ผู้ผลิตช็อกโกแลต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 09 Feb 2024 07:06:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สายช็อกโกแลตปาดน้ำตา! ราคา ‘โกโก้’ พุ่งขึ้น 40% ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 2 แสนบาท/ตัน https://positioningmag.com/1462164 Fri, 09 Feb 2024 05:58:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462164 หากนับตั้งแต่ปี 2022 ราคาของ โกโก้ ในปี 2022 เพิ่มขึ้นถึง 47% และในปี 2023 ก็ได้ทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 46 ปี แน่นอนว่าราคาโกโก้ที่สูงขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตขนมโดยเฉพาะขนมช็อกโกแลตแน่นอน

ล่าสุด ราคาโกโก้ก็พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าพุ่งขึ้นมากกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 40% โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ราคาโกโก้อยู่ที่ 5,874 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน หรือกว่า 200,000 บาท

ปัจจัยที่ทำให้ราคาโกโก้พุ่งสูงเป็นเพราะสภาพอากาศเลวร้ายส่งผลกระทบต่อผลผลิตพืชผลในแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่งคิดเป็น 3 ใน 4 ของผลผลิตโก้โก้ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศ กานาและไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วรายใหญ่ที่สุดสองราย

“สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหมายความว่าผลผลิตโกโก้อาจลดลงอย่างถาวรในปีนี้” Humza Hussain นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก TD Asset Management กล่าว

Michele Buck ซีอีโอของ Hershey กล่าวว่า กำไรของบริษัทปีนี้คาดว่าจะทรงตัว โดยในช่วงไตรมาส 4/2023 ที่ผ่านมากำไรสุทธิของ Hershey อยู่ที่ 349 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม Buck ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเมื่อถามถึง การขึ้นราคาในอนาคต 

“ในขณะที่เราเห็นราคาโกโก้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่เราเคยผ่านความผันผวนของตลาดและความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบมาก่อน ดังนั้น เรามั่นใจว่าเรามีมีกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่ดี” Buck กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว Mondelez บริษัทผู้ผลิตขนมรายใหญ่ยอมรับว่า ต้นทุนส่วนผสมที่เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เผชิญในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ราคาโกโก้อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เป็นความท้าทายของบริษัทผู้ผลิตขนม เพราะราคา น้ำตาล ก็พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ตกต่ำเพราะสภาพอากาศ อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ที่จะลดโควตาการส่งออกน้ำตาลลงอีกในฤดูกาลผลิตหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำตาลโลกในปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.1 เซนต์ต่อปอนด์ 

Source

]]>
1462164
ที่มา (และการตลาด) ของ 3 สินค้าแห่ง “ความรัก” และ “วาเลนไทน์” https://positioningmag.com/1373654 Fri, 11 Feb 2022 09:58:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373654 “วาเลนไทน์” วันแห่ง “ความรัก” เวียนมาอีกปี กระตุ้นเศรษฐกิจการจับจ่ายซื้อของขวัญให้กับคนรัก โดย 3 สัญลักษณ์แห่งความรักที่นิยมมอบเป็นของขวัญมากที่สุดในโลกสากลคือ ดอกกุหลาบ, ช็อกโกแลต และ แหวนเพชร ทว่า สิ่งของเหล่านี้บางอย่างไม่ได้เป็นธรรมเนียมความเชื่อแต่โบราณ แต่เป็นสินค้าแห่งรักที่ประดิษฐ์ขึ้นผ่าน “การตลาด”

เดือนแห่ง “ความรัก” ทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นสีแดงและสีชมพู กระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้โอกาสนี้แสดงความรักให้แก่กัน โดยมี 3 ของขวัญสัญลักษณ์แห่ง “วาเลนไทน์” ที่มักจะมอบให้กัน แต่ของขวัญเหล่านี้บางอย่างมีจุดเริ่มต้นเป็นประดิษฐกรรมทางการตลาดที่ส่งผ่านมาหลายสิบปีหรือนับร้อยปี จนสังคมซึมซับและกลายเป็นธรรมเนียมไปในที่สุด

1.ดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบนับได้ว่าเป็นท่ามาตรฐานของการแสดงความรักในธรรมเนียมสากล และยังสามารถแปลความได้หลากหลายผ่านภาษาดอกไม้ เพราะกุหลาบแต่ละสีก็มีความหมายในตัวเองต่างกัน เช่น กุหลาบแดง หมายถึง ฉันรักเธอ แต่หากเป็นกุหลาบเหลือง จะหมายถึงความรักฉันเพื่อน

ทำไมดอกกุหลาบกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งรัก? ที่จริงแล้วการมอบดอกไม้ให้กันเพื่อแสดงความชอบพอมีปรากฏให้เห็นตั้งแต่สมัยกรีก และมีตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบในตำนานเทพกรีก โดยกล่าวกันว่า ดอกกุหลาบแดงเกิดขึ้นเพราะเทพีอะโฟรไดต์ เทพีแห่งความรัก ถูกหนามแหลมของกุหลาบขาวตำจนหลั่งเลือดหยดลงไปจนกุหลาบกลายเป็นสีแดง

แต่ดอกกุหลาบมาฮิตจริงๆ ก็ในสมัยศตวรรษที่ 18 จากผู้นำเทรนด์คือ “เลดี้แมรี่ เวิร์ตลีย์ มอนทากู” ภรรยาท่านทูตอังกฤษประจำตุรกี เธอได้เรียนรู้ธรรมเนียมการตีความดอกไม้และสิ่งของรอบตัวเป็นสัญลักษณ์ความหมายต่างๆ ของตุรกี และเกิดไอเดียขึ้นว่าการตีความแบบนี้จะช่วยให้ผู้หญิงสื่อความหมายในใจได้แบบอ้อมๆ ผ่านการส่งของขวัญ ท่ามกลางสภาวะสังคมที่ไม่อนุญาตให้สตรีแสดงออกจนเกินงาม

ความรัก
กุหลาบกลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความรัก” มาจนปัจจุบัน (ภาพถ่ายโดย Irina Iriser จาก Pexels)

เลดี้มอนทากูเขียนจดหมายหลายฉบับอธิบายการตีความเหล่านี้ส่งกลับบ้านที่อังกฤษ แม้ต่อมาเราจะค้นพบว่าเธอเข้าใจผิด เพราะการแทนสัญลักษณ์สิ่งของสื่อความหมายของตุรกีเป็นการเล่นคำพ้องเสียงเท่านั้น แต่ในยุคนั้นจดหมายของเธอก็ถูกรวมตีพิมพ์และเกิดแพร่หลายขึ้นมา มีผู้รวบรวมและตีพิมพ์หนังสือแปลความ “ภาษาดอกไม้” อีกมาก จนการใช้ดอกไม้รวมถึง “ดอกกุหลาบ” สื่อรักฝังรากลึกในสังคมสำเร็จในช่วงศตวรรษที่ 19 หรืออีกราวร้อยปีต่อมา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดอกกุหลาบจะฮิตมากว่า 200 ปี แต่ในช่วง 3-4 ปีมานี้เริ่มมีกระแสที่อาจจะทำให้ความนิยมเสื่อมลง เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มมองว่า ดอกกุหลาบออกจะ ‘เฝือ’ เกินไป ใครๆ ก็ให้กัน ทำให้ต้องการดอกไม้อื่นที่แสดงตัวตนได้มากกว่า หรือบางรายอาจจะเลือกของขวัญอย่างอื่นที่อยู่ได้นานกว่า และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจากยาฆ่าแมลงแบบธุรกิจไม้ตัดดอกด้วย

 

2.ช็อกโกแลต

วาเลนไทน์
(Photo: Shutterstock)

สำหรับสัญลักษณ์ความรักและวาเลนไทน์ชิ้นนี้นับว่าเป็นประดิษฐกรรมอันชาญฉลาดของผู้ผลิตช็อกโกแลต ในปี 1861 เป็นยุคที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษคลั่งไคล้ความรักโรแมนติก การส่งการ์ดและของขวัญเป็นที่นิยม และเริ่มมีการฉลองวาเลนไทน์ในเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ทศวรรษ 1840s

ประจวบเหมาะกับที่ “ริชาร์ด แคดบิวรี” สมาชิกตระกูลผู้ผลิตช็อกโกแลตในอังกฤษ คิดค้นวิธีสกัดโกโก้บัตเตอร์ได้ปริมาณมากขึ้น จนมีอุปทานโกโก้บัตเตอร์เหลือขาย เขาจึงมองหาวิธีผลิตสินค้าให้ได้ยอดขายมากขึ้น

วาเลนไทน์
ช็อกโกแลตในกล่องสวยงามสำหรับมอบให้ในวัน “วาเลนไทน์” ยังคงได้รับแรงบันดาลใจมาจนปัจจุบัน (Photo: Shutterstock)

แคดบิวรีออกไอเดียเชื่อมโยงช็อกโกแลตกับการส่งของขวัญแห่งความรักเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยการผลิตช็อกโกแลตจัดตกแต่งในกล่องสวยงามที่ออกแบบเป็นพิเศษ เช่น กล่องรูปหัวใจประดับด้วยรูปคิวปิด กล่องเหล่านี้กลายเป็นของขวัญที่ยืนยาวกว่าช็อกโกแลตสำหรับรับประทาน คู่รักมักเก็บกล่องที่ได้ไว้ใส่สิ่งของแทนรักต่างๆ เช่น จดหมายรัก

ไอเดียการตลาดของแคดบิวรีจึงเป็นที่นิยมเรื่อยมา และแพร่หลายไปถึงสหรัฐอเมริกาที่มีบริษัทอื่นๆ รับไอเดียช็อกโกแลตในกล่องรูปหัวใจไปใช้เช่นกัน จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มเสื่อมความนิยมเนื่องจาก “น้ำตาล” ที่ใช้ผลิตช็อกโกแลตเป็นของมีราคาหาซื้อยาก แต่หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ช็อกโกแลตก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์อีกครั้ง

 

3.แหวนเพชร

ความรัก
(Photo: Shutterstock)

‘A diamond is forever’ เป็นสโลแกนแห่งตำนานสุดยอดการตลาดของ De Beers บริษัทผู้ครองตลาดเพชรเจ้าใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นเบื้องหลังการผลักดันให้ “แหวนเพชร” คือสิ่งที่ “ต้องมี” ในงานแต่งงาน

ราวทศวรรษ 1930-1940s แหวนเพชรไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีในการสู่ขอเจ้าสาว มีเจ้าสาวเพียงแค่ 10% เท่านั้นที่ได้รับแหวนเพชรเป็นของหมั้น และในสหรัฐฯ นั้นฝั่งเจ้าสาวมักจะต้องการสิ่งของที่จำเป็นมาสู่ขอ เช่น บ้าน รถยนต์ หรือกระทั่งเครื่องซักผ้า ส่วนแหวนเพชรนั้นถือกันว่าเป็นของล้าสมัยไปแล้ว อีกทั้งยังถือเป็นของราคาแพงสำหรับคนรวยเท่านั้น

กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1947 บริษัท De Beers เริ่มคิดแผนการตลาดที่จะทำให้เพชรกลับมาเป็นที่นิยม เป็นสิ่งที่คนต้องขวนขวายหามา โดยการนำเสนอเรื่องราวของ “เพชร” กับ “ความรัก” ให้เพชรเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงแห่งรัก เหมือนกับเพชรที่แข็งแกร่งและทำลายได้ยาก จึงเหมาะกับการเป็นแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงาน โดยมีก๊อบปี้ไรเตอร์ “ฟรานเซส เกียร์ตี้” จากเอเจนซี่ N.W. Ayer คิดสโลแกน ‘A diamond is forever’ ให้

มาริลีน มอนโร ในเรื่อง Gentlemen Prefer Blondes สวมชุดสีชมพูพร้อมเครื่องเพชรเต็มกาย ถือเป็นหนึ่งในภาพจำไอคอนิกของเธอ (Photo: Wikimedia Commons)

De Beers ทำการตลาดคอนเซ็ปต์นี้ผ่านสื่อโฆษณาหลากหลาย รวมถึงผ่าน “ภาพยนตร์ฮอลลีวูด” ที่ถือเป็นแรงส่งสำคัญ โดยเฉพาะเรื่อง “Gentlemen Prefer Blondes” ที่มี “มาริลีน มอนโร” นำแสดง ตัวเอกในเรื่องเป็นหญิง ‘นักตกทอง’ ที่ต้องการแต่งงานกับคนรวย ในเรื่องเธอร้องเพลงดังที่จะกลายเป็นตำนานอย่าง “Diamonds are a Girl’s Best Friend” ความโด่งดังของหนังเรื่องนี้ในปี 1953 ส่งให้ “เพชร” เป็นป๊อปคัลเจอร์ใหม่ของยุค

นอกจากหนังเรื่องนี้ De Beers และเอเจนซี่ N.W.Ayer ยังจ่ายเงินล็อบบี้ให้ผู้ผลิตและโฆษณาภาพยนตร์ฮอลลีวูดใช้เพชรเป็นเครื่องประดับ และถ่ายทำออกหน้าจอให้มากที่สุดและสวยเห็นชัดที่สุดที่ทำได้ เมื่อผู้บริโภคเห็นดารานักแสดงสวมใส่เพชรมากเข้า ความรู้สึกที่ดีต่อ “เพชร” ก็ก่อตัวแน่นหนาขึ้น ประกอบกับแคมเปญกระตุ้นการใช้ “แหวนเพชร” แสดงความรัก ยิ่งส่งให้การโฆษณาประสบความสำเร็จ

แค่เพียงปี 1959 การให้แหวนเพชรขอหมั้นก็พุ่งขึ้นเป็น 80% และในปี 1979 ยอดขายเพชรของ De Beers ในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นเกือบ 100 เท่าจากที่เคยทำได้เพียง 23 ล้านเหรียญในช่วง 40 ปีก่อนหน้า!

เรียกว่านอกจาก ‘A diamond is forever’ แล้ว สุดยอดการตลาดที่บ่มเพาะอย่างต่อเนื่องก็จะขายได้นิรันดร์เช่นกัน

ที่มา: Time, Reader’s Digest, History.com, Smithsonian Magazine, New York Post, The Eye of Jewelry

]]>
1373654
ผู้ผลิตช็อกโกแลตดัง GODIVA ใช้การตลาดมุมกลับ ปล่อยแคมเปญ หนุนสาวญี่ปุ่น เลิกให้ “ช็อกโกแลตมารยาท” วันวาเลนไทน์ https://positioningmag.com/1156816 Wed, 14 Feb 2018 04:11:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1156816 GODIVA ผู้ผลิตช็อกโกแลตชื่อดังจากเบลเยียม เชิญชวนชาวญี่ปุ่น เลิกมอบ “ช็อกโกแลตมารยาท” ในวันแห่งความรัก โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากสาวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ไม่อยากเสียเงินทองเพื่อมอบช็อกโกแลตให้กับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย

ในวันวาเลนไทน์ สาวๆ ชาวญี่ปุ่นนิยมมอบช็อกโกแลตให้กับชายหนุ่ม ไม่ใช่เพียงแค่ชายหนุ่มคนรักหรือคนที่หมายปอง แต่ยังรวมถึงเพื่อนร่วมงานและเจ้านายผู้ชายด้วย ช็อกโกแลตที่มอบให้กับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย เพื่อเป็นการขอบคุณหรือสร้างสัมพันธ์ที่ดี เรียกกันว่า “กิริช็อกโก”

GODIVA สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาคนรักช็อกโกแลต ด้วยการซื้อพื้นที่เต็มหน้าของ “นิฮงเคไซชินบุน” หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น โดยลงข้อความจากประธานบริษัท Godiva Japan เรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่นยกเลิกธรรมเนียมการมอบ “ช็อกโกแลตมารยาท” หรือ “กิริ ช็อกโก” ในวันวาเลนไทน์ ที่มีใจความว่า

สาวๆ หลายคนบอกว่าเกลียดวันวาเลนไทน์ หลายคนโล่งใจถ้าวันวาเลนไทน์ตรงกับวันสุดสัปดาห์ เพราะลำบากใจที่จะต้องซื้อ “กิริ ช็อกโก” ที่ต้องเสียทั้งพลังสมองและเงินทอง แต่ก็ยากที่จะทำตัวแปลกแยก จึงกระอักกระอ่วนต่อธรรมเนียมที่ทำกันทุกปี

GODIVA ขอพูดจากประสบการณ์ว่า เป็นการโอเคที่จะมอบช็อกโกแลตให้กับใครสักคนด้วยความรู้สึกที่แท้จริง แต่ไม่ควรที่จะมอบเพียงแค่เพื่อมารยาท

วันวาเลนไทน์ควรเป็นวันที่บอกความในใจที่แท้จริงกับใครสักคน ไม่ใช่วันที่ต้องทำบางอย่างเป็นพิเศษเพื่อให้การทำงานร่วมกันราบรื่น และเหล่าผู้ชาย โดยเฉพาะท่านผู้นำองค์กรก็ควรจะแจ้งกับสาวๆ ในบริษัทว่า “ไม่ต้องบังคับตัวเองที่จะมอบซ็อกโกแลตมารยาทให้กับคนอื่น”

GODIVA ต้องการให้ผู้คนมีความสุขกับการบอกความรู้สึก และสุขสันต์วันวาเลนไทน์มากกว่าที่เคยบอกว่า “ฉันรักคุณ” หรือ “ขอบคุณจากใจ” ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรื่องของมารยาท นับจากนี้เราต้องการจะสืบสานความรู้สึกที่จริงใจที่มาหัวใจของเรา

โฆษณาของ GODIVA โดนใจสาวๆ ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่บอกว่า พวกเธอต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อ “กิริ ช็อกโก” ให้กับผู้ชายที่เป็นแค่เพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย สถิติที่รวบรวมโดยสมาคมแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นพบว่า ตลาดช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์ในแต่ละปีมีมูลค่าสูงกว่า 130,000 ล้านเยน หรือกว่า 40,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นช็อกโกแลตที่มอบให้กันระหว่างเพื่อนร่วมงาน มากกว่ามอบให้คู่รัก

โฆษณาของ GODIVA ยังถูกมองว่าเป็นแผนการตลาดมุมกลับ “ยืมมีดฆ่าคู่แข่ง” เพราะคงไม่มีสาวรายใจลงทุนซื้อซ็อกโกแลตราคาแพงเพื่อมอบเป็น “กิริ ช็อกโก” แต่หากเลิกธรรมเนียมมารยาทนี้ได้ สาวๆ ก็จะมีงบประมาณเหลือที่จะซื้อซ็อกโกแลตหรูหราอย่าง GODIVA เพื่อมอบให้คนรักนั่นเอง

แต่ด้านบริษัทผู้ผลิตขนมสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง “ยูระคุ” ที่ผลิตช็อกโกแลตเฉพาะสำหรับวันวาเลนไทน์มานานกว่า 15 ปี บอกว่า การมอบ “กิริช็อกโก” เป็นเรื่องส่วนบุคคล และทางบริษัทยังคงสนับสนุนให้สาวๆ ใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงานหนุ่ม โดยช็อกโกแลต Black Thunder ของ “ยูระคุ” จำหน่ายได้มากกว่า 110 ล้านชิ้นต่อปี

ธรรมเนียมการมอบ “ช็อกโกแลตมารยาท” ที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาเองนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแผนการตลาดที่ของผู้ผลิตขนมหวาน ที่อ้างว่าสาวๆ ชาวญี่ปุ่นควรมีโอกาสจะบอกความในใจต่อชายหนุ่มที่พึงใจ แต่ต่อมาได้ขยายวงเป็นการมอบเพื่อ “มารยาท” ซึ่งไม่เพียงทำให้สาวๆ ต้องเสียเงินทอง เสียเวลาเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมงานชายหนุ่มก็ต้องมอบของตอบแทนในวัน “ไวท์เดย์” คือวันที่ 14 มีนาคม ด้วย

สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/japan/detail/9610000014481

]]>
1156816