รีไซเคิล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 17 Apr 2023 03:31:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Apple ประกาศจะใช้ “โคบอลต์รีไซเคิล 100%” ในแบตเตอรี่ภายในปี 2025 https://positioningmag.com/1427438 Mon, 17 Apr 2023 03:26:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427438 Apple ได้ประกาศการเร่งขยายการใช้วัสดุรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงเป้าหมายใหม่ในปี 2025 ที่จะใช้โคบอลต์ที่รีไซเคิลได้ 100% ในแบตเตอรี่ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด รวมถึงวัสดุอื่น ๆ ที่รีไซเคิลได้ทั้งหมด อาทิ ดีบุกและทองรีไซเคิล 100%

Apple ได้เปิดเผยว่า ในปี 2022 บริษัทได้ขยายการใช้วัสดุรีไซเคิลหลักอย่างมีนัยสำคัญ และปัจจุบันแหล่งที่มาของอะลูมิเนียมกว่า 2 ใน 3 และเกือบ 3 ใน 4 ของแร่หายากทั้งหมด รวมถึงกว่า 95% ของทังสเตนทั้งหมดในผลิตภัณฑ์ Apple มาจากวัสดุรีไซเคิล 100%

โดยความก้าวหน้าดังกล่าวทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนเท่านั้น และเดินหน้าเป้าหมายปี 2030 ของบริษัทในการทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีคาร์บอนเป็นกลาง

“ความทะเยอทะยานของเราที่ต้องการใช้วัสดุรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ในผลิตภัณฑ์ของเรานั้นเป็นไปตามเป้าหมายในปี 2030 ของ Apple นั่นคือเป้าหมายของเราในการบรรลุผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 เรากำลังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสองอย่างเร่งด่วนและยกระดับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมทั้งหมดของเราในกระบวนการนี้” ลิซา แจคสัน รองประธานฝ่ายโครงการด้านสิ่งแวดล้อม นโยบาย และกิจกรรมทางสังคม กล่าว

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา Apple ได้ขยายการใช้โคบอลต์ที่รีไซเคิลได้ 100% โดยในปี 2022 โคบอลต์ทั้งหมดราว 1 ใน 4 มาจากวัสดุรีไซเคิลเพิ่มขึ้นจาก 13% นอกจากนี้ การใช้ธาตุแรร์เอิร์ธที่ผ่านการรับรองแบบรีไซเคิล 100% ของบริษัทได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 45% ในปี 2021 เป็น 73% ในปี 2022

โดยภายในปี 2025 แบตเตอรี่ทั้งหมดที่ออกแบบโดย Apple จะผลิตด้วยโคบอลต์รีไซเคิล 100% และแม่เหล็กในอุปกรณ์ Apple ก็จะใช้แร่โลหะหายากรีไซเคิล 100% ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ Apple วางเป้าจะเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ของบริษัท การพัฒนาวัสดุทางเลือกที่ทำจากเยื่อไม้เพื่อใช้กับส่วนประกอบบรรจุภัณฑ์ เช่น ฟิล์มติดหน้าจอ วัสดุห่อหุ้ม และโฟมกันกระแทก ทำให้เป้าหมายอันสูงสุดของ Apple ยังคงเดินหน้าได้ตามแผน เพื่อจัดการกับพลาสติกที่คงเหลืออีก 4% ในฟุตพริ้นต์ของบรรจุภัณฑ์อีกด้วย

Source

]]>
1427438
AISยกระดับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วย Blockchain บนแพลตฟอร์ม E-Waste+ เป็นรายแรกในอาเซียน https://positioningmag.com/1412315 Wed, 14 Dec 2022 13:00:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1412315

เมื่อปัญหาโลกร้อน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ หลายองค์กรต่างมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความยั่งยืน หรือกำหนดเป็นนโยบายใหญ่เลยก็มี เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกัน ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

AIS เป็นหนึ่งในองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและ Sustainability มาโดยตลอด เรียกว่าให้ความสำคัญควบคู่กันไปทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในภาคส่วนของสิ่งแวดล้อมนั้น ทาง AIS ได้โฟกัสทั้งในแง่ของ Emission ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคธุรกิจให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการช่วยสิ่งแวดล้อม ทั้งการใช้ e-Bill การส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชั่น เพื่อลดการใช้กระดาษ และลดทราฟิกของลูกค้าในการเดินทางมาที่สาขา เป็นการลดขยะ และลดค่าน้ำมันได้พร้อมๆ กัน

นอกจากนี้ AIS ยังได้เริ่มพัฒนาอีโคซิสเท็มในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์มาตั้งแต่ปี 2562 ภายใต้ภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” เรียกว่าเป็นองค์กรอันดับต้นๆ ที่ตื่นตัวในเรื่องการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ก็ว่าได้

โครงการนี้เป็นการการรับรู้ให้คนไทยต่อขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่สร้างองค์ความรู้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกวิธี ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนในการสร้างความตระหนักรู้ในการทิ้งขยะ และเปิดจุดบริการฝากทิ้งทั่วประเทศ เพื่อเป็นการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่การกำจัดอย่างถูกวิธี รวมไปถึงกระบวนการรีไซเคิลแบบ Zero Landfill ตามมาตรฐานสากล เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ที่ผ่านมาโครงการคนไทยไร้ E-Waste มีพาร์ทเนอร์ทั้งหมด 142 ราย มีจุดดร็อปให้ทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ 2,484 จุด และมีจำนวนขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสิ้น 397,376 ชิ้น

ถ้าเปรียบโครงการคนไทยไร้ E-Waste อยู่ในเฟสที่ 1 ในปีนี้ AIS ก็พร้อมยกระดับเข้าสู่เฟสที่ 2 ด้วยแพลตฟอร์ม E-Waste+ พร้อมกับการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาพัฒนากระบวนการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ ตั้งแต่ผู้ทิ้งจนถึงโรงงานรีไซเคิล เพื่อให้ทุกคนสามารถจัดการขยะ E-Waste ได้ง่ายขึ้น เห็นผลลัพธ์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บนแพลตฟอร์ม E-Waste+ ที่สำคัญแพลตฟอร์มนี้ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มนำร่องกับ 6 องค์กรพันธมิตร

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า

“จากสถานการณ์โลกที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในทุกภาคส่วน สิ่งที่ตามมาคือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานดิจิทัลก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ดังนั้นเราจึงทำหน้าที่ 2 ส่วนคือ สร้างการรับรู้และตระหนักถึงโทษภัยของขยะ E-Waste ในขณะเดียวกันก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการจัดเก็บและทำลาย E-Waste อย่างถูกวิธี ทั้งการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ตั้งจุดรับทิ้งและนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล

และเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในวงกว้างมากขึ้น เราจึงขยายผลไปอีกขั้นด้วยการ Redesign Ecosystem เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถลงมือบริหารจัดการ E-Waste ในองค์กรเองได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านเครือข่ายพนักงานและลูกค้าของแต่ละองค์กร เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการนำขยะ E-Waste กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน ผ่านแพลตฟอร์ม E-Waste+ โดยเทคโนโลยี Blockchain จะทำงานผ่านกระบวนการ Track and Trace ทำให้ขยะ E-waste ทุกชิ้น สามารถตรวจสอบสถานะได้ทั้งกระบวนการ จากนั้นจะคำนวณขยะ E-Waste ที่ได้ออกมาเป็น Carbon Scores เพื่อให้ทราบว่าเราช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่”

ถ้าให้อธิบายให้เห็นภาพยิ่งขึ้น ก็คือ ในเฟสที่ 1 โครงการคนไทยไร้ E-Waste เป็นการตั้งจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงจุดทิ้งได้ง่ายขึ้น และเริ่มตระหนักถึงการจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ จากเดิมที่ไม่มีเจ้าภาพ หรือไม่มีใครที่ให้ความรู้ในด้านนี้อย่างจริงจัง

แต่ในเฟสที่ 1 ก็มี Pain Point หลายจุด ที่ทำให้การกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ก็คือ เมื่อเป็นจุดที่ตั้งทิ้งเฉยๆ ทำให้ผู้บริโภคทิ้งขยะอื่นๆ ลงไป แทนที่จะมีแค่ขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียว แต่ในเฟส 2 เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรด ถ้าในภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า “แบบใหม่แบบสับ” เมื่อเรานำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้งแล้วสามารถแทร็คกิ้งแบบเรียลไทม์ได้ว่าตอนนี้ขยะอยู่ในกระบวนการใดและเปลี่ยนเป็นคาร์บอนสกอร์เท่าไหร่ทำให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าตนเองมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณเท่าไหร่บ้าง

นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม AIS เล่าว่า

“แพลตฟอร์ม E-Waste + เป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้แก้ปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยี Blockchain จะช่วยทำให้ผู้ทิ้งมั่นใจว่าขยะ E-Waste จะถูกนำส่งไปยังกระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐานและโปร่งใส สามารถตรวจสอบสถานะของกระบวนการนำส่งได้ในแต่ละขั้นตอน และนอกเหนือจากนั้นยังสามารถคำนวณปริมาณ Carbon Scores ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงการลงมือทำในกิจกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่สามารถแชร์ในโซเชียลและแสดงตัวตนในโลก Metaverse ได้”

อราคินยังกล่าวเสริมอีกว่า โดยปกติแล้วประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 4 แสนตัน แต่มีการจัดเก็บอย่างถูกต้องเพียงแค่ 1% เท่านั้น แต่เดิมการตั้งที่ให้คนทิ้งเฉยๆ อย่างเดียวไม่ค่อยได้ผล ต้องมีการให้ความรู้ผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้าง Incentive ไปด้วย

โดย AIS ยังมีแผนพัฒนาให้คาร์บอนสกอร์ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการขยะ E-Waste อย่างถูกต้อง นำไปใช้เป็น Utility Token ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจให้กับองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการนี้อีกด้วย แรกเริ่มอาจจะเริ่มจากการเปลี่ยนคาร์บอนสกอร์ เป็น AIS Point ก่อน จากนั้นจะเริ่มเปลี่ยนเป็น Utility Token อื่นๆ ที่สามารถใช้ได้สำหรับผู้บริโภคทุกคน ไม่ได้จำกัดแค่ลูกค้า AIS อย่างเดียว

เบื้องต้น AIS ได้ร่วมทำงานกับพันธมิตรเครือข่าย Green Partnership ทั้ง 6 องค์กร ประกอบไปด้วย บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย จำกัด, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด, ธนาคารออมสิน และธนาคารกสิกรไทย ที่จะเข้ามาเริ่มใช้แพลตฟอร์ม E-Waste+ เพื่อส่งต่อการดูแลสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบุคลากรในองค์กรและสังคม

สายชลยังได้เสริมถึงการเป็นพันธมิตรของทั้ง 6 องค์กรนี้ว่า เป็น “อารีย์ คอมมูนิตี้” เริ่มต้นจากองค์กรที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเส้นถนนพหลโยธินก่อน เป็นย่านเดียวกันกับ AIS นั้นเอง ทั้งธนาคารออมสิน, ธนาคารกสิกรไทย, เด็นโซ่, เงินติดล้อ ล้วนมีสำนักงานอยู่ในระแวกเดียวกัน ย่านอารีย์นี้จึงกลายเป็นแซนด์บ็อกซ์ในการนำร่องโครงการนี้ ก่อนจะขยายไปยังที่อื่น

ความสำคัญอีกหนึ่งสิ่งของแพลตฟอร์ม E-Waste+ ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AIS ที่ต้องการยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาบูรณาการได้อย่างตรงจุด สามารถสร้างระบบการจัดการ E-Waste แบบใหม่ได้ด้วย Blockchain เป็นการกาวข้ามขีดจำกัดแบบเดิมๆ พร้อมกันนี้ยังได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เป็นการร่วมแรงร่วมใจในการช่วยจำกัดขยะอิเล็คทรอนิกส์ได้อย่างยั่งยืน

“แพลตฟอร์ม E-Waste+เปิดตัวเป็นครั้งแรกในอาเซียนสามารถเอาจุดแข็งของโครงข่ายอัจฉริยะของ AISและเอาเทคโนBlockchainมาพัฒนาเพื่อบริหารจัดการให้ดีขึ้นจึงอยากให้มีหลายองค์กรมาร่วมมือกันมากขึ้นไม่ใช่การเพิ่มจำนวนขยะแต่ช่วยสร้างการรับรู้ช่วยกันเปลี่ยนพฤติกรรมเชื่อว่าทุกองค์กรมีเป้าหมายด้านยุทธศาสตร์ความยั่งยืนทุกองค์กรพูดเรื่อง ESGแต่เวลาลงมือทำจะทำคนเดียวไม่ได้ต้องทำร่วมกันถึงจะประสบความสำเร็จ” สายชลกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับองค์กรใดสนใจใช้งาน แพลตฟอร์ม E-Waste+ เข้าร่วมเป็นเครือข่าย Green Partnership สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: [email protected] หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง https://ewastethailand.com/ewasteplus

กระบวนการทำงานของ E-Waste+

  • E-Waste+ สามารถดาวน์โหลดรองรับทุกเครือข่ายและทั้งระบบ Android และ IOS โดยกดค้นหาคำว่า “E-Waste+” เพื่อดาวน์โหลด หลังจากนั้นลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกผู้รักษ์โลก โดยกรอกชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และตั้งรหัสผ่าน หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบ (โดยสามารถลงทะเบียนได้ทุกเครือข่าย)สามารถโหลดแอปE-Waste+ ได้ทาง https://m.ais.co.th/ApH8dgAi8
  • การทำงานของทั้งระบบจะใช้เพียง Application เดียว ลงทะเบียนและนำขยะ E-Waste มาทิ้งที่จุดรับ E-Waste+ โดยมีเจ้าหน้าที่ในการรับขยะ E-Waste ถ่ายภาพและใส่ข้อมูล ระบบก็จะบันทึกการทิ้งขยะ โดยผู้ใช้งานก็จะเห็นได้ว่าขณะนี้ E-Waste ของคุณอยู่ในขั้นตอนไหน
  • เมื่อขยะ E-Waste ที่ถูกรวบรวมถึงโรงงานแยกขยะ จะทำการตรวจสอบเมื่อพบว่ามีขยะดังกล่าวจริงก็จะยืนยัน และแสดงผลลัพธ์การส่งขยะเสร็จสมบูรณ์ถึงโรงงานที่ได้มาตราฐานเพื่อทำการจัดการอย่างถูกวิธีแก่ผู้ทิ้งขยะจนออกมาเป็น Carbon Score

ประเภทของที่รับในการทิ้งผ่านแอปพลิเคชันE-Waste+

  • โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต
  • อุปกรณ์เสริมมือถือ และแท็บเล็ตเช่นหูฟัง, ลำโพง, สายชาร์จ, อะแดปเตอร์
  • ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก, เมาส์, คีย์บอร์ด, ฮาร์ดดิส, ลำโพง
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กอื่นๆ เช่น กล้องถ่ายรูป, เครื่องเล่นดีวีดี, จอยเกมส์, วิทยุสื่อสาร, เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์บ้าน, รีโมทคอนโทรล, เครื่องเล่น MP3 เป็นต้น

ยกเว้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่, พาวเวอร์แบงค์, ถ่านไฟฉายทุกประเภท

]]>
1412315
สยามพิวรรธน์ โชว์แนวคิดสร้างคุณค่าร่วม ผ่าน ECOTOPIA มัลติแบรนด์สโตร์รักษ์โลกแห่งแรกของไทย สะท้อนบทบาทองค์กรแห่งความยั่งยืน ในงาน Sustainability Expo 2022 https://positioningmag.com/1401835 Tue, 27 Sep 2022 10:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401835
  • ความยั่งยืนในแบบสยามพิวรรธน์ เกิดขึ้นผ่านแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบร่วมสร้าง (Co-creation) ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม จึงผสานศักยภาพร่วมกันทุกฝ่าย และดำเนินการตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และระบบนิเวศ (Ecosystem) เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก (Net Positive Impact) ให้กับ ผู้คน ชุมชน และ สิ่งแวดล้อม
  •  ECOTOPIA เป็นแบรนด์ที่ริเริ่มโดยสยามพิวรรธน์จากอุดมการณ์การดำเนินธุรกิจที่สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยมีเจตนาที่ต้องการสะท้อนความตั้งใจในการปลุกจิตสำนึกของการดำเนินชีวิตตามแนวคิดรักษ์และฟื้นฟูโลกแบบครบวงจร เพื่อส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้ทุกชีวิต

  • บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำอุดมการณ์การดำเนินธุรกิจที่สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยในงานได้จำลองเมืองแห่งคนรักษ์โลก ECOTOPIA มัลติแบรนด์สโตร์ร้านแรก ที่รวมสินค้ารักษ์โลกครบครันหลากหลายที่สุดในประเทศไทย ร่วมโชว์ศักยภาพด้านความยั่งยืนในงาน Sustainability Expo 2022 (SX2022) มหกรรมด้านการพัฒนาความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน สะท้อนแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของสยามพิวรรธน์ผ่านการสร้างคุณค่าร่วม (Shared value) เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน และทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกสู่สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม และประเทศชาติ

    สยามพิวรรธน์เปิด ECOTOPIA ในปี 2560 สะท้อนการเป็นผู้บุกเบิกที่กล้านิยามกระบวนทัศน์ใหม่ให้กับโลก ด้วยการนำเสนอสินค้าสร้างสรรค์จากแนวคิดรักษ์โลกและ well-being เพื่อให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจรักษ์โลกที่ครบวงจรยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย (Asia’s leading Eco Lifestyle Destination) โดยร่วมมือกับ 12 สุดยอดครีเอเตอร์ และผู้ประกอบการรายย่อย พัฒนาและรังสรรค์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก มากกว่า 300 แบรนด์ และสินค้ากว่า 100,000 รายการ บนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่

    นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “งาน Sustainability Expo 2022 ที่มีแนวคิด พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก เป็นการรวมพลังครั้งสำคัญขององค์กรชั้นนำของไทย ในการร่วมสร้างสมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า (Good Balance, Better World) ซึ่งมีแนวทางที่สอดคล้องกับสยามพิวรรธน์ และถือเป็นโอกาสอันดีที่สยามพิวรรธน์จะนำเสนอต้นแบบของการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนด้านความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดช่วงเวลากว่า 63 ปีของการทำธุรกิจ การพัฒนาโครงการภายใต้สยามพิวรรธน์ทั้งหมดเป็นรูปแบบของการสร้างคุณค่าร่วม (Shared Values) และผลกระทบเชิงบวกไปสู่ชุมชนสังคมและประเทศชาติ

    สยามพิวรรธน์ได้นำแนวคิดความยั่งยืนมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ การเดินหน้าสู่การเป็น “องค์กรขยะเป็นศูนย์” ภายใต้โครงการ “Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste” ที่คำนึงถึงการจัดการขยะแบบครบวงจรตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การรณรงค์เพื่อส่งเสริมการคัดแยกขยะและจัดตั้งจุดรับวัสดุบรรจุภัณฑ์สะอาดที่ไม่ใช้แล้วแบบไดร์ฟทรูแห่งแรกในประเทศไทย นับเป็นการนำขยะเข้าสู่กลไกการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ แล้วส่งต่อไปรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบ ซึ่งบางส่วนนำเข้าสู่กระบวนการอัพไซคลิ่ง นำกลับมาใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม

    นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า “ECOTOPIA เป็นแบรนด์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อปลุกจิตสำนึกของการดำเนินชีวิตตามแนวคิดรักษ์และฟื้นฟูโลกแบบครบวงจร กลายเป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ที่ได้ปฏิวัติวงการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่สร้างระบบนิเวศธุรกิจ ที่เชื่อมกลุ่มคนรักษ์โลกมาร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกไปด้วยกัน ล่าสุด ECOTOPIA ยังถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 20 ร้านค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดเอเชีย จาก Inside Retail สื่อธุรกิจรีเทลชั้นนำของเอเชีย ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จอีกก้าวและเป็นความภาคภูมิใจของสยามพิวรรธน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจด้านความยั่งยืนอีกด้วย”

    ในงานครั้งนี้ สยามพิวรรธน์ได้นำหลักการความยั่งยืนมาใช้ในการออกแบบและนำเสนอโครงสร้างบูธ ECOTOPIA ซึ่งประกอบด้วยวัสดุที่สามารถแยกชิ้นส่วนเพื่อไปใช้ประโยชน์ได้อีก

    ผู้เข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถเข้าชมบูธ “ECOTOPIA โดย สยามพิวรรธน์” ทั้งในส่วนบูธ Showcase ที่ Exhibition Hall 3 ชั้น G โซน Better Living และ บูธ Market Place ชั้น LG ซึ่งจะอยู่ในโซนจำหน่ายสินค้า โดยในโซน Exhibition จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้เยี่ยมชมทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมถ่ายภาพ และกิจกรรม Workshop ร่วมกับ Co-creator ของ Ecotopia ซึ่งเป็น คูเรเตอร์ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ กิจกรรมระบายสีท้องฟ้าด้วยสี Soft Pastel ร่วมกัน ENVIRONMAN และ Friend & Forest กิจกรรม “ปลูกผักกับลุงรีย์” เรียนรู้การปลูกผักในธีมสิ่งแวดล้อมและสุขภาพกับ “ลุงรีย์” หรือ ชารีย์ บุญญวินิจ หรือ กิจกรรมของสาวรักษ์โลก ที่ Cleo ร่วมกับ Ali แบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ไร้สารเคมี

    พิเศษสุด สำหรับสาวก สินค้ารักษ์โลก 1,000 ท่านแรกที่มาเยี่ยม บูธ Ecotopia ในโซน Market Place จะได้รับของที่ระลึกเป็น เมล็ดพันธุ์ผักจากฟาร์มลุงรีย์ และรับโปรโมชั่นสำหรับการซื้อสินค้ามากมายในราคาพิเศษ

    สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ Facebook: ECOTOPIA และ Sustainability Expo หรือ www.sustainabilityexpo.com

    ]]>
    1401835
    ไทยเบฟ ขับเคลื่อนโครงการเก็บกลับ-รีไซเคิล รณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะเพื่อสร้างประโยชน์ต่อชุมชน กับ “สถานีเก็บกลับ-รีไซเคิล” https://positioningmag.com/1393535 Fri, 22 Jul 2022 12:00:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393535

    บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) บริษัทในเครือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัด โครงการเก็บกลับ-รีไซเคิล ขับเคลื่อนการเรียนรู้ คัดแยก และการนำบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคกลับคืน สู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ โดยมี “สถานีเก็บกลับ-รีไซเคิล” เป็นสถานีต้นแบบเรื่องการคัดแยกขยะสู่การรีไซเคิล ที่เป็นการต่อยอดลงมือปฏิบัติจริง สร้างรายได้และส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับผู้บริโภคระดับในครัวเรือน วัด โรงเรียนในพื้นที่ชุมชน

    ล่าสุด คณะทำงานย่านวังเดิม ย่านกะดีจีน ร่วมกับ กรมสารวัตรทหารเรือ สำนักงานเขตบางกอกใหญ่ สำนักงานเขตธนบุรี จัดกิจกรรม “หล่อเทียนพรรษา พาเที่ยว 2 ย่าน” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและอาหารประจำย่าน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมอาชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชน โดยมีชุมชนย่านกะดีจีน ซึ่งเป็นชุมชนที่ได้รับองค์ความรู้เรื่องการแยกขยะพร้อมสถานีเก็บกลับ-รีไซเคิล จากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) มาดูแลเรื่องการจัดการขยะภายในพื้นที่จัดงาน โดยมี “สถานีเก็บกลับ-รีไซเคิล” พร้อมถังขยะประเภทต่าง ๆ รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแยกขยะให้ถูกต้อง ณ บริเวณริมกำแพงวัดอรุณราชวรราม

    คุณอรวรรณ ทวีศักดิ์ถาวร ประชาสัมพันธ์ สังกัดชุมชนกุฎีขาว สมาชิกกลุ่มชุมชนดีมีรอยยิ้ม วัดประยุรวงศาวาส ให้ข้อมูลว่า “ชุมชนกุฎีจีน ได้เข้าร่วม โครงการเก็บกลับ-รีไซเคิล เพื่อเรียนรู้วิธีการคัดแยกและมี ‘สถานเก็บกลับ- รีไซเคิล’ ซึ่งเป็นสถานีต้นแบบของการเรียนรู้เรื่องการคัดแยกขยะสู่การรีไซเคิลที่เป็นการต่อยอดลงมือปฏิบัติจริง ทำให้จิตสำนึกคนในชุมชนรู้จักความสะอาดเพิ่มขึ้นรู้จักแยกขยะ เพราะว่าขยะสามารถกลับเป็นตัวเงิน สร้างรายได้ให้คนในชุมชน นอกจากนี้เป็นการช่วย กทม. ในคัดแยกขยะที่จะไปส่งแต่ละจุด สำหรับงานในวันนี้จะเห็นได้ว่าคนที่มาเที่ยวในงานส่วนใหญ่ ก่อนทิ้งขยะลงถังได้คัดแยกขยะก่อนที่จะลงถังขยะ จุดเล็กๆ ตรงนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของการลงมือทำจริง สิ่งเหล่าจะเป็นการปลูกฝังไปในตัว ชุมชนใกล้เคียงได้เห็นรูปแบบการทำงาน การจัดการขยะ ก็มีความสนใจที่จะเข้าร่วมกับโครงการเก็บกลับ-รีไซเคิลเหมือนกัน ต้องขอขอบคุณ TBR และ ไทยเบฟ ที่เห็นความสำคัญของชุมชนของเราโดยการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ จะนำสู่สังคมที่ดี ลดโลกร้อน ขอขอบคุณมากค่ะ”

    ทางด้าน คุณอรทัย พูลทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) ให้ข้อมูลว่า “บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) ได้ริเริ่ม โครงการเก็บกลับ-รีไซเคิล โดยมีเป้าหมายเพื่อจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการรณรงค์และปลูกจิตสำนึก ปรับเปลี่ยนและส่งเสริมพฤติกรรมการคัดแยกบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคที่รีไซเคิลตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้มีบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคมีคุณภาพที่ดีขึ้น ง่ายต่อการรีไซเคิล และนอกจากการให้ความรู้ผ่านกิจกรรมเวิร์คช้อปแล้ว ในเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้มีการต่อยอดสู่การลงมือทำจริง ผ่านวิธีการของ“สถานีเก็บกลับ-รีไซเคิล” ที่จุดนัดพบคนชุมชนกับผู้รับซื้อ ทำการซื้อขายวัสดุที่รีไซเคิลได้ ซึ่งชุมชนกุฎีจีน เป็นหนึ่งในชุมชนที่ขานรับแนวคิดและสานต่อให้เกิดเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นก็มีชุมชนในภูมิภาคอีกสองแห่งที่จังหวัดลำพูนและภูเก็ต บริษัทฯหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจุดประกายเล็กๆในวันนี้ จะสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมด้านการจัดการขยะของชุมชนอย่างยั่งยืนได้จริง เพื่อประโยชน์ของชุมชน และภาพรวมของประเทศต่อไป”



    ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่เริ่มต้นให้ชุมชนเล็งเห็นความสำคัญในการจัดการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี มีการบริหารจัดการขยะในชุมชนอย่างเป็นระบบ สร้างรายได้กลับเช้าสู่ชุมชน และส่งเสริมเป็นวัฒนธรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมความยั่งยืนสืบต่อไป

    ]]>
    1393535
    เร็วกว่าเป้า! ‘โลตัส’ เลิกใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิลในเฮ้าส์แบรนด์ 100% พร้อมมุ่งสู่การใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนทั้งหมดภายในปี 2025 https://positioningmag.com/1387415 Fri, 03 Jun 2022 10:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387415

    ปัจจุบัน โลกต้องเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) มาโดยตลอด และหนึ่งในสาเหตุสำคัญก็คือ ขยะ โดยทั่วโลกมีการปล่อยขยะพลาสติกมากถึง 242 ล้านตันต่อปี ดังนั้น องค์กรทั่วโลกจึงพยายามที่จะช่วยโลกโดยการนำ ‘วัสดุรีไซเคิล’ มาใช้กับบรรจุภัณฑ์สินค้า เช่นเดียวกันกับ โลตัส (Lotus’s) ที่ล่าสุดได้ประกาศความสำเร็จในการเลิกใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิลออกจากบรรจุภัณฑ์สินค้าเฮ้าส์แบรนด์

    โลตัส ถือเป็นธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในไทยที่ติดอันดับ Top5 ผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการลดพลาสติก จากการประเมินของกรีนพีซประจำปี 2020 และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก โลตัส ก็ได้ประกาศความสำเร็จในการ ยกเลิกการใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิล (hard-to-recycle materials) ออกจากบรรจุภัณฑ์สินค้าเฮ้าส์แบรนด์ในหมวดหมู่สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคครบ 100%

    ย้อนไปในปี 2019 โลตัส ได้เริ่มทำการศึกษาและพิจารณาวัสดุที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ของสินค้าแบรนด์โลตัส เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการยกเลิกการใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิลให้ได้ทั้งหมดภายในปี 2025 โดยเบื้องต้น โลตัส ได้จำแนกหมวดหมู่ของวัสดุที่ใช้เป็น 3 สี ได้แก่

    · สีแดง (ยากต่อการรีไซเคิล)

    · สีเหลือง (สามารถนำไปรีไซเคิลได้)

    · สีเขียว (รีไซเคิลได้)

    และเพื่อถอดวัสดุต้องห้ามออกจากบรรจุภัณฑ์และจัดหาวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย โลตัส ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าแบรนด์โลตัสซึ่งส่วนมากเป็นผู้ประกอบการ SME โดยการทำงานก็มีความคืบหน้าที่ดีมากกว่าแผนที่วางไว้ ทำให้ ณ ปัจจุบัน โลตัส สามารถยกเลิกการใช้วัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิลได้ครบ 100% ของหมวดหมู่สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภค ซึ่งเป็น 2 หมวดหมู่สินค้าที่มีจำนวนสินค้ารวมกันกว่า 4,520 รายการ ล่วงหน้าก่อนเป้าหมายที่วางไว้ถึง 3 ปี

     

    “ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะพลาสติก เป็นหนึ่งในปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมา โลตัส มีบทบาทในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกให้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เลิกใช้ถาดโฟม เลิกใช้หลอดพลาสติก ไปจนถึงการเปิดจุดรับบรรจุภัณฑ์จากลูกค้าเพื่อนำกลับไปรีไซเคิล” นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าว


    เหลือสินค้า 180 รายการใน 2 หมวดหมู่เท่านั้น

    หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเลิกใช้วัสดุยากต่อการรีไซเคิลใน 2 หมวดสินค้าแล้ว โลตัสกำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงสินค้าอีก 2 หมวดหมู่ คือ อาหารแห้งและของใช้ในครัวเรือน ที่มีสินค้ารวมกันประมาณ 2,940 รายการ โดยเหลืออีกเพียง 180 รายการเท่านั้นที่ยังคงใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ยาก เนื่องจากมีความจำเป็นต่อคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่โลตัสให้ความสำคัญอย่างมาก

    แต่ภายในระยะเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า โลตัส จะร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนานวัตกรรมและวัสดุทดแทน ที่จะสามารถนำมาใช้ในบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อให้สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ ตามความมุ่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการมีบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนทั้งหมดภายในปี 2030

    นอกจากเรื่องบรรจุภัณฑ์แล้ว อีกส่วนสำคัญก็คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในการแยกขยะและรีไซเคิล ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ (closed-loop packaging system) และบริหารจัดการขยะจากบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยโลตัส จะเดินหน้าสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการแยกขยะและรีไซเคิลอย่างถูกวิธี และช่วยให้การรีไซเคิลเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายขึ้นผ่านสาขาในชุมชนต่อไป

    ]]>
    1387415
    “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” ปรับขวด PET ในเครือ “ขวดใส ฝาไม่พิมพ์สี” เพื่อง่ายต่อการรีไซเคิล https://positioningmag.com/1363174 Mon, 22 Nov 2021 15:59:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363174 ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประกาศนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลาสติก PET กับบรรจุภัณฑ์ทุกชนิด เป็นขวด PET แบบใส ไม่มีสี และฝาขวดก็ไร้การพิมพ์สี เพื่อให้สามารถรีไซเคิลได้ 100% มีมูลค่าการรับซื้อสูงกว่าขวดสี

    บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่ และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนา และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้

    ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค จึงเลือกใช้พลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) เป็นบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มทุกชนิดของบริษัท โดยขวด PET แบบใส ไม่มีสี สามารถรีไซเคิลได้ 100% และมีมูลค่าการรับซื้อสูงกว่าขวดสี เพราะง่ายต่อการรีไซเคิล ด้วยกระบวนการคัดแยกขยะ

    และการรีไซเคิลที่เป็นระบบ ขวด PET ใส ไม่มีสี จึงสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ เส้นใยเพื่อผลิตเสื้อผ้าและชิ้นส่วนรถยนต์

    ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตรวมถึงออกแบบบรรจุภัณฑ์ร่วมกับคู่ค้า (suppliers) จนเกิดเป็น Lightweight Plastic ที่มีส่วนช่วยลดการใช้ปริมาณพลาสติกใหม่ลงสำหรับการผลิตขวดแต่ละขวด แต่ยังคงคุณสมบัติดีตามมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย มีน้ำหนักเบา แข็งแรงทนต่อแรงกระแทก ไม่เปราะแตกง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ง่ายต่อการจัดการ

    นอกจากขวดแล้ว ฝาขวด และฉลากก็ยังผลิตจากวัสดุที่นำไปรีไซเคิลได้ 100% เช่นกัน โดยฝาขวดทั้งหมดนั้นผลิตจากวัสดุ HDPE (High Density Polyethylene) เป็นพลาสติกที่มีความหนาแน่นสูง แต่มีน้ำหนักเบาช่วยลดการใช้พลาสติกใหม่ในการผลิต และยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100%

    ปัจจุบันฝาขวดเป๊ปซี่ทั้งหมด ได้มีการนำพิมพ์สีบนฝาออก เพื่อง่ายและลดใช้สารเคมีในการนำไปรีไซเคิล ส่วนฉลากของขวดนั้นผลิตจากพลาสติก 2 ชนิด คือ ฉลากแบบหุ้มขวด (Shrink Sleeve Label) ผลิตจากวัสดุ PET และฉลากแบบพันรอบขวด (Oriented Polypropylene Label) ผลิตจากวัสดุ PP (Polypropylene) โดย ใช้เทคโนโลยีการผลิตเพื่อลดการใช้พลาสติกเมื่อเทียบน้ำหนักต่อชิ้นของฉลาก

    อชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

    “การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Packaging Sustainability Management) เป็นหนึ่งในนโยบายด้านความยั่งยืน (Sustainability) ที่สำคัญของบริษัท นอกจากซันโทรี่ เป๊ปซี่โค จะมุ่งมั่นลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ โดยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลาสติกใหม่ลงได้ถึง 531.6 ตัน บริษัทยังริเริ่มโครงการให้ความรู้เรื่องการคัดแยกขยะในโรงเรียนและชุมชน

    อีกทั้งได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ วงษ์พาณิชย์ ธุรกิจบริหารจัดการขยะรีไซเคิลรายใหญ่ของไทย ซึ่งประกาศรับซื้อขวดพลาสติก PET ใส ไม่มีสี ของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ด้วยราคาที่สูงกว่าขวดพลาสติก PET ทั่วไป เพิ่มอีกกิโลกรัมละ 1 บาท

    รวมถึงริเริ่มโครงการนำร่อง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเครื่อง ‘ReFun Machine’ โดยในปีนี้ร่วมมือกับ ซีพี ออลล์ ติดตั้งที่หน้าร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 10 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้บริโภคคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี และนำขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ”

    ]]>
    1363174
    อังกฤษ เตรียมขยายคำสั่งเเบน ‘จาน-ช้อนส้อมพลาสติก-ถ้วยโฟม’ แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง https://positioningmag.com/1363113 Sat, 20 Nov 2021 06:47:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363113 รัฐบาลอังกฤษ กำลังเตรียมขยายคำสั่งเเบนจานและช้อนส้อมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และถ้วยโฟมโพลีสไตรีน

    Reuters รายงานว่า ในอังกฤษมีการใช้จานแบบใช้แล้วทิ้งมากถึง 1,100 ล้านใบ และช้อนส้อมแบบใช้แล้วทิ้งอีก 4,250 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากพลาสติกเเละมีเพียง 10% เท่านั้นที่ถูกไปนำรีไซเคิล

    หลังจากที่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะมาได้ 12 สัปดาห์ พบว่า ภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคต่างก็มีความต้องการที่จะก้าวไปสู่ทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น

    ขณะที่รัฐบาลยังเรียกร้องให้มีกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เกี่ยวกับการจัดการกับแหล่งมลพิษจากพลาสติกอื่นๆ อย่างเช่น ทิชชูเปียก ไส้กรองยาสูบ ถุงชาและถ้วยแบบใช้แล้วทิ้งประเภทอื่นๆ

    การห้ามใช้พลาสติกในรายการเหล่านี้อาจเป็นมาตรการเชิงนโยบายในอนาคต

    George Eustice รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอังกฤษกล่าวว่า สังคมมีการรับรู้ถึงความเสียหายต่อสิ่งเเวดล้อมที่เกิดจากพลาสติก โดยเฉพาะสัตว์ทะเลมากขึ้น เราจึงต้องการที่จะลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์และห้ามใช้พลาสติกในรายการที่เกี่ยวข้องกับการทิ้งขยะ

    เราได้สั่งห้ามใช้หลอดพลาสติก ก้านชงกาแฟพลาสติกและก้านสำลีพลาสติกไปแล้ว และตอนนี้วางแผนที่จะขยายไปห้ามใช้ช้อนส้อม ก้านลูกโป่งที่สามารถใช้วัสดุอื่นแทนได้ เช่น ไม้

    ทั้งนี้ การห้ามจำหน่ายหลอดพลาสติก ก้านชงกาแฟพลาสติกและก้านสำลีพลาสติก มีผลบังคับใช้ในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว

    โดยมาตรการบังคับให้จ่ายเงินค่าถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้แล้วทิ้งในอังกฤษ สามารถลดการใช้ถุงดังกล่าวในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ ลงถึง 95% ตั้งแต่ปี 2015

    ด้านฝ่ายรัฐบาลท้องถิ่นของสกอตแลนด์ เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ ก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อนโยบายของตนเองเกี่ยวกับขยะพลาสติกเช่นเดียวกัน

     

    ที่มา : Reuters

    ]]>
    1363113
    ฐาปน สิริวัฒนภักดี ตอกย้ำผู้นำองค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนระดับโลก ครองคะแนนสูงสุด DJSI โลก 4 ปีซ้อน https://positioningmag.com/1362075 Tue, 16 Nov 2021 04:00:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362075 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครื่องดื่มครบวงจรที่มั่นคง และยั่งยืน ของภูมิภาคอาเซียน Stable and Sustainable ASEAN Leader ด้วยการครองคะแนนสูงที่สุดในโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของโลก จากการจัดโดย S&P Global เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (The Dow Jones Sustainability Indices-DJSI) มาอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเบฟ ได้รับคะแนนสูงสุดจากการประเมินด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2564 (Corporate Sustainability Assessment 2021) เป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกของประเภท กลุ่มดัชนีโลก (World Index) เป็นปีที่ 5 และเป็นสมาชิกของกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets Index) เป็นปีที่ 6 สะท้อนถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งขององค์กรต้นแบบในการดำเนินธุรกิจ ที่ใส่ใจด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนที่นำความภาคภูมิใจของคนไทยไปสู่ระดับโลก ด้วยศักยภาพความพร้อมที่แข็งแกร่ง สู่ PASSION2025 ไปพร้อมกับการ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” (Creating and Sharing the Value of Growth)

    ไทยเบฟ มุ่งดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy – SEP) ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายของการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการธุรกิจ และดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในการช่วยเหลือสังคม ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานใน 5 มิติหลักคือ การศึกษา สาธารณสุข กีฬา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาชุมชน ที่ได้สร้างผลลัพธ์ความสำเร็จการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และมีการติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยยังตระหนักถึงความสำคัญของหลักการบริหารจัดการและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วน ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ควบคู่ไปกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล (Good governance)

    สอดคล้องกับจรรยาบรรณของบริษัทที่มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ มาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่จะบรรลุตามวิสัยทัศน์ขององค์กรได้อย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการต่างๆ อาทิ การผสานสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันดูแล และอนุรักษ์แหล่งน้ำ รวมถึงการดูแลชุมชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดในการอุปโภค และบริโภค เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการประเมินความยั่งยืนของน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ และดูแลแหล่งน้ำร่วมกับชุมชน

    การดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ปกป้อง และรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยการนำขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มหลังการบริโภคมาผลิตเป็น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลหรือ Recycled PET นำมาผลิตเป็นผ้าห่มในโครงการ ไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาวด้วยนวัตกรรม Eco Friendly Blanket ที่สามารถช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และยังช่วยลดปริมาณขยะจากขวดพลาสติกได้มากถึง 7.6 ล้านขวดต่อปี โดยสามารถผลิต “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” ได้มากถึงปีละจำนวน 200,000 ผืน ทำให้สามารถนำขยะจากขวดพลาสติกกลับสู่ระบบรีไซเคิลได้สำเร็จแล้วจำนวน 15.2 ล้านขวดจากการดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2

    นอกจากนี้ ไทยเบฟ ยังเป็นผู้ริเริ่มแพลตฟอร์มการทำงานในอีกหลายโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง อาทิ มูลนิธิพลังน้ำใจไทย มูลนิธิสถาบันพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย Thailand Supply Chain Network (TSCN) หรือภาคีเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย ฯลฯ การเป็นผู้ริเริ่มการจัดงาน Thailand Sustainability Expo (TSX) ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” ที่ตอกย้ำการสร้างพลังความร่วมมือครั้งแรกที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่ร่วมกันขับเคลื่อนและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินงานภายใต้แนวทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน

    และแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยเบฟได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ (ThaiBev Covid-19 Situation Room (TSR)) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการติดตามข่าวสาร และดำรงความต่อเนื่องทางธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ ให้สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ไปพร้อมกับใส่ใจด้วยการส่งความห่วงใยและให้การช่วยเหลือสังคม พันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงาน ให้ก้าวข้ามสถานการณ์ โควิด-19 ไปด้วยกัน จึงได้มีหน่วยงานที่อาสาไปทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ และประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอลกอฮอล์ หน้ากาก Surgical Mask หน้ากาก N95มอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มคุ้มครองการติดเชื้อ (COVID-19) ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศรวมถึงพนักงาน คู่ค้า เอเย่นต์ในกลุ่มไทยเบฟครอบคลุมทั่วประเทศ มอบตู้แช่จัดเก็บวัคซีนโควิด-19 ให้กับสถานพยาบาล 10 จังหวัดหลักทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนน้ำดื่ม อาหาร และผลิตภัณฑ์ในเครือ รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์ตรวจโควิด และศูนย์ฉีดวัคซีน ฯลฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับทางภาครัฐ

    จากการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งในการบริหารจัดการด้านธุรกิจ และการดำเนินโครงการต่างๆ ในการช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมที่แข็งแกร่งทางธุรกิจในทุกมิติควบคู่ไปกับการ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” อย่างยั่งยืน สู่กลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของการเป็นต้นแบบของผู้นำองค์กรในด้านความยั่งยืนระดับโลก

    ]]>
    1362075
    สยามพิวรรธน์ จับมือ สถาบันพลาสติก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย PPP Plastics และ Dow เดินหน้าโครงการ Siam Pieces สร้างโมเดลจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/1343158 Tue, 20 Jul 2021 12:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343158

    บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ร่วมกับ สถาบันพลาสติก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย PPP Plastics กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย และเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และเขตปทุมวัน เดินหน้าโครงการ Siam Pieces (สยาม พีซเซส) เพื่อสร้างต้นแบบการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อันจะนำไปสู่การพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ ผ่านการศึกษาวิจัยพฤติกรรมจากกลุ่มตัวอย่างของผู้บริโภคในพื้นที่เขตปทุมวัน โดยได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก บพข. (หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ) ภายใต้สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช. มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแบบแผนธุรกิจในการนำพลาสติกใช้แล้วทุกชนิดกลับสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างโมเดลศูนย์คัดแยกที่มีศักยภาพในการจัดเก็บขยะพลาสติกทุกประเภท บนพื้นที่ศูนย์กลางแห่งธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยอย่าง วันสยาม ที่ประกอบด้วย 3 ศูนย์การค้าระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ รวมถึงการคัดแยกประเภทวัสดุที่สามารถนำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลและอื่นๆ ได้ ตลอดจนเพื่อส่งต่อแนวคิดในการใช้ชีวิตให้ผู้คนในสังคมร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤตขยะพลาสติกในปัจจุบันที่ทุกคนมิอาจมองข้าม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดวัฏจักรของการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

    นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานปฏิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า

    “การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยความมุ่งมั่น ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน เราจึงได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาพัฒนาเป็นหลักการบริหารจัดการขยะ ในทุกกระบวนการของธุรกิจ ตั้งแต่การรณรงค์ภายในองค์กร ไปจนถึงการสร้างจิตสำนึกให้ลูกค้า และล่าสุดกับการร่วมเปิด Recycle Collection Center จุดรับขยะรีไซเคิลที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถนำมาทิ้งได้ โดยสยามพิวรรธน์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับสถาบันพลาสติก และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการใช้พื้นที่วันสยาม ในการทำวิจัย รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากพนักงาน และลูกค้าวันสยาม เพื่อนำองค์ความรู้มาพัฒนาเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการขยะพลาสติกในสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมต่อยอดไปใช้แก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติกในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งยังสอดรับกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่ขณะนี้ทางสหภาพยุโรป หรืออียู ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของโลกในการลดปริมาณขยะพลาสติก และมุ่งมั่นที่จะสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงได้ออกระเบียบว่าด้วยการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวของสหภาพยุโรป (EU Single Use Plastics Directive) ที่เริ่มต้นใช้ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา”

    ด้าน นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันพลาสติก กล่าวว่า

    ด้วยความร่วมมือขององค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่ร่วมกันสร้างแนวคิดและแบบแผนเศรษฐกิจหมุนเวียนในปัจจุบัน หรือ Circular Economy ทำให้ในปัจจุบันหลากหลายหน่วยงานเกิดความตระหนักในเรื่องการใส่ใจของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดการขยะพลาสติก ทางสถาบันพลาสติกเห็นถึงโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก และ เพิ่มการรีไซเคิลของขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น สถาบันพลาสติกจึงได้รับงบประมาณจาก บพข.เพื่อจัดตั้งโครงการพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน โดยเล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่เขตปทุมวัน ที่ประกอบด้วยสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล และ ชุมชน โดย “โครงการ SIAM PIECES” นี้เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน ที่ทำการศึกษาตั้งแต่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีผลต่อการคัดแยกและทิ้งขยะพลาสติก เพื่อเข้าใจและหาเครื่องมือที่จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการคัดแยกพลาสติกของผู้บริโภคที่มากขึ้น และ ต่อยอดไปจนถึงการศึกษาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่เศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อนำผลการศึกษามาพัฒนา และจัดทำแบบแผนธุรกิจ (Business Model) เพื่อลดการเพิ่มขยะพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้มีการนำขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบรีไซเคิลมากยิ่งขึ้น

    ขณะที่ ศ.ดร. สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

    “ปัจจุบัน ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม มีการคิดค้นนวัตกรรมในการจัดการวัสดุเหลือใช้ โดยเฉพาะกลุ่มพลาสติก อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหาขยะพลาสติกนั้นไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านอื่นมาร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้ใช้พลาสติกหรือผู้บริโภค และการสร้างกลไกทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดจัดการพลาสติกที่ครบวงจร เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะทำให้พลาสติกทั้งที่มีมูลค่าสูงและส่วนที่ยังมีมูลค่าต่ำอยู่ได้กลับเข้าสู่ระบบเพื่อการจัดการอย่างเหมาะสม การดำเนินการในส่วนนี้จำเป็นต้องมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเพื่อให้สามารถนำผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นไปอ้างอิงและขยายผลสู่พื้นที่อื่นได้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาจึงจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ SIAM PIECES ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาแบบแผนธุรกิจที่ส่งเสริมให้เกิดการจัดการขยะพลาสติกอย่างครบวงจร เพื่อร่วมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ”

    ด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน PPP Plastics กล่าวว่า

    “โครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติก และขยะอย่างยั่งยืน (PPP Plastics) ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาร่วมให้ทุนสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานโครงการพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน ปัจจุบันองค์กรภาคธุรกิจได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก เพื่อร่วมหาทางออกการบริหารจัดการขยะพลาสติก เพื่อสร้างรูปแบบที่สมดุลอันมุ่งไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกได้มีการดำเนินงานในบริบทที่มีความสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Model) ที่รัฐบาลกำหนดเป็นโมเดลเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นวาระแห่งชาติ อีกด้วย นับได้ว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในอนาคต”

    พร้อมกันนี้ นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า

    “โครงการนี้สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับหนึ่งในเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ ดาว ได้ประกาศไปเมื่อปีที่แล้วคือ “การหยุดขยะพลาสติก” โดยเราตั้งเป้าจะผลักดันให้พลาสติกที่ใช้แล้วจำนวน 1 ล้านตันจากทั่วโลกถูกเก็บกลับมาใช้ประโยชน์ หรือ รีไซเคิล ผมรู้สึกภูมิใจที่ ดาว ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการก่อตั้งโครงการ Siam Pieces อีกทั้งร่วมผลักดันให้เกิด business model ของการจัดการพลาสติกใช้แล้วที่มีประสิทธิภาพ และช่วยยกระดับผู้ประกอบการรับซื้อของเก่า ซาเล้ง รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียตลอดทั้ง value chain ให้มีรายได้พอเพียงที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้การจัดการพลาสติกเป็นไปอย่างยั่งยืนในอนาคต”

    นอกจากนี้ ภายใต้งานแถลงข่าวโครงการ Siam Pieces ในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM และ Facebook Live เพจ สถาบันพลาสติก ยังมีการจัดเสวนาหัวข้อ “Siam Pieces โมเดลเส้นทางการจัดการพลาสติกใช้แล้วครบวงจร” โดยมี นราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ผู้บริหารระดับสูงแห่งบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด พร้อมด้วยเหล่า คนดังสายนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผู้เชี่ยวชาญทางท้องทะเลมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมหาทางออก ในการกู้วิกฤตขยะพลาสติก ทั้ง ผศ.ดร. ธรณ์ ธำรงนาราสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีกิจการพิเศษ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ นักขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม , เปรม พฤกษ์ทยานนท์ เจ้าของเพจ ‘ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป , ศ.ดร. พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีด้านยุทธศาสตร์นวัตกรรมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ก้อง-ชณัฐ วุฒิวิกัยการ พิธีกรหนุ่มสายกรีนที่หันมาเอาจริงเอาจังในการสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม

    โครงการ Siam Pieces ครั้งนี้ นับเป็นโครงการความร่วมมือในการผสานพลังขับเคลื่อนที่ต้องการจะพัฒนาระบบการจัดการพลาสติกใช้แล้วในสังคมเมืองอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง เพื่อนำไปต่อยอดใช้บริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย และนำไปพัฒนาแบบแผนธุรกิจในการนำพลาสติกใช้แล้วทุกชนิดกลับสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายผลสร้างเป็นโมเดลธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เกิดเป็นวัฏจักรของการจัดการขยะพลาสติกในสังคมเมืองที่ยั่งยืน เพื่อเราทุกคนในวันนี้และอนาคต

    ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างยั่งยืนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาแบบแผนธุรกิจตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ ด้วยการตอบแบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อพฤติกรรมการ คัดแยกขยะได้ในช่องทาง https://bit.ly/3xLS8GG  หรือ Scan QR Code

    ]]>
    1343158
    ‘เลโก้’ เตรียมวางขายตัวต่อที่ผลิตจาก ‘ขวดพลาสติก’ ในอีก 2 ปี https://positioningmag.com/1339271 Mon, 28 Jun 2021 05:33:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339271 เลโก้ (Lego) บริษัทของเล่นชั้นนำของโลกที่เชื้อว่าเด็กส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสสักครั้ง แต่เพราะการผลิตตัวต่อของเลโก้รวมถึงบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ทำให้ต้องใช้พลาสติกกว่า 90,000 เมตริกตันต่อปี ทำให้เลโก้เองพยายามที่จะผลิตสินค้าที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    หลังจากที่เลโก้ได้พัฒนาตัวต่อจากพลาสติกรีไซเคิลมาหลายปี เนื่องจากขยะพลาสติกจากทะเลไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ เนื่องจากเสื่อมสภาพเร็วเกินไป ดังนั้น เลโก้จึงทดสอบ พลาสติก PET (polyethylene terephthalate) กว่า 250 รูปแบบ จนล่าสุด เลโก้ได้เตรียมเปิดตัวตัวต่อที่ผลิตจากขวดพลาสติกที่ถูกทิ้ง โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2 ปี

    “เป้าหมายคือการหาผลิตภัณฑ์ที่ดีพอที่ผู้คนจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่าง โดยทั้งตัวต่อที่ทำจากพลาสติกทั่วไปและพลาสติกรีไซเคิลต้องประกบได้อย่างพอดีกัน ต้องสามารถใช้ได้เหมือนกับผลิตภัณฑ์เลโก้อื่น ๆ” Tim Brooks รองประธานฝ่ายความยั่งยืนของเลโก้ กล่าว

    ที่ผ่านมา บริษัทเลโก้ได้เริ่มจากการใช้ถุงกระดาษรีไซเคิลแทนถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง นอกจากนี้ บริษัทยังได้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่นุ่มขึ้น เช่น ต้นไม้และพืชจากพลาสติกที่ได้จากอ้อย

    Libby Peake หัวหน้าฝ่ายนโยบายทรัพยากรที่ Think Tank ของ Green Alliance กล่าวว่า แผนการใช้พลาสติกรีไซเคิลนั้น “ดีกว่าการใช้พลาสติกบริสุทธิ์อย่างแน่นอน” และหวังว่า “การใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจะลดลงในอนาคตเนื่องจากผู้คนหันมาใช้ซ้ำ”

    บริษัทหลายแห่งผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล เนื่องจากความยั่งยืนมีความสำคัญต่อลูกค้ามากขึ้น โดยเลโก้ กล่าวว่า ลูกค้าจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างต้องการความยั่งยืนมากขึ้นเมื่อซื้อสินค้าโดยทั่วไปและได้ติดต่อบริษัทเพื่อแจ้งเช่นนั้น

    อย่างไรก็ตาม Camilla Zerr นักรณรงค์ด้านพลาสติกจาก Friends of the Earth กล่าวว่า “สิ่งสำคัญจริง ๆ ที่การรีไซเคิลจะไม่ถูกยกย่องว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาเริ่มต้นของวิกฤตพลาสติก แต่ผู้ผลิตต้องแน่ใจว่าของเล่นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้หลายปี เพื่อให้สามารถส่งต่อและนำกลับมาใช้ใหม่จากรุ่นสู่รุ่น”

    โดยปกติแล้วตัวต่อเลโก้จะมีความทนทานเพียงพอสำหรับเล่นกับมนุษย์ 2-3 รุ่น และในกรณีของตัวต่อที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลก็ต้องมีความทนทานเพียงพอในระดับเดียวกันด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในปี 2561 เลโก้ตั้งเป้าที่จะผลิตผลิตภัณฑ์หลักทั้งหมดจากวัสดุรีไซเคิลภายในปี 2573

    ที่ผ่านมา เลโก้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกได้ประมาณ 1.1-1.2 แสนล้านชิ้นต่อปี และปัจจุบันประมาณ 80% ทำจาก ABS หรือต้องใช้พลาสติกกว่า 90,000 เมตริกตันต่อปี โดยประมาณ 5% ทำจากพอลิเมอร์ที่มาจากอ้อย ซึ่งจากการผลิตส่งผลให้บริษัทต้องปล่อยคาร์บอนประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี แต่จากการใช้พลาสติกรีไซเคิลจะช่วยลดการปล่อยมลพิษ

    cnet.com / bbc.com

    ]]>
    1339271