ธุรกิจสัตว์เลี้ยง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 30 Aug 2024 01:45:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มูลค่าตลาด “สัตว์เลี้ยง” ปี’67 ชะลอการเติบโต “รพส.ทองหล่อ” ชี้คนรับเลี้ยงสัตว์ตัวใหม่น้อยลง https://positioningmag.com/1488067 Thu, 29 Aug 2024 13:45:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488067
  • “รพส.ทองหล่อ” ประเมินมูลค่าตลาด “สัตว์เลี้ยง” ปี 2567 จะเติบโตประมาณ 6-8% ชะลอลงจากปกติ เศรษฐกิจซบเซาเป็นเหตุกระทบคนไทยรับเลี้ยงสัตว์ตัวใหม่น้อยลง
  • อย่างไรก็ตาม เทรนด์ระยะยาวที่คนไทยจะเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูกยังคงอยู่ ปีนี้รพส.ทองหล่อเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 2 สาขา ปีหน้าลงทุนขยายพื้นที่สาขาปิ่นเกล้าใหญ่ขึ้นกว่า 7 เท่า
  • “สพญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล” ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ประเมินมูลค่าตลาดสินค้าเกี่ยวกับ “สัตว์เลี้ยง” เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ค่ารักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยง ภายในปี 2567 คาดจะเติบโตแตะ 1.12 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 6-8% จากปีก่อนหน้า

    แม้จะยังเติบโตได้ แต่ถือว่าการเติบโตชะลอลงจากปกติที่ตลาดสินค้าสัตว์เลี้ยงในไทยจะโตไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สพญ.กฤติกากล่าวว่าเคยมีการประเมินว่าตลาดจะโต 9% แต่เมื่อมาถึงช่วงปลายปี สถานการณ์ตลาดไม่สู้ดีนักจากสภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้มีการปรับคาดการณ์ลงมาดังกล่าว

    “เราถามในวงการผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง หมวดที่ยอดขายลดลงจะเป็นกลุ่มอาหารสำหรับลูกสุนัขและลูกแมว ถามทางฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงก็ยอดขายตกลง” สพญ.กฤติกากล่าว “แสดงว่าคนที่เลี้ยงสัตว์อยู่แล้วก็ไม่เลี้ยงเพิ่ม คนที่ยังไม่มีสัตว์เลี้ยงก็เลือกที่จะไม่รับเลี้ยงในปีนี้”

    สัตว์เลี้ยง
    “สพญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล” ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

     

    ปีนี้สะดุด แต่ระยะยาว ‘DINK’ ยังเป็นเทรนด์

    อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้ตลาดอาจจะชะลอความร้อนแรงลงบ้าง แต่สพญ.กฤติกามองว่า ในระยะยาวเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง (Pet Humanization) จะยังคงอยู่ เพราะกระแสการใช้ชีวิตสมัยใหม่ของคนวัยทำงานยุคนี้ต้องการจะแต่งงานมีคู่แต่ไม่มีลูก หรือที่เรียกว่า Double Income No Kid (DINK) และคนกลุ่มนี้บางส่วนจะเลือกเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก รวมถึงสังคมไทยยังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุด้วย ทำให้มีกลุ่มผู้สูงวัยจำนวนมากหันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อแก้เหงา

    “พูลเพิ่ม ทองเจริญพูลพร” ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน รพส.ทองหล่อ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เมื่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญกับน้องๆ สุนัขและแมวมากขึ้นก็จะยินดีใช้จ่ายเพื่อดูแลสูงขึ้นด้วย

    ปัจจุบันจากการวิจัยของโรงพยาบาลพบว่า เจ้าของสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ จะใช้จ่ายในการดูแลเฉลี่ย 28,000 บาทต่อปี และเจ้าของสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น ปอมเมอเรเนียน จะใช้จ่ายในการดูแลเฉลี่ย 24,000 บาทต่อปี ส่วนกรณีน้องแมวยังไม่มีข้อมูลวิจัย แต่กระแสการเลี้ยงแมวกำลังมาแรงขึ้นมากในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา

    “พูลเพิ่ม ทองเจริญพูลพร” ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

     

    ปีนี้เปิดเพิ่ม 2 สาขา ปีหน้าขยายพื้นที่ “ปิ่นเกล้า”

    เมื่อตลาดน่าจะยังเติบโตทำให้ รพส.ทองหล่อ ยังมีการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยในปี 2567 จะมีการเปิดทั้งหมด 2 สาขา สาขาแรกเชียงใหม่แอร์พอร์ต เปิดตัวแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่สาขาอโศก-ประสานมิตร (สุขุมวิท 31) จะเปิดตัวช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ รวมทั้งหมดจะมีครบ 21 สาขาในปีนี้

    ส่วนแผนการลงทุนปี 2568 จะไม่มีการเปิดสาขาใหม่ เพราะจะมีโปรเจ็กต์ใหญ่ในการย้ายที่ตั้งและขยายพื้นที่สาขาเดิม คือ สาขาปิ่นเกล้า จากเดิมเป็นตึกแถวพื้นที่เล็ก 600-700 ตร.ม. จะย้ายไปยังทำเลใหม่ตรงข้ามตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี พื้นที่ใหญ่ขึ้นเป็น 4,500 ตร.ม. ใช้งบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการจัดซื้อที่ดินและก่อสร้างใหม่ทั้งหมด

    “ปิ่นเกล้าเป็นสาขาที่มีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของเครือ เป็นรองแค่สาขาสำนักงานใหญ่พระราม 9 ปัจจุบันพื้นที่ที่ปิ่นเกล้าไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้เราต้องหาพื้นที่ใหม่” สพญ.กฤติกากล่าว “หลังขยายสาขาจะมีที่จอดรถอย่างเพียงพอ มีสวนและสระว่ายน้ำพร้อมรองรับสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะน่าจะย้ายสาขาได้ในปี 2569”

    โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
    (Photo: Facebook Page โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ)

    ด้านการเข้าลงทุนในโรงพยาบาลสัตว์อื่นๆ สพญ.กฤติกาให้ข้อมูลว่า มีการลงทุนแล้ว 8 แห่ง และยังอยู่ระหว่างเจรจาดีลอยู่อีก 10 แห่ง การเข้าลงทุนในโรงพยาบาลอื่นของรพส.ทองหล่อยังคงแนวคิดเดิม คือจะไม่มีการเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาล และจะเข้าไปเพื่อช่วยดูแลในส่วนการบริหารจัดการหลังบ้าน เช่น การเงิน บัญชี จัดซื้อ เพื่อให้โรงพยาบาลมีประสิทธิภาพในการทำกำไร

    ขณะที่การลงทุนของ รพส.ทองหล่อ ในตลาด “เวียดนาม” นั้น ปัจจุบันเปิดโรงพยาบาลแล้ว 1 แห่งที่เมืองโฮจิมินห์ ขณะนี้กำลังหารือกับพาร์ทเนอร์ร่วมทุนในการเปิดสาขาที่ 2 ในเวียดนามซึ่งอาจจะยังอยู่ในโฮจิมินห์หรือขยายไปเปิดที่กรุงฮานอย

    พูลเพิ่มเสริมด้วยว่า เครือรพส.ทองหล่อไม่ได้เน้นที่การเติบโตด้านตัวเลขเท่านั้น แต่ยังเน้นการลงทุนและเติบโตด้านบุคลากรและเทคโนโลยีอีกด้วย โดยโรงพยาบาลมีการลงทุนทั้งอุปกรณ์นวัตกรรมใหม่ในการรักษา และเทคโนโลยีกลุ่มงาน ‘หลังบ้าน’ ที่ช่วยให้บุคลากรประหยัดเวลาทำงาน เช่น ระบบเช็กสต็อกยา, ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด (cashless), ระบบ e-Approval ฝ่ายบริหารสามารถเซ็นเอกสารจากที่ไหนก็ได้ เป็นต้น

    รวมถึงรพส.ทองหล่อมีการจัดการเรียนการสอน “Thonglor Academy” ช่วยพัฒนานิสิตนักศึกษาในการเป็นสัตวแพทย์ พยาบาลสัตว์ และเปิดให้สัตวแพทย์จากต่างประเทศเข้ามาอบรมได้ และยังมีความร่วมมือกับศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพช่างอาบน้ำตัดขน (grooming) อีกด้วย

    ]]>
    1488067
    TU สปินออฟ “ไอ-เทล” บริษัท OEM “อาหารสัตว์เลี้ยง” Top 10 โลก IPO เคาะราคา 30-32 บาท/หุ้น https://positioningmag.com/1408531 Wed, 16 Nov 2022 09:38:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408531 ไทยยูเนี่ยน (TU) สปินออฟบริษัทลูก “ไอ-เทล” เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิด IPO ราคา 30-32 บาท/หุ้น โดยบริษัทนี้เป็นผู้ผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” รายใหญ่ในระดับ Top 10 ของโลก มองเทรนด์อนาคตเข้าทางเพราะคนทั่วโลกหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัว ยอมใช้จ่ายสูงขึ้นเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก คาดการณ์ตลาดโลกโตเฉลี่ยปีละ 7.1%

    บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เริ่มเดินหน้าโรดโชว์ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยประกาศเปิดขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ด้วยช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น รวมคิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 21,120 ล้านบาท โดยหุ้น IPO จะคิดเป็นไม่เกิน 22% ของจำนวนหุ้นสามัญหลัง IPO

    ITC จะพร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2565 และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2565

    คณะผู้บริหาร ITC

    “ไอ-เทล” ทำธุรกิจอะไร?

    ชื่อบริษัท “ไอ-เทล” อาจฟังไม่คุ้นหูนัก แต่จริงๆ บริษัทดำเนินธุรกิจผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” มานาน 45 ปี ภายใต้เครือไทยยูเนี่ยน (TU) และเพิ่งปรับโครงสร้าง เปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อเตรียมเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2564 นี้เอง

    “พิชิตชัย วงศ์ปิยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงประวัติบริษัทว่า แต่เดิมเริ่มต้นจากการนำ by-products เศษเหลือของการผลิตอาหารทะเลที่เป็นอาหารมนุษย์ของ TU มาเพิ่มมูลค่าด้วยการผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง

    แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ TU ตั้ง “Global Pet Care Business Unit” ขึ้นในปี 2558 เห็นได้ชัดว่า วันนี้อาหารสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ by-products ของอาหารคนอีกต่อไป แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสร้างนวัตกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

     

    ตลาดใหญ่อยู่ในอเมริกา เน้นหนักอาหาร “แมว”

    ลักษณะธุรกิจของไอ-เทล ทำรายได้ 99% จากการรับจ้างผลิต (OEM) มีรายได้จากแบรนด์ของตนเอง (own brand) เพียง 1% โดยมีแหล่งผลิตอยู่ 2 แห่ง คือ โรงงานจ.สมุทรสาคร และโรงงานจ.สงขลา

    การรับ OEM อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท ถือเป็นรายใหญ่ระดับ Top 10 ของโลก ปัจจุบันไอ-เทลส่งออกไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลก มีคู่ค้าสำคัญที่สั่งซื้อสินค้าไปขายภายใต้แบรนด์อย่าง Mars Petcare และ The J.M.Smucker Co. ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในสหรัฐฯ รวมถึง Aixia แบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่น

    ITC ไอ-เทล IPO

    หากคิดเป็นสัดส่วน ขณะนี้ตลาดใหญ่ที่สุดของไอ-เทล คือ ทวีปอเมริกา 46.2% รองมาคือทวีปเอเชียและโอเชียเนีย 34.4% และตามด้วยทวีปยุโรป 19.4%

    พิชิตชัยยังอธิบายถึง “ความแข็งแรง” ของบริษัท มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงประเภท “อาหารเปียก” และ “ขนมสัตว์เลี้ยง” และสัดส่วนใหญ่ของสินค้าจะอยู่ในกลุ่มอาหารแมวถึง 83% ที่เหลือ 17% เป็นอาหารสุนัข

    IPO ไอ-เทล

    ความแข็งแรงในนวัตกรรมขนมสัตว์เลี้ยงและอาหารแมวนั้นไอ-เทลคาดว่าจะเป็นข้อได้เปรียบของบริษัท โดยพิชิตชัยเสนอให้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ของคนในปัจจุบันมีการ ‘Humanization’ เลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่ง ทำให้ตลาดจะต้องการ “ขนมสัตว์เลี้ยง” มากขึ้น

    รวมถึงไอ-เทลยังพบว่า ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นนั้นนิยมเลี้ยงแมวมากขึ้น โอกาสเติบโตของ “อาหารแมว” จะมีมากกว่าอาหารสุนัข

     

    OEM ที่คิดค้นนวัตกรรมพร้อมเสิร์ฟลูกค้า

    ด้าน “นคร นิรุตตินานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการของ ITC อธิบายถึงจุดแข็งของบริษัทที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง มาจากการเน้นหนักการเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมที่มาจากการคิดค้น “นวัตกรรม” ทำให้ลอกเลียนแบบสูตรได้ยาก

    “ฐานข้อมูลด้านสารอาหารของเราเชื่อว่านำหน้าคนอื่นไปกว่า 10 ปี” นครกล่าว

    ปัจจุบันไอ-เทลจึงมีสินค้าถึง 5,187 SKUs และมีการคิดค้นเพิ่มปีละกว่า 1,000 รายการ เพื่อตอบโจทย์ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงทุกช่วงวัย ทุกความต้องการทางสุขภาพ ลักษณะอาหารหรือรสชาติที่ต้องการ และบริษัทยังพร้อมจะ ‘customize’ ให้ลูกค้าที่ต้องการลักษณะเฉพาะสำหรับแบรนด์ตนเอง ซึ่งทำได้ก็เพราะมีศูนย์ R&D ของตนเอง จึงเป็น OEM ที่ไม่ได้หยุดนิ่งรอการสั่งซื้อเท่านั้น

     

    กินตลาดใหญ่แล้วแต่ยังโตได้อีก

    ITC รายงานผลประกอบการปี 2564 ทำรายได้ 14,500 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 15% ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2562-64) โดยมีอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15-20% มาโดยตลอด

    ขณะที่รอบ 9 เดือนแรกปี 2565 ทำรายได้ไป 15,829 ล้านบาท เติบโต 52.5% YoY และทำกำไรสุทธิ 3,700 ล้านบาท

    ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีการเติบโตที่ดี โตเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (2558-2564) แต่แนวโน้มอนาคตก็ยังจะโตมากขึ้น อ้างอิงการวิจัยโดย Frost & Sullivan คาดว่าตลาดมูลค่า 5 ล้านล้านบาทนี้ จะโตเฉลี่ยปีละ 7.1% ในรอบ 5 ปีข้างหน้า (2565-69) เพราะเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว และเทรนด์ครัวเรือนที่ไม่มีบุตรแต่จะเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแทน

    ทำให้แผนของไอ-เทลต้องการจะหาโอกาสเติบโตต่อไป “พรชัย ตติยชัยทวีสุข” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ของ ITC เปิดกลยุทธ์ 3 ด้านที่จะสร้างการเติบโตให้ ITC ดังนี้

    1.ขยายส่วนแบ่งในตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น
    • เจาะกลุ่มลูกค้าห้างค้าปลีกที่ต้องการมีแบรนด์ของตนเอง (Private Label)
    • เพิ่มสินค้านวัตกรรม เช่น ขนมสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าจะโต 11.0% ต่อปีในรอบ 5 ปีข้างหน้า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมของตลาด)
    2.เพิ่มน่านน้ำใหม่ ในตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตสูง เช่น จีน อังกฤษ
    • ร่วมมือกับแบรนด์คู่ค้านอกประเทศจีนที่ต้องการส่งแบรนด์เข้าเจาะตลาดจีน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้ง่ายขึ้น
    • รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ท้องถิ่นจีนซึ่งต้องการสินค้าระดับพรีเมียม โดยขณะนี้บริษัทมีข้อตกลงกับอีคอมเมิร์ซรายใหญ่รายหนึ่งให้ผลิตสินค้าภายใต้ Private Label ของอีคอมเมิร์ซเรียบร้อยแล้ว
    • รับจ้างผลิตให้กับห้างค้าปลีกที่ต้องการ Private Label ของอังกฤษ โดยไอ-เทลมีจุดแข็งที่สนองตลาดอังกฤษได้เนื่องจากมีนโยบาย ESG ร่วมกับ TU บริษัทแม่มาโดยตลอด
    3.ผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มมูลค่า
    • อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางสารอาหารและให้ผลจริง
    • อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำจากโปรตีนทางเลือก เช่น แมลง
    • อาหารและเครื่องดื่มสัตว์เลี้ยงที่ผลิตเลียนแบบอาหารคน ตอบโจทย์ Humanization เช่น เบียร์สัตว์เลี้ยง ให้เจ้าของได้ทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยงในแบบเดียวกัน
    อาหารสัตว์เลี้ยง ไอ-เทล
    อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำเลียนแบบอาหารคน ให้สัตว์เลี้ยงได้มีไลฟ์สไตล์เดียวกับเจ้าของ

     

    ระดมทุนสร้างโรงงานใหม่และการ R&D

    จากแผนการเติบโตทั้งหมดของไอ-เทล ทำให้การระดมทุนครั้งนี้มีขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนต่างๆ เหล่านี้

    • สร้างโรงงานแห่งใหม่ ในบริเวณเดียวกับโรงงาน จ.สมุทรสาคร จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 7%
    • ซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับโรงงานต้นแบบ
    • ปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรในโรงงานเดิม
    • ระบบอัตโนมัติในการติดฉลากและบรรจุสินค้า
    • เพิ่มคลังสินค้าระบบอัตโนมัติทั้งที่สมุทรสาครและสงขลา
    • สร้างศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหารแมว “Cattery”
    • ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
    ]]>
    1408531
    บูมมาก! “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” กำลังฮิตในอเมริกา คาดปีนี้ใช้จ่ายสูงถึง 7.5 หมื่นล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1257318 Tue, 17 Dec 2019 07:00:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257318 Photo : Pixabay

    ยามเหงาบางทีเราก็มีสัตว์เลี้ยงนี่เเหละเป็นเพื่อน บ่อยครั้งก็ผูกพันกันเหมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ไม่แปลกใจที่ยุคนี้ “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” รวมไปถึงคาเฟ่หมาเเมวต่างๆ กำลังได้รับความนิยมในหลายประเทศ เเละตอนนี้ในอเมริกาก็กำลังบูมสุดๆ

    รายงานจาก cnbc ระบุว่า ในปี 2018 ชาวอเมริกันใช้จ่ายไปกับเหล่าสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ซื้อของเล่น อุปกรณ์เทคโนโลยี ไปจนถึงการดูแลรักษาสัตว์ มากถึง 72,560 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ราว 69,510 ล้านเหรียญ เเละคาดว่าในปีนี้ ยอดใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงในอเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็น 75,380 ล้านเหรียญ เลยทีเดียว (ราว 2.2 ล้านล้านบาท )

    David Westenberg นักวิเคราะห์จาก Guggenheim Securities กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ที่ชื่นชอบสัตว์เลี้ยงอย่างหมาและแมว เริ่มดูแลเอาใจใส่พวกมันเหมือนกับการดูแลลูกของพวกเขา ซึ่งวัฒนธรรมนี้เเตกต่างจากในอดีตที่จะมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเเค่ “สัตว์ที่ช่วยดูแลบ้านหรือเฝ้าบ้าน” มากกว่าเป็นเพื่อนคลายเหงาของมนุษย์

    สัตว์เลี้ยงมีผลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ชาวมิลเลนเนียล ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง มีอัตราการเเต่งงานน้อยลงเเละมีลูกช้าขึ้น จึงมักหันไปดูเเลสัตว์เลี้ยงในฐานะตัวแทนของลูกน้อยที่ต้องให้ความสำคัญ เเละยอมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อดูเเลสัตว์เลี้ยงของพวกเขาให้มีชีวิตที่ดี

    ชมคลิป : here’s how dogs and cats became big business

     

    ]]>
    1257318
    ธุรกิจอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ปี 2559 https://positioningmag.com/1096248 Mon, 04 Jul 2016 01:45:47 +0000 http://positioningmag.com/?p=1096248 1096248 มูลค่าตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยง 22,000 ล้านบาท ปี 2557 https://positioningmag.com/59110 Mon, 12 Jan 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59110
    ]]>
    59110
    สัตว์เลี้ยงแสนรัก…ตลาดหมื่นล้าน https://positioningmag.com/58001 Wed, 11 Jun 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58001

    ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง น้องหมา และแมว ใครว่าเล่นๆ ตัวเลขทะลุ “หมื่นล้านบาท” ไปแล้ว และยังเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่น้อยกว่า 10-20%

    เมื่อคนเมืองหันมานิยมเลี้ยง “น้องหมา น้องแมว” เป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจข้างกาย ไว้เป็นทั้งเพื่อนยามเหงา เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อเนื่องทุกปี แถมยังมีสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกมากมาย

    ดูอย่างงาน “Pet Expo Thailand 2014” จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แม้จะจัดขึ้นในช่วงที่มีเหตุการณ์บ้านเมืองตึงเครียด แต่กลับพบว่าบรรดาคนรักหมา รักแมว จูงสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นเลือกซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก

    ปณิธาน บำราศอรินทร์พ่าย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด บอกว่า แม้จะจัดมาเป็นปีที่ 14 แล้ว แต่จำนวนคนที่เข้าชมงานยังเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20% ทุกปี ส่วนปีนี้ก็เช่นกัน แม้จะมีเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่คนก็ยังมางาน เพราะทั้งแฟนประจำที่มาทุกปี และคนที่นิยมสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นทุกปี 

    ส่วนสาเหตุที่คนหันมานิยมเพิ่มขึ้น มาจากหลายสาเหตุ คนแต่งงานช้าลงอยู่เป็นโสดมากขึ้น บางคู่แต่งแล้วไม่มีลูกก็หันมาเลี้ยงน้องหมาเป็นเพื่อน รวมถึงโลกโซเชียลมีเดียก็มีผลทำให้มีการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม พอเห็นดาราโพสต์ภาพน้องหมา น้องแมว ก็เกิดเอาอย่าง 

    “เหตุการณ์บ้านเมืองตรึงเครียด ทำให้คนมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อผ่อนคลายมากขึ้น อนามัยของสัตว์เลี้ยงที่ดีขึ้น คนรังเกียจสัตว์เลี้ยงน้อยลง พัฒนาการแพทย์ดีขึ้น มีแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลสัตว์เลี้ยง คนหันมาดูแลใส่ใจสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น”

    คนที่มาเที่ยวชมในงาน มักจะพาสัตว์เลี้ยงมาเที่ยวเล่น มาร่วมทำกิจกรรม ส่วนใหญ่จะมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อ “บำรุง บำเรอ” สัตว์เลี้ยงของตัวเอง เขาคาดว่า เม็ดเงินที่จะเกิดการซื้อขายสินค้าในงานปีนี้จะมีตกอยู่ 70-80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากปีที่แล้ว จึงทำให้มีสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงออกมากมาย ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งมีความหลากหลายให้เหมาะกับชนิด หรือลักษณะอาการของสุนัข เช่น อาหารสำหรับสุนัขที่ผิวละเอียดอ่อน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับข้อ หรือกระดูก

    เวชภัณฑ์ต่างๆ ก็เช่นกัน จะมียาชนิดต่างๆ ผลิตออกมาจำหน่ายมากมายและหลากหลาย ยาป้องกันเห็บหมัด ยาบำรุงขน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอวด แอคเซสเซอรี่ต่างๆ เสื้อผ้า ขนมขบเคี้ยว รวมทั้งด้านการแพทย์ก็เช่นกัน โรงพยาบาลที่มาออกงานจะเห็นเลยว่ามีเพิ่มการรักษาที่เฉพาะทางมากขึ้น เช่น จักษุสัตวแพทย์ดูแลเรื่องดวงตาของสัตว์เลี้ยง 

    รวมถึง “บริการ” ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็มีความหลากหลายมากขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมากขึ้น เช่น บริการแท็กซี่สำหรับน้องหมา น้องแมว และบริการฌาปนกิจให้กับสัตว์เลี้ยงที่รักต้องเสียชีวิตลง ทั้งการจัดพิธีศพ จัดการฝัง หรือเผา ตามที่เจ้าของต้องการ 

    “ผมว่าเป็นธุรกิจนี้มีอนาคตมาก เพราะคนหันมาอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมมากขึ้น และด้วยพื้นที่ที่จำกัด เมื่อสัตว์เลี้ยงเสียชีวิตลง ก็ต้องใช้บริการจากผู้ให้บริการเหล่านี้”

    รวมถึงการทำประกันชีวิตให้สัตว์เลี้ยงก็เริ่มมีมาให้ใช้บริการ แต่เวลานี้ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก คงต้องรอสักพักหนึ่งที่คนรักและผูกพันมากๆ จนทำประกันให้กับสัตว์เลี้ยงเป็นที่นิยมขึ้นมาได้

    อีกเทรนด์ที่มาแรงในมุมองของปณิธาน คือ คนหันมานิยมเลี้ยงแมวกันมากขึ้น มีการออกบูธเกี่ยวกับแมว รวมถึงคลินิกแมวมาให้บริการ ทำให้สินค้า “กล่องทราย” ไว้ให้แมวขับถ่าย เป็นสินค้าขายดีติดอันดับแล้ว

    ปณิธานมองว่า เวลานี้เมืองไทยมีโอกาสอย่างมากที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็น “ฮับ” ทางด้านผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคนี้ เพราะเป็นทั้งผู้ผลิตอาหารแมวรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมาจากพื้นฐานของการเป็นอุตสาหกรรมปลาทูน่ารายใหญ่ของโลก จึงมีการนำชิ้นส่วนของปลาทูน่ามาแปรรูปเป็นอาหารแมว จนเกิดเป็นอุตสาหกรรมส่งออกอาหารแมว 

    “นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตสินค้าอย่างอาหารแมว ด้านการแพทย์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง กำลังขยายตัวมาก มีโรงพยาบาลสัตว์ไปเปิดที่เชียงราย ปรากฏว่าคนจากประเทศเพื่อนบ้านเรามาใช้บริการกันมาก จนตอนหลังต้องไปเปิดสาขาที่อำเภอแม่สาย ปรากฏว่ากิจการไปได้ดีมาก โอกาสที่ไทยจะเป็นฮับเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจึงมีแนวโน้มจะไปได้สวย

    สอดคล้องกับ สิริญาพัทธ์ เทียนรุ่งศรี หรือ เกรซ นายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย ยืนยัน ความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ของคนไทย มีอัตราการเติบโตทุกปี โดยดูได้จากมูลค่าผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงของไทยเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10-15% จากปีที่แล้ว (ปี 2556) มีมูลค่า 11,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากยอดขายของผู้ค้าที่เป็นสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทย โดยไม่รวมเวชภัณฑ์สัตว์เลี้ยง ซึ่งก็มีตัวเลขเติบโตมากมายเช่นกัน

    นอกจากนี้ ยังสังเกตได้จากบรรดาห้างสรรพสินค้า ศูนย์แสดงสินค้าต่างๆ คอมมูนิตี้มอลล์ ต้องบรรจุงานอีเวนต์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทุกห้างฯ แถมบางแห่งยังจัดกันแบบ “ถี่ยิบ” เพื่อดึงดูดลูกค้าทุกวัยให้เข้ามาใช้บริการ ซึ่งจำนวนงานอีเวนต์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความนิยมได้อย่างดี

    เธอมองว่า การที่คนหันมานิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมา และน้องแมวมากขึ้น เป็นผลพวงมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในเวลานี้ ที่นิยมแต่งงานช้าลง หรือแต่งงานแล้วไม่มีลูก นอกจากผู้หญิงที่นิยมเลี้ยงแล้ว ยังมีกลุ่มเพศที่สาม ก็หันมานิยมเลี้ยงเพื่อทดแทนการมีลูก หรือคนสูงอายุจะเลี้ยงให้อยู่เป็นเพื่อน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีกำลังซื้อสูง จึงมีการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดี

    ส่วน “ค่าใช้จ่าย” ที่ใช้ในการดูแลสัตว์เลี้ยง จะตกอยู่ราว 10%  ของค่าใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งคนก็ยอมจ่าย เพราะมองว่า นี่คือส่วนหนึ่งของครอบครัว

    ด้วยความนิยมสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีการดูแลสัตว์เลี้ยงข้างกายอย่างดี ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ออกมามากมาย มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แท็กซี่รับบริการพาน้องหมา น้องแมวไปหาหมอ มีการเปิดสปาให้น้องหมา คาเฟ่สำหรับแมวก็มีเพิ่มขึ้นหลายแห่ง รวมทั้งสระว่ายน้ำให้น้องหมา ซึ่งแต่ละธุรกิจมีความยากง่ายแตกต่างกันไป

    รวมถึงบริการ “ดีลิเวอรี่” รถเคลื่อนที่ให้บริการอาบน้ำตัดขน จะให้บริการถึงบ้านลูกค้า แต่ธุรกิจนี้เริ่มต้นได้ยากหน่อย เนื่องจากต้นทุนสูง ต้องลงทุนซื้อรถ ซื้ออุปกรณ์ จึงมีคนให้บริการไม่มาก ส่วนธุรกิจที่ไปได้ดี คือ การขายสินค้าสัตว์เลี้ยงผ่านเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ลงทุนไม่มากแต่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกให้กับลูกค้า

    “แนวโน้มของธุรกิจด้านสัตว์เลี้ยงไปได้เรื่อยๆ จะมีสีสัน ความเข้มข้น ความหลากหลายสินค้าและบริการมากขึ้น ความซับซ้อนมากขึ้น

    น้องแมว-น้องหมาไซส์เล็กนิยมกว่าไซส์ใหญ่

    นอกจากนี้ การที่คนหันมานิยมอาศัยอยู่ใน “คอนโดมิเนียม” มากขึ้น ส่งผลให้คนเปลี่ยนจากที่เคยนิยมเลี้ยงสุนัขมีขนาดใหญ่ เช่น โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ลาบราดอร์ หันมานิยมสุนัขไซส์เล็กมากขึ้น แมว กระต่ายเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มาก ดูแลก็ง่ายกว่า

    ในตลาดสัตว์เลี้ยง ช่วงหลังคนหันมาเลี้ยงแมวมากขึ้น เพราะดูแลง่าย แมวเหมาะกับการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแมวมากขึ้น มีการแฟนเพจเกี่ยวกับแมว มีคนติดตามมากมาย จนเกิดปรากฏการณ์ “แมวเซเลบริตี้” ที่ไปรับเล่นละคร ออกงานอีเวนต์ ทำให้คนรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแมวมากขึ้น จึงทำให้ “การเลี้ยงแมว” กลายเป็นเทรนด์ที่มาแรง ทำให้ราคาค่าตัวของน้องแมวมีตั้งแต่หลักพันไปจนหลักแสน แถมยังทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับน้องแมวขายดีไปด้วย อีเวนต์เกี่ยวกับน้องแมวได้รับความนิยมไม่แพ้บรรดาน้องหมา 

    แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมา คือ การแข่งขันย่อมเข้มข้นขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจ แต่ธุรกิจนี้ยังมีช่องทางและ “โอกาส” ให้กับผู้ที่มี “ใจรัก” และ “ฝีมือ” อยู่เสมอ

    ]]>
    58001