให้พอร์ตการลงทุนมากที่สุด

เขายังชี้ว่าแต่ถ้าหากใครไม่ชอบลงทุน ชอบทำธุรกิจมากกว่า แล้วพอมีเหลือเงินบ้าง แนะนำให้กระจายการลงทุน ผ่านการซื้อกองทุนรวม หรือแม้แต่การลงทุนในพันธบัตร แต่เขาได้ชี้ว่าจะต้องลดความคาดหวังในการลงทุนลงมาด้วย เช่น ค่าเฉลี่ยหุ้นไทยนั้นเติบโตได้ 7-9% ต่อปี แล้วเรามีความสุขในการลงทุนหรือไม่

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เขามองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจในต่างประเทศจะถดถอยมีสูง แต่ในไทยกลับกำลังฟื้นตัวจากโควิด แต่การฟื้นตัวนั้นเป็นแบบ K-Shape ควรที่จะลงทุนในช่วงเวลาที่คนไม่สนใจ ไม่เป็นกระแส

แต่ถ้าหากลงทุนแล้วไม่เป็นตามที่คิดคุณเฉลิมเดชแนะนำให้ขาย ไม่ควรเก็บสิ่งที่แย่ๆ ในพอร์ตไว้ เพราะจะทำให้สุขภาพจิตเสีย ถ้าซื้อแล้วควรซื้อกิจการที่ดี เพราะซื้อแล้วจะขึ้นเสมอ ของห่วยไม่ควรเก็บไว้ และไม่ควรที่จะแห่ลงทุนตามคนอื่น อะไรที่คนอื่นแห่กันลงทุนก็เหมือนกับแห่ทำธุรกิจ เพราะท้ายที่สุดแล้วจะขาดทุนหมด

ในกรณีของกองทุนต่างประเทศ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า กรณีของกองทุนรวมที่ลงทุนในจีน หรือกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา แล้วลูกค้าขาดทุนมากนั้น ถ้าหากมีสัดส่วนในการลงทุนในพอร์ตการลงทุนมากเกินไป ต่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ก็ยังไม่ทำให้ผลตอบแทนของเรากลับมาเท่าเดิม และไม่ควรลงทุนเพิ่มเติมในสิ่งที่เรากำลังกังวลอยู่ แถมไม่มีใครการันตีให้ด้วย

นอกจากนี้คุณวีระพล ยังแนะนำให้ฟังข้อมูลหลายแหล่ง และถ้าหากมีสัดส่วนการลงทุนที่น้อยมาก ก็ค่อยๆ ซื้อเพิ่มได้ อย่าลงทุนเหมือนกับการแทงหวย และอย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ควรจะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ถ้าอยากลงทุนแล้วประสบความสำเร็จเราจะต้องรู้ลึกในการลงทุนหรือถ้าอยากลงทุนแบบสบายใจก็ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกมาบ้าง

]]>
1433968
“Beacon Impact Fund” ประเดิมเงินลงทุน 1,200 ล้าน กองทุนเพื่อ “สตาร์ทอัพ” ที่ทำธุรกิจด้าน ESG https://positioningmag.com/1423092 Thu, 16 Mar 2023 04:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423092

“เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมและสังคม อยู่ที่เราเลือกว่าจะแก้ไขอย่างไร” ด้วยมายด์เซ็ทนี้ทำให้ “บีคอน วีซี” ในเครือ KBank เปิดตัวกองทุนใหม่ “Beacon Impact Fund” มูลค่าเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท เพื่อลงทุนกับ “สตาร์ทอัพ” ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ESG โดยตรง หวังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลก

“ในฐานะ Global Citizen เราจะทำอะไรให้กับโลกนี้ เมื่อเราเป็นเจนเนอเรชันที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และเราจะเป็นเจนเนอเรชันสุดท้ายที่ยับยั้งได้ทัน” ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด กล่าวเปิดถึงที่มาของการก่อตั้ง Beacon Impact Fund ขึ้น

ESG นั้นเป็นมิติทางสังคมที่หลายองค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งต่างมีนโยบายด้าน ESG เช่น Unilever, Walmart, Salesforce, HSBC, Citibank รวมถึง ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ก็เช่นกัน ล่าสุดธนาคารมีนโยบายที่จะใช้งบลงทุนสนับสนุนด้าน ESG ทั้งภายในองค์กรตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคาร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1-2 แสนล้านบาท จากนี้ไปจนถึงปี 2573

สำหรับ ESG นั้นเป็นตัวย่อของมิติทางสังคมแบ่งเป็น 3 ประเด็นคือ Environment, Social และ Governance ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องซึ่งกันและกัน เมื่อโลกของเรามีสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ทรัพยากรบนโลกลดลง ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคม เพราะประชากรบนโลกบางส่วนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรที่มีจำกัด ขณะที่บางส่วนไม่ได้รับและต้องอาศัยอยู่บนความแร้นแค้นยากจน จนในที่สุดถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม

ขณะที่ผลตอบรับจากผู้บริโภคปลายทางต่อบริษัทที่มีนโยบายด้านนี้ก็มีแนวโน้มไปในทางที่ดี เนื่องจากมีการวิจัยพบว่า 79% ของผู้บริโภคพร้อมที่จะอุดหนุนสินค้าและบริการของบริษัทที่มีนโยบาย ESG และมีถึง 49% ที่ตอบว่าตนเคยหันมาเลือกใช้สินค้าและบริการของบริษัทที่มีนโยบาย ESG แล้วเพื่อเป็นการสนับสนุนอีกด้วย


Beacon Impact Fund อัดงบ 1,200 ล้านบาท

จากนโยบายของ KBank ที่จะสนับสนุนด้าน ESG ส่วนหนึ่งของนโยบายนี้จะลงทุนผ่านกองทุนบีคอน วีซี ทำให้บริษัทจัดตั้ง “Beacon Impact Fund” ขึ้น ด้วยเม็ดเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท หรือประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ กรอบระยะเวลา 3 ปี (2566-68)

จุดประสงค์ของกองทุนนี้ต้องการลงทุนในระดับ “Impact Investing” คือลงทุนกับสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ESG โดยตรง และต้องเป็นสตาร์ทอัพในช่วง Post-revenue หมายถึงอยู่ในช่วงที่สร้างรายได้ได้แล้ว พิสูจน์โมเดลธุรกิจว่ามีแนวโน้มทำกำไร เนื่องจากการทำธุรกิจย่อมต้องมีกำไรเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาวด้วย

โดยการชี้วัดว่าธุรกิจใดจะถือว่ามีจุดประสงค์ด้าน ESG ทางบีคอน วีซี จะยึดหลักการของสหประชาชาติ UN SDGs (United Nation’s Sustainable Development Goals) ซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย เช่น ขจัดความยากจน, รับรองการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, รับรองพลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เป็นต้น

จากเป้าหมายเหล่านี้ บีคอน วีซี ยกตัวอย่างธุรกิจที่ถือว่าเข้ากรอบการลงทุนใน Beacon Impact Fund เช่น ธุรกิจพลังงานสะอาด, ธุรกิจเกี่ยวกับ Circular Economy, ธุรกิจเกี่ยวกับการจัดการลดคาร์บอน, ธุรกิจเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข, ธุรกิจเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจทางการเงิน และธุรกิจเพื่อปกป้องสิทธิผู้บริโภค เป็นต้น

ทั้งนี้ กองทุนนี้พร้อมที่จะร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพทั่วโลก แต่จะเน้นเลือกการลงทุนในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่

ธนพงษ์คาดว่า เฉลี่ยแล้วบริษัทสามารถลงทุนร่วมกับสตาร์ทอัพได้ปีละประมาณ 5 บริษัท ร่วมลงทุนบริษัทละประมาณ 2-3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้มีบริษัทสตาร์ทอัพที่สนใจลงทุนบ้างแล้ว โดยจะเป็นสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจสอดคล้องกับจุดประสงค์กองทุน เช่น พัฒนาเทคโนโลยีแปลงรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, เทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรม เป็นต้น

ปัจจุบันบีคอน วีซีมีงบลงทุนรวมทุกกองทุนนับตั้งแต่เปิดบริษัทสะสม 265 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท มีการลงทุนแล้ว 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท

“การลงทุนกับบริษัทที่เน้นด้าน ESG จะเป็นสัญญาณไปสู่ธุรกิจที่ยังมีเป้าหมายมุ่งเน้นแต่ด้านกำไรด้วยว่า หากหันมาให้ความสำคัญกับ ESG ด้วยก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม รวมถึงส่งสัญญาณไปถึงผู้บริโภคเพื่อมาช่วยกันอุดหนุนสินค้าและบริการจากบริษัทที่ส่งเสริมด้าน ESG อีกทางหนึ่ง เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนช่วยเหลือกันได้จริง” ธนพงษ์กล่าวปิดท้าย

]]>
1423092