ร้านขายยา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 30 Mar 2023 07:55:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ไอจัสวอนนาแฮฟอ้วยอันได้บ่” ย้ำภาพลักษณ์ “อ้วยอันโอสถ” ยาสมุนไพรทันสมัยของคนทุกเจนฯ https://positioningmag.com/1425466 Fri, 31 Mar 2023 10:00:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425466

ผ่านมาแล้วกว่าทศวรรษที่ “อ้วยอันโอสถ” เริ่มภารกิจสร้างแบรนด์ “ยาสมุนไพร” ทันสมัยที่เข้าถึงคนได้ทุกเจนเนอเรชัน ล่าสุดปีนี้บริษัทกลับมาย้ำภาพลักษณ์ผ่านแคมเปญ “ไอจัสวอนนาแฮฟอ้วยอันได้บ่” ทำการตลาดผ่านเสียงเพลงที่ทุกคนคุ้นเคยกับท่อนฮุก “โด่ดิดง” ของ “สิงโต-นำโชค” เพื่อให้ชื่อของอ้วยอันโอสถติดหูคนทุกวัย จูงใจคนรุ่นใหม่ให้รู้สึกเป็นมิตรกับยาสมุนไพรมากขึ้น

“อ้วยอันโอสถ” ฉลองครบรอบ 70 ปีบริษัทในปี 2566 จากร้านขายยาเล็กๆ ในรุ่นคุณปู่ มีชื่อเสียงจากยาลูกกลอนทำจากสมุนไพรจีน มาสู่รุ่นคุณพ่อที่ขยายกิจการจนเป็นโรงงานขนาดใหญ่ในย่านบางแค พร้อมดึงสมุนไพรไทยเข้ามาเสริม วันนี้อ้วยอันโอสถอยู่ภายใต้การบริหารของลูกๆ ในรุ่นที่ 3 และเป็นรุ่นที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านภาพลักษณ์แบรนด์

“ยุคคุณพ่อจะมีคู่แข่งไม่เยอะ ทำให้ไม่ค่อยมีการสร้างแบรนด์เท่าไหร่ แต่เมื่อพวกเรารุ่น 3 เข้ามาช่วง 10 ปีก่อน เราเริ่มเห็นว่าอ้วยอันโอสถไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แม้ว่าเราจะมีสินค้าขายในร้านขายยาทั่วประเทศ” นิชา สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด กล่าว

นิชา สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ด้านหน้าป้ายห้างขายยาอ้วยอันโอสถในรุ่นคุณพ่อ

เมื่อเห็นจุดที่สามารถเสริมแกร่งได้ ทำให้รุ่น 3 เริ่มต้นการสร้างแบรนด์ให้อ้วยอันโอสถ ขั้นแรกคือเริ่มปฏิรูปโลโก้และแพ็กเกจจิ้งสินค้ายาทั้งหมดที่มีกว่า 100 SKUs (ยกเว้นยาอมแก้ไอและยาลูกกลอนจีนตำรับเดิม ซึ่งผู้บริโภคคุ้นเคยกับแพ็กเกจจิ้งแล้ว) ออกแบบให้มี mood & tone ที่สื่อถึงความสะอาดปลอดภัย รวมถึงให้ปรากฏชื่อแบรนด์ “อ้วยอันโอสถ” ไว้บนฉลาก โดยมีน้องชายอีก 2 คนเข้ามาช่วยดูแลด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) คิดค้นสินค้าใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

รุ่น 3 ของอ้วยอันโอสถ: (จากซ้าย) ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ, นิชา สมบูรณ์เวชชการ และทานุ สมบูรณ์เวชชการ

“เราได้ปรับตัวเองจากภาพของคุณหมอที่มีอายุแล้ว มาเป็นคุณหมอวัย 30 ปีเพื่อให้ดูเข้าถึงง่ายกับคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญอยู่” นิชากล่าวเสริม

mood & tone ของโลโก้และแพ็กเกจจิ้งที่ปรับปรุงใหม่ให้สื่อสารถึงความทันสมัย

หลังจากเตรียมสินค้าพร้อมแล้ว อ้วยอันโอสถจึงเริ่มทำโฆษณามาอย่างต่อเนื่อง โดยโฆษณาชุดที่เห็นผลมากที่สุดออกมาเมื่อ 4-5 ปีก่อนเป็นโฆษณายาขมิ้นชันที่มี “แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นภาพที่ทำให้คนจดจำอ้วยอันโอสถได้ดีที่สุด

ตามด้วยการออกโฆษณาในกลุ่มยาเด็ก โดยครั้งนี้ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็น “คุณแม่โอปอล-ปาณิสรา และน้องอลิน-อลัน” ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะช่วยให้กลุ่มยาเด็กอ้วยอันโอสถดูน่าเชื่อถือ ปัจจุบันยาน้ำแก้ร้อนในเขากุยเป็นสินค้าขายดีอันดับ 2 ของบริษัท

น่าเสียดายที่หลังจากนั้นเกิดโรคระบาดโควิด-19 ขึ้น ทำให้กิจกรรมการตลาดเพื่อสร้าง Corporate Brand ต้องชะลอลง แต่ข้อดีคือโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่ช่วยพิสูจน์ความสำเร็จของแคมเปญที่ทำมาตลอดหลายปี

“ช่วงโควิด-19 เป็นช่วงที่คนรู้จักสมุนไพรสูงขึ้นจากการรับประทานฟ้าทะลายโจร และทำให้เราเห็นภาพว่าเราทำสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง เพราะช่วงนั้นคนเดินเข้าร้านขายยาจะถามหาฟ้าทะลายโจรของอ้วยอันโอสถก่อนยี่ห้ออื่น จนฟ้าทะลายโจรกลายมาเป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ของบริษัทในช่วงที่เกิดโควิด-19” นิชากล่าว


“ไอจัสวอนนาแฮฟอ้วยอันได้บ่” เพลงที่เข้าถึงคนทุกวัย

หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย บริษัทจึงต้องการกลับมาสร้างแคมเปญให้กับ Corporate Brand อีกครั้ง โดยเลือกที่จะใช้กลยุทธ์มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง และมาลงตัวที่เพลง “อ้ายจัสวอนน่าเป็นแฟนยูได้บ่?” ของ สิงโต-นำโชค เพราะเป็นเพลงดังที่มียอดวิวบน YouTube เกิน 150 ล้านวิว และดังเป็นวงกว้าง คนทุกเพศทุกวัยรู้จัก มีจังหวะสนุกสนานติดหูผู้คน


อ้วยอันโอสถจึงนำมาแปลงเนื้อเพลงเป็น “ไอจัสวอนนาแฮฟอ้วยอันได้บ่” และสร้างสรรค์ MV โฆษณาที่มีเนื้อหาพาทุกคนไปรู้จักกับสมุนไพรไทย เน้นที่แบรนด์อ้วยอันโอสถมากกว่าสินค้าใดสินค้าหนึ่ง พร้อมกับมีท่าเต้นน่ารักๆ เข้ากับเพลง เพื่อจะต่อยอดไปเป็นชาเลนจ์สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ โดยจะเริ่มแคมเปญบน TikTok ในเดือนพฤษภาคมนี้

แคมเปญนี้เริ่มเผยแพร่ไปทุกช่องทางทั้งวิทยุ โทรทัศน์ สื่อ ณ จุดขาย และทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จุดประสงค์เพื่อสร้างเพลงโฆษณาที่ ‘ติดหู’ จนทุกคนนึกถึงอ้วยอันโอสถเป็นเจ้าแรกเมื่อจะซื้อยาสมุนไพร


เดินหน้าต่อกับการตอกย้ำแบรนด์ในกลุ่ม “คนรุ่นใหม่”

แคมเปญ “ไอจัสวอนนาแฮฟอ้วยอันได้บ่” นั้นวางกลุ่มเป้าหมายเป็นวงกว้างสำหรับคนทุกวัย แต่กลุ่มที่อ้วยอันโอสถมุ่งเป้าจะเข้าถึงให้ได้มากขึ้นคือกลุ่ม “คนรุ่นใหม่”

เพราะถึงแม้ว่าลูกค้าหลักของอ้วยอันโอสถมักจะเป็นคนวัยทำงานซึ่งเป็นวัยที่โรคเรื้อรังเริ่มถามหา หรือเป็นช่วงวัยที่เริ่มมีลูกและต้องการยาสำหรับเด็ก แต่ในกลุ่มวัยรุ่นนั้นถ้าหากไม่ ‘ทำความรู้จักกัน’ ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อวัยรุ่นโตเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะไม่สนใจยาสมุนไพรและไม่เลือกซื้ออ้วยอันโอสถก็ได้

“สมัยเราเป็นวัยรุ่นเราก็ไม่อยากใช้สมุนไพรเพราะมองดูเชยๆ แต่ถ้าเราปรับภาพลักษณ์ตัวเองให้มีสีสัน และทำความรู้จัก ไปใกล้ชิดกับเขา ทำให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับเรา สร้างความผูกพันไว้ก่อน เราก็จะไปยืนในใจเขาได้” นิชากล่าว

นิชามองว่าคนรุ่นใหม่ยุคนี้มีแนวโน้มที่จะไม่ปฏิเสธสมุนไพร เพราะเทรนด์ปัจจุบันเริ่มมีแนวคิด “ไม่ใช้สารเคมี” ทั้งอาหารและของใช้ประจำวัน เริ่มอยู่กับธรรมชาติ ดูแลรักษาสุขภาพ ดังนั้น เป็นไปได้ที่การทานอาหารเสริมของคนรุ่นใหม่จะเลือกสิ่งที่ทำมาจากสมุนไพรมากกว่า

“การปรับเปลี่ยนแบรนด์ของเรามาได้ไกลพอสมควร แต่เราจะไปให้ไกลกว่านี้ เพราะการแข่งขันในตลาดยาสมุนไพรสูงขึ้นมาก” นิชากล่าว “วันนี้เราจะสร้างความเป็นอ้วยอันโอสถให้ชัด แบรนด์จะมีสีสันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะบาลานซ์ให้ได้กับสิ่งที่อ้วยอันโอสถทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ คือ เป็นยาสมุนไพรที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส่กับผู้บริโภค น่าเชื่อถือ และมีคุณภาพ”

]]>
1425466
“เซ็นทรัล รีเทล” ร่วมวงตลาด “ธุรกิจสุขภาพ” เปิดร้านขายยา อาหารเสริม สินค้าสัตว์เลี้ยง https://positioningmag.com/1401156 Wed, 21 Sep 2022 09:44:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401156 “เซ็นทรัล รีเทล” (CRC) มองหาธุรกิจใหม่ใน “ธุรกิจสุขภาพ” วางแผนปูพรมทั้งร้านขายยา “Tops Care” ร้านขายวิตามิน-อาหารเสริม “Tops Vita” พ่วงด้วยร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง “PET’N ME” โดยเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดกลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนสที่สูงถึง 2 แสนล้านบาท เติบโตปีละ 8% และยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นเพราะคนไทยหันมาดูแลสุขภาพ

ธุรกิจสุขภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเนื้อหอมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงยักษ์ใหญ่รีเทลอย่าง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยตั้งเป็น Business Unit ใหม่ภายในเครือเมื่อปีก่อน

ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health&Wellness CRC ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสของเครือ มีแบรนด์ร้านค้าแล้ว 3 แบรนด์ ได้แก่

  • Tops Vita (ท็อปส์วีต้า)ร้านขายวิตามินและอาหารเสริม ปัจจุบันเปิดแล้ว 21 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 40 สาขา
  • Tops Care (ท็อปส์แคร์) ร้านขายยา เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ปัจจุบันเปิดแล้ว 4 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 16 สาขา
  • PET’N ME (เพ็ท แอนด์ มี)ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 4 สาขา
เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
Tops Care สาขาแอท เอกมัย

โดยเฉพาะร้าน Tops Vita และ Tops Care นั้นจะปูพรมทั่วประเทศในระยะยาว ภายใน 5 ปีข้างหน้า Tops Vita มีเป้าหมายจะเปิดบริการ 700 สาขา และ Tops Care จะเปิดบริการ 300 สาขา

ที่สามารถเปิดได้มากและเร็วเพราะโมเดลธุรกิจจะเน้นพ่วงไปกับซูเปอร์มาร์เก็ตของเครือ CRC ไม่ว่าจะเป็น Tops Market หรือ Central Food Hall ก็ตาม ลักษณะเป็น Shop-in-shop ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก

เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
Tops Vita แบบ Shop-in-shop ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ Central Food Hall สาขาเซ็นทรัลเวิลด์

เรียกได้ว่าในอนาคต Tops Vita ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเสริมและวิตามินจะเข้าไปอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเครือ CRC ทุกแห่ง รวมถึงพ่วงเข้าไปอยู่ในร้านขายยา Tops Care ที่อาจจะเปิดได้ทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต, โซนอื่นๆ ของศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล และมีกลยุทธ์อนาคตจะไปเปิดในศูนย์ฯ ของเครืออื่นด้วย

 

คนไทยใส่ใจสุขภาพ ยอดขายพุ่ง

การค้นหาน่านน้ำใหม่เพิ่มเติมของเซ็นทรัล รีเทล มาลงตัวที่ธุรกิจสุขภาพ ดร.มลฤดีกล่าวว่าเป็นเพราะตลาดนี้เติบโตได้ดี ถ้ามองภาพรวมธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสทั้งหมดมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท (รวมกลุ่มโรงพยาบาล ร้านขายยา สปา ฯลฯ) ทั้งตลาดนี้โตปีละ 8%

แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจขายอาหารเสริมและวิตามิน มูลค่าจะอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท โตปีละ 10% คือโตมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินมาแรงมากในช่วงหลังเกิดโรคระบาด

จุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจเวชศาสตร์เชิงป้องกัน (Preventive Care) มีการทานอาหารเสริม วิตามินกันมากขึ้น เพราะโรคระบาด COVID-19 ทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ

จากแต่เดิมคนที่ทานอาหารเสริมมักจะเป็นคนวัย 40 ปีขึ้นไป เน้นการป้องกันโรคไขข้อและกระดูก ปัจจุบันคนวัย 25-40 ปีซึ่งยังเป็นคนวัยหนุ่มสาว ก็เริ่มหันมาทานวิตามิน-อาหารเสริม คนในวัยนี้จะเน้นทานเพื่อหาตัวช่วยเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้นอนหลับดีขึ้น และทานเพื่อความงาม โดยเฉพาะอาหารเสริมที่ทำให้ผิวพรรณดี ผ่องใสขึ้น

 

เน้นจุดขาย “สะดวกที่สุด” และ “มีครบที่สุด”

สำหรับแบรนด์ที่จะเป็นหัวหอกให้ BU นี้อย่าง Tops Vita ดร.มลฤดีบอกว่า ร้านแบรนด์ใหม่นี้จะใช้จุดขาย คือ

1.เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก เพราะจะใช้กลยุทธ์ Omnichannel หน้าสาขาออฟไลน์ตั้งอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ลูกค้าหาซื้อง่าย ขณะที่บนออนไลน์ก็มีเช่นกัน สามารถซื้อหาได้ทุกช่องทาง

2.มีสินค้าครบที่สุด ปัจจุบัน Tops Vita มีสินค้ามากกว่า 1,000 SKUs เชื่อว่าเป็นร้านขายอาหารเสริมที่มีสินค้ามากชนิดที่สุดในประเทศ ลูกค้าซื้อครบจบในที่เดียว

3.มองหา Exclusive Brand เติมพอร์ต ขณะนี้ร้านมีสินค้าที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทยอยู่ราว 5% ของพอร์ต เช่น แบรนด์ Nature’s Truth จากสหรัฐฯ แต่อนาคตจะเติมสินค้า Exclusive Brand ให้มากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยแข่งขันสำคัญในอนาคต ทุกร้านจะแข่งกันมี Exclusive Brand ให้มากที่สุด

เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
แบบสอบถามของ Tops Vita ที่จะวัดผลความต้องการอาหารเสริมของแต่ละบุคคล

ในส่วนของการขายออนไลน์ ขณะนี้จะมีทางหน้าเว็บไซต์ www.topsvita.com และ LINE Official ด้านการขายผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ จะทยอยเปิดจนครบภายในปี 2566

ไฮไลต์ที่จะชวนคนให้เข้าสู่เว็บไซต์คือจะมี “แบบประเมินสุขภาพอัจฉริยะ” ที่ออกแบบโดยแพทย์ ลูกค้าเพียงตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายตนเอง ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และเป้าหมายสุขภาพ ใช้เวลา 2-3 นาทีในการตอบแล้วระบบจะแนะนำวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลให้

ดร.มลฤดีระบุว่า บริษัทตั้งเป้าทำยอดขายในกลุ่มร้านขายวิตามินและอาหารเสริมที่ 1,500 ล้านบาทในปี 2570 ส่วนกลุ่มร้านยาและสินค้าสัตว์เลี้ยงยังไม่สามารถเปิดเผยเป้าหมายได้

]]>
1401156
นิวยอร์ก วางเเผนเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เตรียมให้ตรวจเชื้อ COVID-19 ได้ตามร้านขายยา https://positioningmag.com/1275616 Mon, 27 Apr 2020 11:51:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1275616 มหานครนิวยอร์ก เมืองที่มียอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 มากที่สุดในสหรัฐฯ วางเเผน “เปิดเศรษฐกิจ” อีกครั้ง หลังพ้นเขตล็อกดาวน์ในวันที่ 15 พ.ค. ที่จะถึงนี้ พร้อมจะเริ่มให้ตรวจเชื้อได้ตามร้านขายยา

Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า กลยุทธ์เปิดเศรษฐกิจของนิวยอร์กจะเป็นเเบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฟสเเรกจะเริ่มเปิดภาคการก่อสร้างและการผลิตก่อน จากนั้นเฟสสองจะประเมินธุรกิจตามสถานการณ์เเละความสำคัญ แต่ละเฟสจะห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อวัดผลกระทบของการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดูอัตราผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ติดเชื้อว่าจำนวนไม่เพิ่มขึ้นด้วย

โดยพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเปิดเศรษฐกิจในเร็ว ๆ นี้อาจจะเป็นตอนเหนือของนิวยอร์ก เพราะมียอดผู้ติดเชื้อน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ ส่วนทางตอนล่างของรัฐ รวมถึงนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดนั้นจะต้องมีการประสานงานระดับภูมิภาค

Cuomo กล่าวอีกว่า อีกไม่นานชาวนิวยอร์กจะสามารถตรวจหา COVID-19 ได้ตามร้านขายยาต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบเมืองราว 5,000 แห่ง โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถแจกชุดตรวจ วันละ 40,000 ชุดให้กับร้านขายยา คลินิก และโรงพยาบาลทั่วรัฐนิวยอร์ก

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในรัฐนิวยอร์กลดลงมาอยู่ที่ระดับ 367 คนในวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา นับถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 332 คน โดยยอดสะสมของผู้ติดเชื้อรัฐนิวยอร์กมีมากกว่า 280,000 คน เสียชีวิตแล้วราว 22,000 คน ขณะที่สหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อรวมกว่า 960,000 คน เสียชีวิตแล้วกว่า 54,000 คน

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเเนวทาง 3 ขั้นเพื่อได้ประกาศแผนผ่อนปรน 3 ระยะในภารกิจ “Opening up America Again” เพื่อกลับมาเปิดระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยให้อำนาจเเก่ผู้ว่าการรัฐกำหนดมาตรการของตนเองท่ามกลางยอดผู้ว่างงานในประเทศที่พุ่งสูงกว่า 26 ล้านคน หรือราว 1 ใน 6 ของชาวอเมริกัน

ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามในมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดย่อมมูลค่า 484 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ มูลค่ารวม 3 ล้านล้านเหรียญ เพื่อฟื้นฟูประเทศจากการระบาดของ COVID-19

 

ที่มา : france24 , nbcnewyork

 

]]>
1275616
ชิงเค้ก 2 แสนล้าน “แม็คโคร” แปลงโฉมร้านยาสู่ Health & Beauty เพิ่มสินค้า 1,600 รายการ มีเภสัชฯประจำ https://positioningmag.com/1242833 Mon, 19 Aug 2019 00:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242833 ปัจจุบันธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท เติบโตอย่างรวดเร็วตามเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคในยุคนี้   

หน่วยงานบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้คาดการณ์จำนวนร้านขายยาทั่วประเทศ พบว่ามีมากกว่า 22,000  – 23,000 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ 30% และต่างจังหวัด 70% ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบสแตนอโลน ผู้ประกอบการเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 80%

ศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าที่หันมาใส่ใจสุขภาพและความงามของแม็คโครเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี

จึงมองโอกาสการทำตลาดดังกล่าวมากขึ้น ด้วยการปรับภาพลักษณ์ ร้านยาแม็คโคร พื้นที่ 220 ตร.ม. ของแม็คโคร สาขาสาทร เป็นร้านเพื่อสุขภาพและความงาม มีการออกแบบใหม่ ทันสมัย สะดวกสบาย รวมถึงมีเภสัชกรประจำร้าน

นอกจากนี้ได้เพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์และเวชภัณฑ์ทั่วไปรวมกว่า 1,600 รายการ ตั้งเป้าหมายให้สาขาสาทรเป็นสาขานำร่องก่อนขยายสู่สาขาอื่นๆ ของแม็คโครรูปแบบ cash&carry ในอนาคต เพื่อบริการลูกค้าสมาชิกและลูกค้าทั่วไป

“ร้านขายยามีการเปลี่ยนแปลงไปมากตามความต้องการของลูกค้า ที่หากมีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นก็สามารถดูแลร่างกายขั้นต้นได้ จากยาและสินค้าทางการแพทย์ที่ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของเภสัชกร ในราคาเข้าถึงง่าย” 

กลุ่มลูกค้าที่สนใจดูแลสุขภาพยังนิยมเลือกซื้อสินค้ากลุ่มอาหารเสริม และสินค้าความงามมากขึ้น ร้านเพื่อสุขภาพและความงามของแม็คโคร จึงปรับโฉมใหม่เพื่อเป็นทางเลือกกับกลุ่มลูกค้า

]]>
1242833
สเต็ปใหม่ สมูทอี เทคโอเวอร์ร้านขายยา P&F ปั้นเชนจับกลุ่มกระเป๋าหนักวัย 40 ปีอัพ เตรียมขยายสาขาต้องมีทุกอำเภอ https://positioningmag.com/1231451 Fri, 24 May 2019 11:50:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1231451 สำหรับผมธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุข ไม่ใช่ทำแล้วได้เงิน ผมทำธุรกิจมาได้เงินเยอะแยะ แต่ไม่เคยมีความสุขเท่าการได้เงินจากร้ายขายยาเล็ก ๆ ขนาด 6 ตารางเมตรที่เคยเปิดครั้งแรกเมื่อ 30 ปีก่อนที่ศูนย์การค้าสยาม วันนี้เลยคิดว่าจะกลับมาทำอะไรสนุกๆดร.แสงสุข พิทยานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์เอฟอินทิเกรท จำกัด กล่าว

ดร.แสงสุข เภสัชกรที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ ผู้ปั้นแบรนด์สมูธอีจนโด่งดัง ทำรายได้ปีละกว่า 3-4 พันล้านบาท เพิ่งเสร็จจากการเข้าซื้อหุ้น 90% ของบริษัทพีแอนด์เอฟฯ เจ้าของร้านขายยาพีแอนด์เอฟ (P&F) ที่มีอยู่ราว 35 สาขาในปัจจุบัน ด้วยวงเงินลงทุนรวมกว่า 200 ล้านบาท พร้อมแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงร้านขายยาไทย ให้มีความแตกต่างจากเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป้าหมายที่จะปั้นแบรนด์ร้านขายยาพีแอนด์เอฟให้กลายเป็นร้ายขายยาในดวงใจ หรือ Top of Mind ของคนไทยภายใน 1-2 ปีจากนี้

เขายอมรับว่าไอเดียนี้ไม่ง่ายเพราะปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจร้านขายยาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมูลค่ายาในตลาดไทยปีหนึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.8 แสนล้านบาท เป็นมูลค่าจากร้านขายยาประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ที่เหลือ1.5 แสนล้านเป็นมูลค่ายาที่จ่ายจากโรงพยาบาลซึ่งส่วนทางกับสภาพของตลาดร้านขายยาในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปอเมริกาซึ่งแพทย์จะเขียนใบสั่งยาแล้วให้ผู้บริโภคไปซื้อจากร้านขายยาเป็นหลัก

มองในแง่การตลาด โอกาสก็คือร้านขายยายังไม่มีร้านในดวงใจ คนส่วนใหญ่นึกถึงแค่ร้านขายยาใกล้บ้านแค่นั้น ถ้ามีใครเข้ามาเพื่อมาทำมาร์เก็ตติ้งหรือส่งมอบอะไรให้สังคม ก็เชื่อว่ามีโอกาสไม่ยากและเร็ว โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ และถ้าผมทำอย่างที่พูดได้จบแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คนจะไม่เลือกมาใช้บริการกับเรา

Operation Plan

เริ่มต้นจากงานวิจัยเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ ที่บริษัทใช้งบ 1 ล้านบาททำการวิจัยกับผู้บริโภคจำนวน 1,600 คน เพื่อหาคำตอบว่าปกติไปซื้อขาอะไรที่ร้านขายยาชอบและไม่ชอบอะไร และทำการสอบถามเภสัชกรในร้านขายยา 40 แห่งเพื่อหาแนวทางว่าจะมีบริการอะไรที่ให้บริการผู้บริโภคได้ดีขึ้น และกลายมาเป็นแผนการของพีแอนด์เอฟที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

คำถามแรกที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เอ่ยถามเมื่อเข้าร้านขายยาคือมีเภสัชกหรือเปล่าหรือเภสัชกรอยู่ไหม นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายแรกว่า ร้านขายยาพีแอนด์เอฟจะต้องมีเภสัชกรประจำตลอดเวลา ผู้บริโภคจะต้องได้รับยาจากมือเภสัชกรเท่านั้น และนอกเหนือจากนั้นจะต้องเพิ่มเติมด้วยการบริการที่เป็นมิตรจากใจเหมือนญาติพี่น้อง พร้อมรอยยิ้ม รวมทั้งการกล่าวสวัสดีและขอบคุณด้วยการไหว้จากเภสัชกร

เราถามเภสัชกรเคยไหว้ลูกค้าไหม ไม่มีใครเคยไหว้เพราะบอกว่าตัวเองเป็นเภสัชกร แต่เราลองให้เขาเปลี่ยนมาลองทำ ผลปรากฎกว่ายอดขายดีขึ้น ผลตอบรับดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ นี่คือเรื่องของอีโมชั่นแนล ที่นอกเหนือจากเรื่องวิชาชีพ

การทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมเพราะ ดร.แสงสุข บอกว่า การจะสร้างความแตกต่างต้องทำให้เกิดความว้าว (Wow Factor) ที่เหนือกว่าความคาดหมายของผู้บริโภค เป็นเรื่องอีโมชั่นแนลทั้งด้านรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่จะเติมเต็มเข้าไปในร้านขายยาพีแอนด์เอฟ โดยเขามั่นใจว่า

ถ้าเราทำได้ เราจะทำให้พีแอนด์เอฟเป็นฟามาร์ซีออฟช้อยส์ (Phamacy of Choice) ได้ภายใน 1-2 ปี

แต่เนื่องจากตลาดร้านขายยาที่มีอยู่ในปัจจุบันมีเซ็กเมนท์หลากหลายมากทั้งร้านที่มีเภสัชกรประจำไม่มีเภสัชกรร้านติดแอร์ร้านมีแบรนด์ไม่มีแบรนด์ร้านหน้ามหาวิทยาลัยร้านใกล้โรงพยาบาลฯจนจัดเซ็กเมนท์กันไม่ถูกแต่โดยรวมแล้วมีกลุ่มแบรนด์ร้านขายยาที่ติดท็อป 5 ได้แก่ ร้านฟาสซิโน ร้านเซฟดรัก(ในเครือรพ.กรุงเทพ) ร้านเฮลธ์อัพและพีแอนด์เอฟ

ดร.แสงสุข กล่าวว่า ในช่วงต้นจะเน้นปรับปรุงร้านสาขาที่มีอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ นั่นคือ การอบรมบริการให้กับกลุ่มเภสัชกร การตกแต่งบรรยากาศร้าน และการวางสัดส่วนสินค้าให้มีทั้งยา เวชสำอางค์ อุปกรณ์การแพทย์ สินค้าอินโนเวชั่นเพื่อสุขภาพ วิตามิน อาหารเสริม ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการจำหน่ายในร้านอย่างละครึ่ง ก็จะปรับสัดส่วนเป็นยา/อื่นๆ ในสัดส่วน 30/70 ในอนาคต

รวมทั้งการปรับบางสาขาที่มีทราฟฟิกใหญ่ให้เป็นคลินิกสุขภาพเพิ่มเติมด้วยส่วนหนึ่งโดยจะมีแพทย์เข้ามาประจำทุกวันอังคารและพุธวันละ 3 ชั่วโมงสำหรับตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งแก้ปัญหาการจ่ายยาบางชนิดที่ต้องให้หมอเท่านั้นเป็นผู้จ่ายยา เช่น ยาที่อยู่ในกลุ่มยาเสพติด ฯลฯ

ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นร้านยาในดวงใจครั้งนี้พีแอนด์เอฟเลือกจับกลุ่มเป้าหมายอายุ 40 ปีขึ้นไป รายได้ระดับ เอ และบี ซึ่งส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนเป็นผู้หญิงถึง 75% ที่เป็นผู้ซื้อของร้านขายยา

เทียบกับประชากรของประเทศ 67 ล้านคนเราคงไม่ได้ขายเยอะ ในทางตลาดเราต้องเลือกกลุ่มเป้าหมาย ที่เลือกกลุ่ม 40 ปีขึ้นไป เราขอแค่ 8 ล้านคน เพราะกลุ่มนี้อยู่ในวัยที่มาพร้อกับโรคนิด ๆ หน่อย ๆ เริ่มบริโภคยา อาหารเสริม ซื้อเครื่องมือแพทย์ มีรายได้สุงหน่อยเพราะร้านเราอยู่ในห้างค่าเช่าค่อนข้างสูง ที่สำคัญเราต้องเทรนด์เภสัชกรตลอดเวลาเพื่อบริการลูกค้าให้จับใจด้วยรอยยิ้ม ความมั่นใจ จากความรุ้จริงแบบมืออาชีพ

อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกว่าเป็นร้านขายยา แต่ดร.แสงสุข ก็ยอมรับว่า เป้าหมายสูงสุดที่จะวัดว่าพีแอนด์เอฟประสบความสำเร็จจริง นั้น อยู่ที่ความสามารถในการสร้างบริการที่สร้างมาดึงดูดแม้แต่คนที่ไม่ป่วยให้เข้ามาใช้บริการในร้านได้ ซึ่งบริษัทจะเน้นพัฒนาสินค้าและบริการในร้านเพื่อให้บริการในส่วนของเวชศาสตฟื้นฟูหรือชะลอวัย (Regeneration) ซึ่งเป็นเทรนด์ของของการดูแลสุขภาพยุคนี้ด้วย

สำหรับการทำตลาดซึ่งต้องมาพร้อมโปรโมชั่น เดิมร้านขายยาพีแอนด์มีระบบสมาชิกของร้านแต่ไม่แอคทีฟ พีแอนด์เอฟยุคใหม่ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดสมาชิกเพิ่มอีกกว่า 2 แสนรายภายใน 1 ปี โดยใช้โปรโมชั่นการตลาดเข้ามาเสริม เมื่อสมัครสมาชิกจะได้สินค้ามูลค่า 200 บาททันที พร้อมกับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ที่บริษัทจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผมสนใจทำร้านขายยาพีแอนด์เอฟด้วยความชอบส่วนตัว ตามแผนการนี้จะทำกำไรไหม ผมคิดว่ายากในระยะสั้น ต้องขาดทุนไปก่อนช่วงเริ่มต้น 2-3 ปี แต่ผมเชื่อว่าไม่เกิน 5 ปี กม.จะเปลี่ยน จากที่คนรับยาจากโรงพยาบาลจะต้องใช้ใบสั่งแพทย์มาซื้อจากร้านขายยามากขึ้นเหมือนในต่างประเทศในอนาคต

ทั้งนี้ปัจจุบันกำไรของร้านขายยาเฉลี่ยอยู่ที่ 10% จากเมื่อ 30 ปีก่อนมีกำไรสูงถึง 40% เนื่องจากการแข่งขันด้านราคา และมีผลให้ร้านที่ขายถูกเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ตั้งเป้าเปิดทุกอำเภอเพื่อเป็นร้านยาในดวงใจ

แผนงานของร้านขายยาพีแอนด์เอฟหากพิจารณาแล้วไม่ต่างจากธุรกิจที่ขายไอเดียหรือการสร้างให้คนเห็นโอกาสทางธุรกิจแบบที่ดร.แสงสุข ให้ความสำคัญ เพราะนอกจากเงินลงทุนในการควบรวมกิจการจำนวน 200 ล้านบาทแล้ว การขยายสาขาที่บริษัทกำหนดไว้ว่าจะมีให้ครบทั้ง 77 จังหวัด โดยคาดว่าจะให้ครอบคลุมทั้งประเทศ อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งร้านต่อหนึ่งอำเภอหรือประมาณ 800 สาขา แต่ละสาขานอกจากเปิดในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า สามารถเป็นแบบสแตนด์อะโลน หรือร้านที่มีขนาดไม่ต้องใหญ่ รวมทั้งการคอลลาบอเรทกับร้านขายยาของเภสัชกรท้องถิ่นในรูปแบบของแฟรนไชส์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยคาดว่าแต่ละร้านจะใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 2 ล้านบาท นั่นเท่ากับบริษัทจะต้องใช้เงินในการขยายสาขาราว 1,600 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้อยู่ในแผนงานอนาคตที่บริษัทคาดว่าจะได้มาจากการระดมทุนจากการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 4 ปีข้างหน้า ที่เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากเภสัชกรที่ต้องการที่พร้อมจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในอนาคต

การซื้อกิจการครั้งนี้ เราซื้อหุ้น 90% ไม่ได้ซื้อทรัพย์สิน เราตั้งเป้าว่าบริษัทจะเป็นบริษัทมหาชนมากกว่า ผมต้องการให้เภสัชกรทั้งประเทศเป็นเจ้าของ ถ้าเขาร่วมกิจการกับเรา เขาได้เป็นเจ้าของกิจการที่มีบริการดีขึ้นและคงไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอจากรูปแบบที่เรามีให้”.

ต้นแบบร้านขายยาพีแอนด์เอฟมาจากไหน

ที่ผ่านมาร้านขายยาพีแอนด์เอฟ มีรายได้ต่อปีประมาณ 700 ล้านบาท จำนวนสาขาที่มีอยู่แค่หลัก 10 ทำให้บริษัทรู้ดีว่า การขยายสาขาในอนาคต จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเข้ามาเสริมอีกมาก อีกทั้งการย้ำว่าจะพัฒนาให้เป็นร้านขายยาที่แตกต่างจากร้านขายยาที่มีอยู่ในไทย พีแอนด์เอฟได้แรงบันดาลใจมาจากไหน

ดร.แสงสุข กล่าวว่า ร้านขายยาที่เขาชอบมากจอห์นเบลฯ (John Bell & Croyden) ในประเทศอังกฤษ และเป็นเจ้าของร้านขายยาใหญ่ที่สุดในโลก มียาทุกอย่าง มีหมอเฉพาะทางให้บริการ ร้านไลฟ์ฟามาร์ซี (Life Pharmacy) ในสวิตเซอร์แลนด์ ร้านวอลกรีน (Walgreen) ในอเมริกา ที่มีสาขาใหญ่สุดใหญ่กว่าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในไทย

แต่ที่เราคุยอยู่ตอนนี้คือเชนร้านขายในเกาหลีที่มีสาขาทั่วประเทศกว่า 2,000 แห่ง และในญี่ปุ่นที่มีร้านประมาณ 200 สาขาที่สนใจมาลงทุนในเมืองไทย ซึ่งเราคิดว่าถ้าจะขยายสาขาจำนวนมาก จำเป็นต้องอาศัยความรู้ด้านการจัดการระบบจากพันธมิตรเหล่านี้ในอนาคต รู้กันดีอยู่แล้วว่าญี่ปุ่นเป็นคนมีระบบ มีคุณภาพ และสะอาด นี่คือสิ่งที่เราต้องการ

ที่สำคัญหากมีการร่วมเป็นพันธมิตรกันในอนาคต ยังส่งผลดีต่อสมูธอีและเดนทิสเต้ที่จะส่งไปจำหน่ายผ่านเชนร้านขายยาของพันธมิตรในประเทศนั้น ด้วย

อย่างไรก็ตามกว่าจะไปถึงจุดนั้นสิ่งที่ดร.แสงสุข ประเมินไว้ในเบื้องต้นนอกจากการลงทุนแล้ว รายได้จากร้านขายยาที่คาดการณ์ไว้ เขาบอกว่า แต่ละสาขาควรจะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทถึงจะอยู่ได้ นั่นเท่ากับพีแอนด์เอฟมีโอกาสที่จะทำรายได้ต่อปีถึง 20,000 ล้านบาทในอนาคตหากแผนการณ์ทุกอย่างดำเนินไปตามเป้าหมาย

]]>
1231451
“โอสถสภา” อวดยอดขาย 6,366 ล้าน Q1/2562 ตั้งบริษัทใหม่เตรียมลุยธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ-ร้านขายยา” https://positioningmag.com/1230059 Wed, 15 May 2019 13:49:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230059 ติดนามสกุลมหาชนเป็นปีที่ 2 แล้วสำหรับ “โอสถสภา” จากปีที่ผ่านสามารถทำรายได้ถึง 24,297 ล้านบาท และกำไรอีกว่า 3,005 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกของปี 2019 ที่เพิ่งรายงานผลสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานเย็น (14 พฤษภาคม) จะมีผลงานอย่างไรต้องตามไปดู

โอสถสภา รายงานรายได้ต่อตลาดหลักทรัพย์ 1/2562 โดยระบุว่ารายได้จากการขายอยู่ที่ 6,366 ล้านบาท เติบโต 4.2% หรือ 256 ล้านบาท ซึ่งมาจากทุกธุรกิจทั้งเครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคล

ขณะเดียวกันในแง่ของกำไรอู้ฟู่กว่า 888 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.4% โดยมีสาเหตุหลักมาจากโครงงการ Fitness First ที่สามารถผลักดันให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ลดลง เช่น ลดต้นทุนเศษแก้ว, การปรับสูตรสินค้า, ลดต้นทุนน้ำตาล ซึ่งเข้ามาช่วยชดเชยต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น

เมื่อแยกย่อยเข้าไปยังธุรกิจจะพบว่า “กลุ่มเครื่องดื่ม” ทำยอดขายรวม 5,321 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 154 ล้านบาท หรือ 3% หลักๆ เป็นยอดขายภายในประเทศ 4,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171 ล้านบาท

โดยเฉพาะ C-Vitt  ซึ่งมีอัตราการเติบโตโดดเด่นที่ 149% จากปีก่อน นอกจากนี้ “เปปทีน พลัส” (Peptein Plus) ออกใหม่ในไตรมาส 1 เพิ่มคุณสมบัติช่วยในการมองเห็นนั้นก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง

โอสถสภาระบุว่าตัวเองยังคงเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่ม Brain and Body Boost มีส่วนแบ่งตลาดรวม 31.1% โดยประกอบไปด้วย เครื่องดื่มบำรุงกำลัง แบรนด์หลักคือ M150 ยังสามารถรักษาการเติบโตได้ดีที่ 5.3% และมีส่วนแบ่งตลาด 53.7%

Functional Drinks C-Vitt เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง 27.9% เพิ่มขึ้น 2.9% สูงกว่าเบอร์ 2 ราว 9% และที่เหลือเป็น เครื่องดื่มเกลือแร่ กับ กาแฟพร้อมดื่ม

ส่วนรายได้จากต่างประเทศได้แก่ ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม เติบโต 31.6%

ด้านธุรกิจ “ของใช้ส่วนบุคคล” เติบโต 6.4% หรือ 39 ล้านบาท มีรายได้อยู่ที่ 648 ล้านบาท โดยพบว่า “ทเวลฟ์พลัส” เป็นหัวหอกที่เติบโตกว่า 26.6% ส่วน “เอ็กซิท” ก็ไม่น้อยหน้า โตได้ถึง 22.3% ส่วนนี้เป็นพลังที่มาจากการทำแคมเปญกับ BNK48 ล้วนๆ

ในขณะที่ธุรกิจ “OEM-ขวดแก้ว” กลับมาสร้างรายได้และการเติบโตโดยขยายตัวถึง 44.5% หลังจากเปิดเตาหลอมอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยเร็วๆนี้ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานหลอมแก้วใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตขวดแก้วในอนาคต ซึ่งสามารถผลิตขวดแก้วที่บางและมีน้ำหนักเบา และได้เริ่มก่อสร้างโรงงานที่กรุงย่างกุ้ง เมียนมาด้วย

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกับที่แจ้งผลประกอบการ โอสถสภายังได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกว่า ได้เพิ่มทุนใน บริษัทโอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด อีก 100 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต และยังได้จัดตั้งบริษัทใหม่อีก 1 แห่ง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างหาชื่ออยู่ โดยจะมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 100 ล้านบาท

สำหรับบริษัทใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อดำเนินธุรกิจที่มีศักยภาพในการเข้าถึงผู้บริโภค เช่น อีคอมเมิร์ซ ร้านขายยา และธุรกิจใหม่ๆ ที่ทำด้วยตนเอง โดยยังได้ตั้งบริษัทย่อยภายใต้บริษัทแรกชื่อโอยูระ เพื่อดำเนินธุรกิจเช่นการบริการแพลตฟอร์มเพื่อให้ความรู้และขายสินค้าที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เป็นต้น

]]>
1230059