รัฐบาล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Aug 2023 05:16:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘MI Group’ หั่นคาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาลงเหลือ +2.5% ชี้ ปัจจัยบวกจาก ‘รัฐบาลใหม่’ จะเห็นภาพชัดในปีหน้า https://positioningmag.com/1442896 Wed, 30 Aug 2023 13:32:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442896 8 เดือนผ่านไปแล้วสำหรับปี 2023 เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดกลับไม่โตตามคาด เนื่องจากตลาดมีปัจจัยบวกเพียงน้อยนิด โดยทาง MI GROUP ได้ออกมาประเมินถึงเม็ดเงินโฆษณาในช่วงโค้ง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2023 หลังจากที่ประเทศไทยสามารถตั้งรัฐบาลสำเร็จและเริ่มเห็นโฉมหน้าครม.

เม็ดเงินโฆษณาโตเพียง 2.5% ลดลงครึ่งหนึ่งจากประเมิน

ผ่านไป 8 เดือนแล้วสำหรับปี 2023 โดยภาพรวมเศรษฐกิจยังเจอทั้งความท้าทายและปัจจัยลบที่ยังมีมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น GDP ที่เติบโตต่ำกว่าคาดเพียง +3% ของแพง ค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือนสูง ส่งออกติดลบ และการเมืองหลังเลือกตั้งยังไม่นิ่ง ทำให้ความเชื่อมั่นและอุปสงค์ต่ำ ขณะที่ปัจจัยบวกก็มีเพียง ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไม่เพียงพอในการฟื้นอุปสงค์ในประเทศ โดยปัจจัยต่าง ๆ ทำให้ ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด คาดว่า เม็ดเงินโฆษณาปีนี้อาจจะอยู่ที่ 83,000 ล้านบาท โตเพียง +2.5% จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ +5% 

สำหรับปัจจัยบวกใหม่ ๆ ในช่วง 4 เดือนหลังมากจากการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และนโยบายที่ประกาศว่าจะทำเลยหลังรัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศภายในปลายเดือนกันยายน เช่น การปรับลดราคาเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ เช่น ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล อย่างไรก็ตาม นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด คือ เงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่จะได้เห็นอย่างเร็วในช่วงต้นปีหน้า ส่วนนโยบายอื่น ๆ อาทิ ค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนนักศึกษาจบใหม่ เงินเดือนข้าราชการ ซอฟต์พาวเวอร์ จะเป็นส่วนที่ส่งผลในระยะยาว

สื่อทีวีได้รายการข่าวประคอง

สำหรับเม็ดเงิน สื่อโทรทัศน์ จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยที่ -1% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคอนเทนต์หลักที่ยังขับเคลื่อนสื่อโทรทัศน์ปีนี้คือ รายการข่าว วิเคราะห์ข่าว และละคร ซึ่งปีนี้กลับมาคึกคักเป็นพิเศษ ส่วนสื่อดิจิทัลและสื่อนอกบ้าน (Out of Home) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย +7% และ +10% ตามลำดับ

โดยตัวขับเคลื่อนหลักของสื่อดิจิทัลยังคงมาจาก 2 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Meta และ YouTube ส่วนแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงคือ TikTok โดยน่าจับตามองทั้งในแง่การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาและ IMPACT ในเชิง Full-Funnel Solution ส่วนสื่ออื่น ๆ แม้จะมีบทบาทน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ยังคงมีบทบาทในการสื่อสารและสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ

Generative AI ทำตลาดแตะเบรก

การมาของ Generative AI เริ่มเห็นผลกระทบในเกือบทุกอุตสาหกรรมไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมสื่อโฆษณา เพราะการทำการตลาดและสื่อสารการตลาดที่เปลี่ยนไปจากการพัฒนาและการขับเคลื่อนของ Technology และ Generative AI นำไปสู่นิยาม Marketing Intelligence ซึ่งถือเป็นอีกขั้นของ Data-driven Marketing หรือการทำการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล อย่างไรก็ตาม การใช้งาน AI เพื่อ Marketing Intelligence ก็มีผลเสียตามมาเช่นกัน อาทิ การแตะเบรคเม็ดเงินโฆษณา เพราะ Generative AI มาช่วยขับเคลื่อนและเพิ่มประสิทธิภาพในงานด้านการตลาดและสื่อสารการตลาดเกือบทุกมิติอย่างก้าวกระโดด

แย่งงานมนุษย์ โดยไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ Routine Work หรือ Basic Jobs แต่ยังเริ่มแย่งงานมนุษย์ในส่วนของความคิดสร้างสรรค์, จินตนาการ, ศิลปะ, ดนตรี, ฯลฯ และบางครั้งยังคิดแทนมนุษย์ได้ ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ และที่สำคัญที่สุด AI สามารถทำแทนได้เร็วกว่าปริมาณมากกว่า ผิดพลาดน้อยกว่า โดยตัวอย่างหมวดงานด้านการตลาด และสื่อสารการตลาดที่ AI ทำแทนมนุษย์ได้แล้ว อาทิ

  • การค้นคว้าหาข้อมูล การทำวิจัย และการสรุปข้อมูล
  • การวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง การคาดการณ์สถานการณ์ (Predictive Analytics)
  • งานออกแบบและงานดีไซน์
  • การทำพรีเซนเทชั่น, การสร้างคอนเทนต์และการเล่าเรื่อง, การทำคลิปวิดีโอ
  • การเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด (Marketing Optimization)
  • การตลาดเฉพาะบุคคลแบบขั้นกว่า (Hyper-Personalized Marketing)

ดังนั้น สิ่งที่นักการตลาดและเอเจนซี่ต้องปรับตัวเพื่อคว้าโอกาส หรือเพื่อให้อยู่รอด คือ ต้องรู้เท่าทัน AI และพัฒนาทักษะตัวเองเพื่อยังเป็นนาย AI ให้ได้ เช่น ทักษะการ Prompt (การออกคำสั่ง) ควรเรียนรู้ AI tool พื้นฐานให้ใช้งานได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักใช้ประโยชน์จาก AI tools ต่าง ๆ สุดท้าย พัฒนาทักษะที่ AI ยังทำได้ไม่ดีเท่ามนุษย์ เช่น ความละเอียดอ่อนทางด้านอารมณ์ของมนุษย์, ไหวพริบและการสังเกต, ทักษะด้านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ, การตัดสินใจที่ซับซ้อน, การเจรจาต่อรอง เป็นต้น

“พวกเราทุกคนคงหลีกหนี IMPACT ของ AI ไม่ได้เพราะมันใกล้ตัวเรามากขึ้นและรอบด้านขึ้นทุกวันการปรับตัวโดยการเรียนรู้จะทำให้ทั้งมนุษย์และ AI สามารถประสานการทำงานร่วมกัน และช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละฝ่ายได้ แต่ที่สำคัญ เราต้องไม่ด้อยค่าตัวเองและต้องทำให้การพัฒนาและการใช้งาน AI อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา”

]]>
1442896
ชาวออสเตรเลียกว่าหมื่นคน จี้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชย หลังเจอ ‘ผลข้างเคียง’ จากวัคซีนโควิด https://positioningmag.com/1362413 Tue, 16 Nov 2021 11:46:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362413 รัฐบาลออสเตรเลีย อาจต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 1.2 พันล้านบาท ให้กับประชาชนนับหมื่นคนที่ได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัควีนโควิด-19

ตอนนี้ ชาวออสเตรเลียมากกว่า 10,000 คน ได้ลงทะเบียนขอรับเงินชดเชยจากการสูญเสียรายได้หลังต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จากผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

สื่อท้องถิ่นอย่าง Sydney Morning Herald รายงานว่า เงินชดเชยในกรณีดังกล่าว จะเริ่มต้นที่คนละ 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.2 เเสนบาท) หมายความว่า รัฐบาลออสเตรเลียอาจจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนทั้งหมด อย่างน้อย 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1.2 พันล้านบาท) หากคำขอของพวกเขาครั้งนี้ได้รับการอนุมัติ

ด้านเว็บไซต์ Therapeutic Goods Administration (TGA) ของออสเตรเลีย ได้รับรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เกือบ 79,000 รายการ จากยอดฉีดวัคซีนโควิดทั้งหมด 3.68 ล้านโดส โดยอาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ เจ็บแขน ปวดหัว มีไข้ และหนาวสั่น

ในจำนวนนี้มี 288 รายการ ที่ถูกประเมินว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีนของ Pfizer รวมถึง 160 รายการ ที่มีอาการเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน AstraZeneca

TGA ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 9 รายที่เชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน เเละส่วนใหญ่มักมีอายุ 65 ปีขึ้นไป

ออสเตรเลียกำลังเร่งฉีดวัคซีนโควิดในช่วงครึ่งหลังของปีหลังสายพันธุ์เดลตาทำให้เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างซิดนีย์และเมลเบิร์นต้องล็อกดาวน์นานหลายเดือน โดยเริ่มมีการคลายข้อจำกัดต่างๆ ลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอัตราการกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้น

ล่าสุด ชาวออสเตรเลียประมาณ 17.9 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่า 69.6% ของประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว นับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตาม มีประชาชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันประท้วงรัฐบาล เพื่อต่อต้านคำสั่ง ‘บังคับฉีดวัคซีน’ สอดคล้องกับการประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

โดยกฎที่ห้ามให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด เข้าบาร์เเละร้านอาหารต่างๆ เพื่อควบคุมโรคเเละกระตุ้นการกระจายวัคซีนนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้มีการขาย ‘ใบรับรองฉีดวัคซีนโควิดปลอม’ เพิ่มขึ้นในตลาดมืดทางออนไลน์ด้วย

 

ที่มา : Bloomberg , Sydney Morning Herald

]]>
1362413
สรุปมาตรการล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้าน 3 ทุ่มถึงตี 4 ห้างร้านเปิดถึง 2 ทุ่ม ห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน เริ่ม 12 ก.ค.นี้ https://positioningmag.com/1341598 Fri, 09 Jul 2021 10:43:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341598 สรุปมาตรการล็อกดาวน์-จำกัดการเดินทางในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามออกจากบ้าน 3 ทุ่มถึงตี 4 ถ้าไม่จำเป็น ห้าง-ร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพฯ ปิด 2 ทุ่ม ห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน เริ่ม 12 ก.ค.นี้

วันนี้ (9 ก.ค.2564) ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เเถลงว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบตามข้อเสนอยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในพื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา ดังนี้

6 จังหวัด กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

  • กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนใช้การปฏิบัติงานในลักษณะ Work from Home ให้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ และการบริการประชาชน
  • ระบบขนส่งสาธารณะ ปิดให้บริการได้ในห้วงเวลา 21.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
  • ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิดเวลา 20.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
  • ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์เปิดได้เฉพาะ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงสถานที่ฉีดวัคซีน ทั้งนี้เปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
  • ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามบริโภคอาหารหรือสุราหรือเครื่องดื่มในร้าน โดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
  • ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ สปา สถานเสริมความงาม
  • สวนสาธารณะ สามารถเปิดให้บริการสำหรับการออกกำลังกายได้ถึงเวลา 20.00 น.
  • ห้ามการรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางสังคม ที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ การประกอบอาชีพ กิจกรรมทางศาสนาหรือกิจกรรม ตามประเพณี ที่มีการรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

เคอร์ฟิว 10 จังหวัด กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เเละ 4 จังหวัดภาคใต้ 

  • ให้บุคคลงดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และห้ามออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นยิ่ง หรือได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี

นอกจกานี้ การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดของ ศบค.ที่ได้มีประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ เเละกำกับดูแลให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล (DMHTTA) อย่างสูงสุด

โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.64 เป็นต้นไป และให้นำมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ระดับ สถานการณ์ต่าง ๆ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 24, 25, 26) มาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกำหนดนี้

ส่วนหน่วยงานด้านความมั่นคงจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดลาดตระเวน เพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างเข้มงวด ให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 64 เวลา 06.00 น.เป็นต้นไป (เจ้าหน้าที่เริ่มตั้งด่าน)

ทั้งนี้ กรณีตรวจพบผู้ฝ่าฝืนให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558

 

 

]]>
1341598
เช็กเลย! ครม.อัด 4 เเพ็กเกจแจกเงิน เยียวยาโควิด ‘คนละครึ่งเฟส 3-ยิ่งใช้ยิ่งได้-เติมเงินบัตรคนจน’ รวมกว่า 1.4 แสนล้าน https://positioningmag.com/1334808 Tue, 01 Jun 2021 07:51:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1334808 ครม. อนุมัติ 4 เเพ็กเกจแจกเงิน เยียวยาโควิด ‘คนละครึ่ง เฟส 3-ยิ่งใช้ยิ่งได้-เติมเงินบัตรคนจน กลุ่มเปราะบางจากเราชนะ’ วงเงินรวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท

วันนี้ (1 มิ.ย.64) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่าน 4 โครงการ ได้แก่

1.โครงการคนละครึ่งเฟส 3 แจก 3,000 บาทต่อคน รัฐช่วยจ่ายวันละไม่เกิน 150 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ (เดือน ก.ค.- ธ.ค. 64) แบ่งเป็นช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ จะทยอยจ่าย 1,500 บาท และไตรมาส 4 อีก 1,500 บาท

ครอบคลุม 31 ล้านคน ใช้งบประมาณ 93,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย

2. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ผู้เข้าร่วมโครงการและใช้เงินตามเงื่อนไข จะได้รับ ‘E-Voucher’ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ในอัตรา 10-15% สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ (เดือนก.ค.-ก.ย. 64)

เจาะกลุ่มเป้าหมาย 4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคผ่านผู้ที่มีกำลังซื้อ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยจะมีการเปิดลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หลังจากที่ ครม.อนุมัติโครงการ

3.โครงการ ‘เติมเงิน’ ให้ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนละ 200 บาท รวมแต่ละคนจะได้รับ 1,200 บาท ตลอดระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค.-ธ.ค. 64) ครอบคลุม 13.65 ล้านคน ใช้งบประมาณ 1.64 หมื่นล้านบาท

4.โครงการ ‘เติมเงิน’ ให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้ไม่มีมือถือสมาร์ทโฟน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ที่เคยเข้าร่วมโครงการเราชนะ เดือนละ 200 บาท รวมแต่ละคนจะได้รับ 1,200 บาท ตลอดระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค.-ธ.ค. 64) ครอบคลุม 2.5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท

 

]]>
1334808
รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่ารถไฟฟ้าช่วงนอกเวลาเร่งด่วน https://positioningmag.com/1253939 Sun, 17 Nov 2019 16:01:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1253939 รองโฆษกรัฐบาล เผย เดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน รับคืบหน้าไปมาก 19 พ.ย.นัดประชุมบอร์ด รฟม. หวังเสร็จก่อนสิ้นปีเป็นของขวัญปีใหม่ ปชช.

ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยไม่มีผลกระทบต่อสัญญา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาความเดือนร้อนของผู้โดยสาร ลดภาระค่าครองชีพที่ใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ด รฟม. พิจารณาลดภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อประชาชน

ทั้งนี้ บอร์ด รฟม. จะพิจารณาใน 2 มาตรการ 1.เปิดจำหน่ายตั๋วโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง คิดอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวถูกลง 2.ลดอัตราค่าโดยสารในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ระหว่าง 9.00-15.30 น. และช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยปัจจุบันเก็บอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 14-42 บาทต่อเที่ยว ส่วนมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบนั้น ขณะนี้ กรมการขนส่งทางราง กำลังเร่งหาแนวทางอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ได้กระทบต่อสัญญา และให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

“การลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง จะทำให้ประชาชนหันมาเดินทางโดยรถไฟฟ้ามากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดหวังจะให้นโยบายนี้ แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย และคาดหวังว่าจะเป็นที่น่าพอใจต่อประชาชน สามารถช่วยเหลือประชาชนในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางได้เป็นอย่างดี” น.ส.ไตรศุลี กล่าว.

Source

]]>
1253939