ธุรกิจรีเทล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 09 Sep 2025 09:59:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ดองกิ’ ร้านที่ฉีกกฎวงการรีเทล กับเส้นทางธุรกิจใน ‘ไทย’ หลังปิดไป 2 สาขา https://positioningmag.com/1537326 Tue, 09 Sep 2025 08:41:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537326 ‘ดองกิ’ ร้านที่แจ้งเกิดจากการฉีกกฎวงการรีเทล กับเส้นทางการดำเนินธุรกิจใน ‘ไทย’ และการปักหมุดเปิดตลาดกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกครั้งแรกที่สาขาล่าสุด ‘เซ็นทรัล เวสต์เกต’ หลังจากปิดไป 2 สาขา

 

‘ดองกิโฮเต้’ (Don Quijote) หรือหลายคนเรียกติดปากว่า ‘ดองกิ’ (Donki) เป็นร้านดิสเคาน์สโตร์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นที่แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จได้จากการกล้าฉีกกฎวงการค้าปลีก ซึ่งนอกจากจะมีเสน่ห์ในเรื่องสินค้าราคาถูก มีความหลากหลายทั้งประเภทและจำนวนแล้ว กลยุทธ์สำคัญ ก็คือ เปิดให้บริการดึกกว่าห้างปกติทั่วไป และบางสาขาให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

 

โดยร้านแห่งนี้ได้เข้ามาปักหมุดธุรกิจในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2562 ด้วยการเปิดสาขาแรกในชื่อ Donki Mall Thonglor และวันนี้ได้ใช้วันฤกษ์ดี ‘วันที่ 9 เดือน 9’ เปิดสาขาล่าสุด ณ ‘เซ็นทรัล เวสต์เกต’ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการปักหมุดเพื่อเปิดตลาดกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และเป็นสาขาแรกที่ดองกิมีความร่วมมือกับ ‘บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน)’

สำหรับ ดองกิ สาขาเซ็นทรัล เวสต์เกต มีพื้นที่ประมาณ 1,100 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนอาหารสด โซนอาหารแห้ง และ โซนของใช้ในชีวิตประจำวัน

 

หากดูขนาดพื้นที่แล้ว สาขาแห่งนี้ถือเป็นสาขา ‘ขนาดเล็ก’ เมื่อเทียบกับสาขาใจกลางเมือง แต่ได้มีการจัดสรรพื้นที่และคัดเลือกรายการสินค้ามาอย่างครบถ้วนตรงความต้องการของคนนนทบุรี ตามกลยุทธ์หลักของดองกิที่พยายามคัดสรรสินค้าให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น

 

และอย่าลืมว่า เซ็นทรัล เวสต์เกต ถูกวางเป็น ‘ซุปเปอร์รีจินอล มอลล์ แห่งเอเชีย’ และเป็นสาขาเรือธงของเซ็นทรัลในฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก ดังนั้น ความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่ในวงการรีเทลต้องมีอะไรน่าสนใจ

 

ยกตัวอย่างเช่น ดองกิสาขานี้ จะเป็นครั้งแรกที่นำเสนอคอนเซ็ปต์ ‘อร่อย น่ารัก สนุกสนาน’ เพื่อให้เกิดการสร้างประสบการณ์ร่วม เช่น การจัดโซนจำหน่ายซูชิหลากหลายหน้าและเค้กสไตล์ญี่ปุ่นแบบ Self-pick ในช่วงเสาร์อาทิตย์

รวมถึงนำเสนอสินค้าที่ผสมผสานกับวิถีชาวไทยเข้ากับความเป็นญี่ปุ่น อาทิเช่น เมนูข้าวกระเพราะเนื้อปลาไหลญี่ปุ่น เป็นต้น

ร้านที่ฉีกกฎวงการค้าปลีก

 

สำหรับจุดเริ่มต้นของดองกิ เกิดขึ้นในปี 2523 จากผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ทาคาโอะ ยาสุดะ’ (Takao Yasuda) เปิดร้านขายของเล็ก ๆ ในย่านโตเกียวขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่ของกิน ของใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงของชำในชื่อ Dorobou Ichiba และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thieves Market หรือ ‘ร้านหัวขโมย’ สื่อให้เห็นว่า ‘ร้านนี้ขายของถูกเหมือนไปขโมยมา’

 

ช่วงแรกร้านแห่งนี้เปิดปิดตามเวลาปกติของร้านค้าทั่วไป แต่ในช่วงดึกของค่ำคืนหนึ่งระหว่างทาคาโอะ ยาสุดะกำลังเติมสต๊อกสินค้าช่วงร้านปิด มีลูกค้าเดินมาถามว่า “ร้านยังเปิดให้บริการอยู่หรือไม่?” และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้เขาเห็นโอกาสทางธุรกิจว่า ‘ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนคนก็ยังต้องการซื้อของอยู่’ จึงขยายเวลาเปิดร้านจนถึงหลังเที่ยงคืน

 

จากนั้นเขาได้เปลี่ยนชื่อร้านมาเป็นดองกิ ซึ่งนอกจาก ‘ราคาถูก’ แล้ว เสน่ห์ของที่นี้ คือ การมีสินค้าให้เลือกมากมายและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค , เครื่องเขียน , สินค้าแฟชั่น รองเท้า กระเป๋า แบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องกีฬา ของเล่น ของกินที่มีทั้งขนม อาหารสด และอาหารแช่แข็ง ฯลฯ รวมถึงพยายามเปิดให้บริการดึกกว่าห้างอื่นๆ และบางสาขาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

ด้วยการวางจุดยืนชัดเจนและมีกลยุทธ์ที่ฉีกกฎวงการรีเทล ทำให้ดองกิเติบโตและกลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านรีเทลของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีสาขารวมมากกว่า 667 สาขาในญี่ปุ่น และในอีก 6 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ฮ่องกง และไทย ฯลฯ

 

สำหรับในบ้านเรา การเข้าทำธุรกิจของดองกิ เริ่มต้นในปี 2562 จากการลงทุนร่วมกันระหว่าง ‘แพน แปซิฟิค รีเทล แมเนจเมนท์ (สิงคโปร์) จำกัด’ บริษัทลูกของ ‘แพน แปซิฟิค อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้งคอร์ป’ เจ้าของดองกิ กับผู้ร่วมลงทุนไทยอย่าง ‘บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด’

 

ต่อมาในปี 2563 ได้ ‘บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)’ เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ใหม่ และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทในไทยจาก ‘บริษัท ดองกิ ทองหล่อ จำกัด’ เป็น ‘บริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด’

 

เดิมทีการขยายธุรกิจในไทย ดองกิวางเป้าหมายระยะ 5 ปี หรือภายในสิ้นปี 2568 จะมีสาขาครบ  20 สาขา แต่เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 บวกกับภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถขยายสาขาได้ตามเป้าหมาย และต้องปรับกลยุทธ์หันมาเปิดสาขาในขนาดเล็กลง

 

รวมถึง ‘ปิดสาขา’ ที่มียอดขายไม่เป็นไปตามคาดหวัง เช่น ‘ดองกิ สาขา The Market Bangkok ราชประสงค์’ ที่ปิดตัวลงเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2565 หลังจากเปิดให้บริการตั้งแต่ 31 มี.ค. 2563 และ ‘ดองกิ สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ’ ซึ่งเป็นการเปิดตลาดในโซนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ โดยเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 และปิดตัวไปเมื่อ 12 พ.ค. 2568

 

ปัจจุบันดองกิมีสาขาในไทย 8 สาขา โดยเซ็นทรัล เวสต์เกต คือ สาขาล่าสุด เปิดบริการ 10.00 – 22.00 น. ส่วนสาขาอื่น ประกอบด้วย

 

สาขาทองหล่อ เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขาธนิยะ สีลม เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขา MBK Center เปิดบริการ 24 ชั่วโมง

สาขาซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เปิด 9.00 – 21.30 น.

สาขา เจพาร์ค ศรีราชา เปิด 8:00 – 23:00 น.

สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์ เปิด 10.00 – 21.00 น.

สาขาซีคอน บางแค เปิด 09.00-00.00 น.

 

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า

 

ปี 2564 ทำรายได้ 1,067 ล้านบาท ขาดทุน 113 ล้านบาท

ปี 2565 ทำรายได้ 1,614.8 ล้านบาท กำไร 2.6 ล้านบาท

ปี 2566 ทำรายได้ 2,119 ล้านบาท ขาดทุน 53.17 ล้านบาท

ปี 2567 ทำรายได้ 2,171.7 ล้านบาท กำไร 21.7 ล้านบาท

 

สำหรับดองกิแล้ว ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและยังต้องการลงทุนในระยะยาว หนึ่งในนั้นคือ การเปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต และจากนี้เราจะได้เห็นการขยายสาขาของดองกิอย่างต่อเนื่องในอนาคต

]]>
1537326
จับตาจังหวะ MINISO ในไทย ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง https://positioningmag.com/1531480 Tue, 29 Jul 2025 07:54:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531480 จับตาการรุกตลาดในไทยระลอกใหม่ของ MINISO ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง กับเป้าหมายก้าวสู่ ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ ในไทย’ และวางให้บ้านเราเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสร้างการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ก่อนหน้านี้เราได้เห็นข่าวคราวการทยอยปิดสาขาเดิมของ MINISO ในไทย แล้วเปลี่ยนโฉมมาเป็นร้าน Lemony ทำให้มีการตั้งคำถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับ MINISO?’ ซึ่งตอนนี้ได้คำตอบว่า นั่นเพราะ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ได้เข้ามาถือสิทธิ์และดูแล MINISO ในไทยเอง โดยดำเนินการภายใต้ ‘บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด’

 

ส่วนเหตุผลที่บริษัทแม่ขอมาลุยธุรกิจเองในไทย ทาง ‘จุน หวัง’ ซีอีโอ บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ Positioning ว่า เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของทางบริษัทแม่ที่ต้องการยกระดับแบรนด์ในระดับโกลบอล ด้วยการใช้ศักยภาพของบริษัทแม่ที่มีอยู่นำมาสร้างความแข็งแกร่งให้ MINISO ในไทยมากขึ้น แบบที่เรียกว่า ยก MINISO ในระดับโลกมาไว้ในไทยเลยทีเดียว

 

เพราะไทยถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับผลักดันการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ MINISO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจมาก ๆ

 

โดยการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนับหนึ่งใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ของบริษัทแม่ได้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กับการเปิดแฟลกชิปสโตร์ครั้งแรกของ MINISO ในประเทศไทย ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์ ภายใต้รูปแบบร้านที่เรียกว่า MINISO LAND ซึ่งเป็นรูปแบบร้านระดับ Top level ของ MINISO

 

“MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มีบริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้ดูแล พอถึงจุดหนึ่งเราเห็นว่า ต้องมีการยกระดับแบรนด์ทั้งภาพลักษณ์ การตกแต่ง และมาตรฐานการบริหารจัดการ เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจรีเทลในไทยดุเดือดมากทั้งปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การที่บริษัทแม่เข้ามาเองจะมีความพร้อมและศักยภาพมากกว่า จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้”

 

ปักหมุดก้าวสู่เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทย

 

การที่บริษัทแม่ของ MINISO เข้ามาดำเนินการเองในตลาดประเทศไทย เป้าหมายก็คือ ต้องการขึ้นเป็น ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์’ ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนใน 3 ปีต่อจากนี้ โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะใช้ศักยภาพของบริษัทแม่อย่าง MINISO Group Holding Limited เข้ามาช่วยผลักดัน

 

ไม่ว่าจะเป็น การเป็นแบรนด์ระดับ International ที่มีสาขารวมกว่า 7,400 แห่งในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการที่บริษัทแม่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทำให้มีศักยภาพในเรื่องของ ‘เงินทุน’ สำหรับนำมายกระดับแบรนด์ สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ นำเสนอต่อผู้บริโภค

 

ถัดมา คือ ความแข็งแรงของระบบ ‘ซัพพลายเชน’ โดย MINISO มีโรงงานที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการผลิตสินค้าให้มากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นกำลังหลักในการป้อนสินค้าดี ๆ มีคุณภาพ มาในราคาเข้าถึงง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี

 

วางแผนพัฒนาสินค้า IP ของตัวเองเหมือน Pop mart 

 

ขณะที่นโยบายด้านสินค้า กลยุทธ์หลักจะให้ความสำคัญกับสินค้า IP เพื่อสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างกับ ผู้เล่นรายอื่น ซึ่งตอนนี้ MINISO มีสินค้า IP รวมแล้ว 150 ลิขสิทธิ์ จากความร่วมมือกับค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ดิสนีย์, ซานริโอ, วอร์เนอร์ ฯลฯ เช่น สินค้าจากดิสนีย์นำโดย Stitch, Harry Potter, One Piece เป็นต้น และในอนาคตเตรียมหาพาร์ทเนอร์มาเสริมทัพเรื่องสินค้า IP อย่างต่อเนื่อง

 

ไม่เพียงเท่านี้ MINISO อยู่ระหว่างการพัฒนา IP ของตัวเอง หลังจากเห็นความสำเร็จของ Pop mart ที่สร้าง Labubu ให้โด่งดังไปทั่วโลก โดยสินค้า IP ที่ MINISO กำลังปั้นอยู่ เช่น  Wakuku เป็นการพัฒนาร่วมกับ Letsvan และ DunDun คาแรกเตอร์ไก่สุดน่ารัก เป็นต้น

 

นอกจากสินค้า IP แล้ว เพื่อเติมพอร์ตสินค้าให้มีความหลากหลาย MINISO ยังได้เพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่ม Art Toy ทั้งกล่องสุ่มและกล่องจุ่ม รวมถึงในอนาคตมีแผนขยับพอร์ตสินค้าในกลุ่มบิวตี้ เครื่องสำอาง และอาหาร ซึ่งจะทำให้ภายในร้าน MINISO ของไทยมีสินค้ามากถึง 12,000-15,000 SKU จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6,000-10,000 SKU ต่อสาขา  

ขณะที่จำนวนสาขา ปัจจุบัน MINISO ในไทยมีด้วยกัน 7 สาขา กับอีก 1 ป๊อปอัพสโตร์ โดยที่เป็นสาขานั้น ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์, เอ็มบีเค เซ็นเตอร์, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์บางกะปิ, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์ งามวงศ์วาน ฯลฯ และเมื่อถึงสิ้นปี 2568 จะมีการขยายสาขาให้ครบ 20 สาขา ก่อนจะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 100 สาขาทั่วประเทศภายใน 3 ปี

 

“จำนวนสาขาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราตอบตัวเอง ตอบผู้บริโภค ตอบแลนด์ลอร์ดได้ว่า เราจะเป็นเบอร์ 1 ได้หรือไม่ ซึ่งต้องดูสถานการณ์ความเป็นจริงด้วยว่า เรามีความพร้อมและขีดความสามารถในการแข่งขันกับรายอื่นได้แค่ไหน โดยจากความมุ่งมั่นและความได้เปรียบต่างๆ ที่บอกไป เรามีความมั่นใจ”

 

สำหรับ MINISO ก่อตั้งเมื่อปี 2556 โดย ‘จุนยะ มิยาเกะ’ ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น และ ‘เย่ กั๋ว ฟู่’ นักธุรกิจชาวจีน เพื่อทำธุรกิจร้านขายสินค้าทั่วไป ภายใต้จุดขาย 1. การสร้างแบรนด์และมาตรฐานตามแบบฉบับ ‘ญี่ปุ่น’ 2. มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่าง กระเป๋า แก้วน้ำ เครื่องสำอาง โคมไฟ ไปจนถึงอุปกรณ์ไอที และ 3. ราคาถูกเข้าถึงง่าย ซึ่งด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้ MINISO แจ้งเกิดและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

โดยจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025 ของ MINISO Group Holding Limited พบว่า ปัจจุบัน MINISO มีสาขารวม 7,488 แห่ง แบ่งเป็นในจีนแผ่นดินใหญ่จีน 4,275 แห่ง และตลาดต่างประเทศ 3,213 แห่ง

 

ส่วนผลประกอบการพบว่า แบรนด์ MINISO ทำรายได้ไป 4,085.8 ล้านหยวน หรือราว 563 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.5% มาจากการเติบโตในจีนแผ่นดินใหญ่ 9.1% และตลาดต่างประเทศ 30.3% โดยรายได้ต่างประเทศมีสัดส่วน 39.0% ของรายได้แบรนด์ MINISO เพิ่มขึ้นจาก 34.8% ในปีก่อน

 

ขณะที่ MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มี ‘บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด’ เป็นผู้ดูแล ก่อนที่เมื่อเดือนมกราคม 2568 ทางบริษัทแม่จากจีนได้เข้ามาดำเนินการเองโดยตรง ตามแผนที่ต้องการสร้างการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นอีกพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ทาง MINISO Group Holding Limited ให้ความสำคัญ

]]>
1531480
ยุคนี้ต้องจับกระแสเร็ว! “สามย่านมิตรทาวน์” ชูกลยุทธ์ร้าน Pop-up หมุนเวียนดึงทราฟฟิก https://positioningmag.com/1324629 Tue, 23 Mar 2021 09:25:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324629 “สามย่านมิตรทาวน์” ฝ่าวิกฤตระบาดระลอกใหม่ หาแม่เหล็กดึงทราฟฟิก มองกุญแจสำคัญ “กระแส” สุดฮิตที่มาไวไปไวแต่ต้องจับให้ทัน จัดเป็นอีเวนต์ร้านค้า Pop-up หมุนเวียนทุก 2 สัปดาห์ วางเป้าคนเดินห้างฯ กลับไปแตะ 80,000 คนต่อวันอีกครั้งภายในปีนี้

มิกซ์ยูส “สามย่านมิตรทาวน์” ซึ่งมีส่วนหนึ่งของโครงการเป็น “ศูนย์การค้า” ต้องเผชิญวิกฤต COVID-19 หลายระลอกตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2562 ถึงขนาดที่ “ธีรนันท์ กรศรีทิพา” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) เอ่ยปากติดตลกว่า ศูนย์ฯ นี้ผ่านช่วงเวลาวิกฤตมามากกว่าช่วงสถานการณ์ปกติเสียอีก

โดยสามย่านมิตรทาวน์เคยมีทราฟฟิกขึ้นไปสูงสุด 80,000 คนต่อวันมาแล้วในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ก่อนจะลดลงจากคำสั่งล็อกดาวน์ศูนย์การค้าเมื่อปีก่อน จากนั้นทยอยกลับมาดีขึ้นหลังรัฐอนุญาตเปิดศูนย์ฯ จนทราฟฟิกกลับไปเต็ม 100% เหมือนช่วงก่อน COVID-19 เมื่อเดือนธันวาคม 2563

“ธีรนันท์ กรศรีทิพา” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย)

แต่สามย่านมิตรทาวน์ต้องเผชิญความไม่แน่นอนอีกครั้งเมื่อเกิดระบาดระลอกใหม่โค้งท้ายปี 2563 ทำให้ทราฟฟิกตกลง เฉลี่ยรวมปีก่อนมีทราฟฟิก 63,000 คนต่อวัน ขณะที่ช่วงเกือบ 3 เดือนแรกของปี 2564 ทราฟฟิกกำลังฟื้นตัวมาอยู่ที่ 53,000 คนต่อวัน

หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ธีรนันท์กล่าวว่าศูนย์ฯ กลับมาตั้งเป้าหมายให้ทราฟฟิกกลับไปแตะ 80,000 คนต่อวันอีกครั้งภายในปีนี้ ซึ่งส่วนสำคัญคือ การจัดลานโปรโมชันเล่นกับกระแส เพื่อดึงให้คนที่สนใจแวะเวียนมาและมาเที่ยวชมได้หลายครั้ง เพราะมีร้านใหม่ที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง

 

ยุคนี้ต้องไว ข้ามเดือนก็ช้าไปแล้ว

ธีรนันท์กล่าวถึงกุญแจสำคัญที่เป็นแกนกลางในกลยุทธ์ของศูนย์ฯ คือการเล็งเห็น “เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค” ที่น่าสนใจคือเรื่องของ กระแสมาไวไปไว เทรนด์ฮิตยุคนี้เป็นยิ่งกว่าแฟชันเพราะเปลี่ยนเร็วกว่าเดิม ยกตัวอย่างช่วงที่ผ่านมามีกระแส “ครัวซองต์” ต่อด้วย “เซิร์ฟสเก็ต” ซึ่งเทรนด์พวกนี้จะถึงจุดพีคช่วงสั้นๆ บางกระแสมีอายุเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ทำให้ทีมงานต้องจับกระแสเร็วและทำให้เร็ว

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ชุมชนเฉพาะกลุ่ม นั่นคือความชอบของคนยุคนี้มีความเฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยสังเกตได้จากกรุ๊ปบนโซเชียลมีเดียได้เลย เช่น กลุ่มคนรักการวิ่ง กลุ่มคนชอบทำอาหาร

ลานเซิร์ฟสเก็ตสามย่านมิตรทาวน์ จับกระแสมาไวไปไวของสังคมให้ทัน

เมื่อเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเช่นนี้ ทำให้นอกจากจะมีร้านหลักที่เซ็นสัญญาระยะยาวในศูนย์การค้าแล้ว จะต้องมีพื้นที่ลานโปรโมชันและบริเวณให้เปิดร้านค้าแบบ Pop-up ที่หมุนเวียนได้เร็ว โดยที่สามย่านมิตรทาวน์จะหมุนเวียนทุก 2 สัปดาห์ และการเปลี่ยนร้านแต่ละครั้งต้องมี “ธีม” ในการจัดงานด้วย เพื่อให้โปรโมตไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ดึงคนที่สนใจเข้ามาเดินช้อปพร้อมกัน เช่น ธีมรวมร้านอาหารเกาหลี ธีมรวมร้านสินค้าออร์แกนิกส์

หรือบางจุดจะเป็นลานกิจกรรมเพื่อสังคมที่เปิดให้ใช้ฟรี เช่น การเปิดลานเซิร์ฟสเก็ตที่เล่นได้ถึงเที่ยงคืน จัดพื้นที่ให้นิสิตนักศึกษาแสดงผลงานวิทยานิพนธ์ เพราะเป้าหมายหลักคือการดึงทราฟฟิกให้กับร้านค้าภายในศูนย์ฯ

ร้านค้า Pop-up หมุนเวียนทุก 2 สัปดาห์ เพื่อดึงคนให้มาศูนย์การค้าได้บ่อยๆ

ธีรนันท์กล่าวว่า การทำงานกับ Pop-up และเล่นกับกระแสต้องตัดสินใจไว ดังนั้น ศูนย์ฯ มีการตั้ง “หน่วยม้าเร็ว” ขึ้นมา มีหน้าที่จัดอีเวนต์ขนาดเล็กที่ต้องจัดให้ได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนเพื่อให้ทันกระแส

ระหว่างที่การจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ยังถูกคุมเข้มจากภาครัฐ ก็ต้องใช้อีเวนต์เล็กเลี้ยงทราฟฟิก แต่ถ้ากลับมาจัดอีเวนต์ใหญ่ได้ ธีรนันท์เชื่อว่าจะกลับไปแตะ 80,000 คนต่อวันได้ตามเป้าแน่นอน

 

“ร้านอาหาร” ยังมีดีมานด์เช่าระยะยาว

ด้านอัตราการเช่า (occupancy) ของร้านค้าในสามย่านมิตรทาวน์อยู่ที่ 97% โดยมีร้านอาหารใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เฉพาะกลุ่มร้านอาหารเพิ่มสัดส่วนจาก 43% เป็น 50% ของร้านค้าทั้งหมดแล้ว เพราะเรื่องอาหารยังคงเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดได้ของศูนย์ฯ

K-Streat ร้านใหม่ในสามย่านมิตรทาวน์ ลักษณะเป็นฟู้ดคอร์ทรวมเฉพาะร้านอาหารเกาหลีไว้ในที่เดียว

โดยปีนี้มีร้านใหม่ที่เปิดบริการ เช่น K-Streat ฟู้ดคอร์ทรวมอาหารเกาหลี, Lemon Farm Cafe ร้านสินค้าออร์แกนิกส์, Lhong Tou คาเฟ่สไตล์จีนชื่อดังจากเยาวราช, เพลินพุง Cafe ร้านอาหารราคาประหยัดไม่เกิน 100 บาท ฯลฯ

ธีรนันท์ประเมินดีมานด์ผู้เช่ายังคงมีอยู่ในตลาด เพียงแต่ความต้องการมักจะเป็นร้านเล็ก 30-40 ตร.ม. เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน และสถานการณ์เศรษฐกิจทำให้ราคาเช่ายังเติบโตไม่มาก

มองภาพระยะยาว ธีรนันท์เชื่อว่าหลังมีการกระจายวัคซีนแพร่หลาย สถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้นและหวังว่าจะไทยจะเปิดประเทศได้โดยเร็ว เพื่อที่สามย่านมิตรทาวน์จะกลับสู่แผนงานเดิมที่เตรียมดึงลูกค้าต่างชาติเข้ามาเพิ่ม สร้างความคึกคักได้มากกว่านี้

]]>
1324629
ไม่ใช่รีเทลทุกแห่งที่ซบเซา Costco “ยอดขายพุ่ง” หลังประชาชนแห่กักตุนสินค้ารับมือไวรัส https://positioningmag.com/1267565 Mon, 09 Mar 2020 10:12:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1267565 Costco ประกาศยอดขายพุ่งหลายสาขา เนื่องจากลูกค้าแห่ช้อปสินค้ายังชีพด้วยความวิตกต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ช่วงหนึ่งสัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมา ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้มียอดขายที่ดีขึ้นอย่างมาก โดยมีสินค้าขายดี ได้แก่ อาหารแห้ง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด น้ำดื่ม สินค้าประเภทกระดาษ และน้ำยาล้างมือ

ไวรัส COVID-19 อาจจะโจมตีสภาพเศรษฐกิจโลกจนพังยับ แต่บางกลุ่มธุรกิจอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตกลับมียอดขายดีขึ้น โดย Richard Galanti ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของ Costco เปิดเผยกับนักวิเคราะห์ว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทพบว่าดีมานด์ลูกค้าสูงขึ้น 3% จากปกติ

“ลูกค้าสมาชิกของเราเข้ามาซื้อสินค้าหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมรับมือไวรัส เช่น อาหารแห้งที่เก็บไว้ได้นาน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด น้ำยาคลอรีน น้ำยาฟอกขาว น้ำดื่ม สินค้าประเภทกระดาษ น้ำยาล้างมือ ทิชชูเปียก สารฆ่าเชื้อโรค และสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ-ความงาม” Galanti กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยอดขายดีแต่ก็มีปัจจัยลบ Galanti กล่าวว่า ความต้องการสินค้าเหล่านี้มากเป็นพิเศษทำให้ระบบโกดังมีปัญหาพอสมควร เพื่อที่จะเติมของให้ทันต่อความต้องการ โดยโกดัง Costco ไม่เพียงแต่จำหน่ายสินค้าตามสาขา แต่ยังต้องรับคำสั่งซื้อเดลิเวอรี่ด้วย สาเหตุที่สินค้าเริ่มจะไม่พอส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าหลายชิ้นผลิตจากโรงงานในจีนซึ่งปิดชั่วคราวมาตั้งแต่มีการระบาดเกิดขึ้น

ปัญหาซัพพลายขาดทำให้ Costco ค้าปลีกยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ แคนาดา และมีสาขาในอีกหลายประเทศ กำลังจะออกนโยบายจำกัดจำนวนซื้อสำหรับสินค้าบางชนิดโดยแตกต่างกันไปตามภูมิภาค

นอกจากนี้ จะมีมาตรการรับมือไวรัส เช่น เช็ดทำความสะอาดมือจับรถเข็นสินค้า วางน้ำยาทำความสะอาดกระจายทั่วโกดังสินค้า โดยมีบางสาขาของ Costco ที่มีมาตรการรับมือพิเศษ เช่น สาขาในเกาหลีใต้จะปิดทำการชั่วคราว 2-3 วัน สาขาในเซี่ยงไฮ้จะจำกัดจำนวนคนเข้าซื้อต่อครั้ง

ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายรีเทลจะพุ่ง แต่อีกกลุ่มธุรกิจหนึ่งของบริษัทคือธุรกิจเอเจนซี่ทัวร์ เรือสำราญ ที่พัก และรถเช่า ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีดีมานด์ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์และบริษัทได้คาดการณ์ไว้แล้ว

“สัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมาเราทำยอดขายได้ดีมาก แต่เราจะจับตาดูว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” Galanti กล่าวปิดท้าย

source

]]>
1267565
ตลาดค้าปลีกไทยยังโต สวนทาง ตปท. พื้นที่เช่าห้างดังโซนพระราม 1 – สุขุมวิทเต็มยาว ฟิตเนส 24 ชม. แม่เหล็กใหม่ดูดลูกค้า https://positioningmag.com/1182538 Wed, 08 Aug 2018 08:16:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1182538 เน็กซัสฟันธง ตลาดรีเทลหรือค้าปลีกของประเทศไทยยังเติบโต สวนทางกับตลาดรีเทลประเทศอื่นๆ ที่โดนผลกระทบจากตลาดออนไลน์และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค 

บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้คาดการณ์ถึง แนวโน้มการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของตลาดรีเทลยังคงเติบโต  เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง  ซึ่งอสังหาฯเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

โดยธุรกิจรีเทลเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจในตลาดอสังหาฯ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา ตลาดรีเทลของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับตลาดรีเทลในประเทศอื่นๆ ที่โดนผลกระทบจากตลาดออนไลน์และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค

ศูนย์การค้าโซนพระราม 1 ถึงสุขุมวิทตอนกลาง ว่างแค่ 5% ค่าเช่าเพิ่ม ร้านค้าอยากเช่าอาจต้องรอเป็นปี

ตลาดรีเทลเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ผู้ประกอบการต่างเร่งพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อแข่งขันอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือใหญ่  นับตั้งแต่ศูนย์การค้าอย่าสยามพารากอนเปิดให้บริการเมื่อปีพ.ศ. 2549 เป็นเหตุให้ศูนย์การค้าชั้นนำหลายแห่งทำการปรับปรุงพื้นที่ โดยเฉพาะย่านพระราม 1 ราชประสงค์ เพลินจิต และสุขุมวิท พื้นที่เช่าเฉลี่ยในย่านนี้ ซึ่งคลอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่หัวถนนพระราม1 สยามดิสคอวเวอรี่ ตลอดแนวจนถึงสุขุมวิทตอนกลาง และเอ็มควอเทียร์

ส่งผลให้ในย่านนี้ มีอัตราว่างของพื้นที่เฉลี่ยน้อยกว่า 5% อีกทั้งค่าเช่ายังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ร้านค้าอาจต้องรอเป็นปีเพื่อให้ได้พื้นที่เช่าในห้างดังหลายๆแห่ง

ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นธุรกิจหลักในการดึงดูดลูกค้าของห้างโดยใช้สื่อออนไลน์เป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าจากทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยยังเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อตลาดรีเทลของไทยอีกด้วย โดยในปีที่ผ่านมารายได้จากนักท่องเที่ยวเติบโตร้อยละ 11.66

เกษร ทาวเวอร์ ดันค่าเช่า 3.9 พันบาท/ตร.ม.

เกษร ทาวเวอร์เป็นซัพพลายล่าสุดในย่านพระราม1 – สุขุมวิทซึ่งทำการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วด้วยพื้นที่เช่าเชิงพาณิชยกรรมกว่า 10,000 ตารางเมตร ทำให้ตลาดรีเทลในย่านพระราม1-สุขุมวิท มีพื้นที่เช่ารวมที่ประมาณ 660,000 ตารางเมตร ค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน และมีอัตราการเช่าที่ 96.4%

แต่อย่างไรก็ตาม ที่ดินขนาดใหญ่ในย่านพระราม 1 ราชประสงค์ต่อเนื่องไปถึงสุขุมวิทตอนกลางในปัจจุบันหาได้ยากมากและราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีซัพพลายใหม่ๆในย่านนี้เกิดขึ้นอย่างจำกัด ผู้ประกอบการจึงให้ความสนใจในการเช่าที่ดินระยะยาวมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมองหาทำเลใหม่ๆในโซนอื่นของกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับพฤติกกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลายผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจในการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

ธีรวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า มีหลายธุรกิจที่ต้องการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร โคเวิร์กกิ้ง สเปซ หรือแม้กระทั้ง ศูนย์บริการความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ โดยมองว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสที่ดีของหลายธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบของตลาดรีเทลไทย

ฟิตเนส 24 ชม. ดึงดูดลูกค้าไม่แพ้แมคโดนัลด์-สตาร์บัคส์

นอกจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยียังเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่หันมาให้ความสนใจกับสุขภาพอย่างจริงจัง โดยจะเห็นได้จากกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังต้องการความสะดวกสบายที่จะเข้าถึงสุขภาพที่ดี

ทำให้เกิดธุรกิจเพื่อสุขภาพเช่นฟิตเนสหรือคลาสสุขภาพต่างๆ โดยสถานที่ออกกำลังกายกระจายอยู่ในแทบทุกอาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงอาคารสำนักงานต่างๆ

ธุรกิจฟิตเนสในไทยเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์ดังมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ฟิตเนส เชนส่วนมากจับกลุ่มตลาดระดับบนและส่วนมาก ฟิตเนสระดับกลางจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้เกิดช่องว่างทางการตลาดของฟิตเนสระดับกลาง

เมื่อความสะดวกสบายและเทรนด์สุขภาพมารวมกัน จึงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจเพื่อสุขภาพ 24 ชั่วโมง โดยฟิตเนสที่เปิดให้บริการ24 ชั่วโมง อย่างน้อย 3 แบรนด์จากต่างประเทศเล็งเห็นถึงช่องว่างและความเป็นไปได้ทางการตลาดในไทย และได้เข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดแต่ละรายพยายามหาพื้นที่เช่าที่แตกต่างออกไปจากฟิสเนสที่เคยเห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยความต้องการหลักคือต้องการเช่าพื้นที่ชั้นล่าง ที่มองเห็น – เข้าออก-เดินทางได้สะดวก แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความต้องการและยอมรับ

คงต้องใช้เวลาซักพักที่จะทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการหลายๆรายว่า ฟิตเนสจะสามารถเป็นตัวดูดลูกค้าเข้ามาในพื้นที่ได้เหมือนสตาร์บัคหรือแมคโดนัล 

ธีรวิทย์ กล่าว

อนาคตตลาดรีเทลยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีเสน่ห์ที่น่าสนใจ สิ่งที่จะท้าทายผู้ประกอบการคือ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำอย่างไรที่จะดึงจุดเด่นทางเทคโนโลยีเข้ามาสร้างความแตกต่าง เพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด

]]>
1182538