ลิปสติก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 05 Jul 2024 14:51:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จักทฤษฎี “Lipstick Effect” เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ทำไมลิปสติกที่เป็น “ของฟุ่มเฟือย” กลับขายดี!? https://positioningmag.com/1481403 Thu, 04 Jul 2024 12:20:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481403 ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแต่ “ลิปสติก” กลับขายดีทั้งที่ไม่ใช่สิ่งของจำเป็น ปรากฏการณ์ผู้บริโภคแบบนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “Lipstick Effect” ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เจ้าของแบรนด์กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยสามารถนำไปปรับใช้ได้

“Lipstick Effect” ถูกนำเสนอและพูดถึงครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ “Juliet Schor” เมื่อปี 1998 เธอพบจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคว่า เมื่อเศรษฐกิจตกสะเก็ดและต้องรัดเข็มขัด ผู้หญิงจะตัดงบซื้อคลีนเซอร์และสกินแคร์ไปใช้ยี่ห้อธรรมดาแทน และนำเงินส่วนต่างมาละลายกับการซื้อ “ลิปสติก” แบรนด์หรูที่พวกเธอมีโอกาสจะได้หยิบมาใช้ในที่สาธารณะ

ทฤษฎีนี้มาโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อ “Leonard Lauder” ประธานกรรมการของยักษ์เครื่องสำอาง “Estée Lauder” พบว่าทฤษฎีนี้เป็นจริง เพราะหลังการก่อการร้าย 9/11 และสภาวะเศรษฐกิจผันผวนหลังจากนั้น สินค้าที่ยังคงขายดีในห้วงเวลาน่าหวาดหวั่นกลับเป็น “ลิปสติก”

หลังจากนั้นในช่วงโควิด-19 ก็ยิ่งตอกย้ำทฤษฎีนี้อีก ยกตัวอย่างในสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจหดตัวในช่วงไตรมาสแรกปี 2020 แต่มาร์เก็ตเพลส Amazon กลับพบว่าสินค้าบิวตี้และผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลกลับเติบโตขึ้น หรือ Sephora รายงานว่ายอดขายออนไลน์ของบริษัทในตลาดสหรัฐฯ ปี 2020 กลับโตขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า

 

เพราะเป็นของที่ซื้อแล้ว “ดีต่อใจ”

เครื่องสำอาง พรีเมียม

ทฤษฎี “Lipstick Effect” คือจิตวิทยาผู้บริโภคที่สวนทางกับการคาดคะเนทั่วไป ปกติแล้วถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ เราคงคิดว่าของฟุ่มเฟือยอย่างลิปสติกคงถูกตัดออกจากงบซื้อสินค้าเป็นอย่างแรกๆ แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะลิปสติกไม่ได้มีฟังก์ชันแค่ตกแต่งริมฝีปากให้สวยงาม แต่ยังมีฟังก์ชันแฝงในฐานะของที่ซื้อแล้ว “ดีต่อใจ”

Natalia Bambiza ผู้อำนวยการและนักวิเคราะห์สินค้าหมวดบิวตี้ที่ NPD Market Research Group บอกว่า สินค้าเครื่องสำอางนั้นเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกในการซื้อด้วย จากอินไซต์ของบริษัทพบว่า 64% ของผู้บริโภควัย 13-25 ปีตอบว่าตนแต่งหน้าเพื่อ ‘เสริมความมั่นใจ’ ให้ตนเอง และ 30% ของคนที่แต่งหน้าทั้งหมดบอกว่าเครื่องสำอางช่วยให้รู้สึกมีความสุข

Edward Kusoati ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Tufts อธิบายว่า ถ้าจินตนาการถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ในช่วงเศรษฐกิจปกติจะมีความสุขกับการช้อปปิ้งเครื่องประดับมีราคา เสื้อผ้ากระเป๋าแบรนด์เนม หรือรถยนต์หรู แต่เมื่อเศรษฐกิจเล่นงานกระเป๋าสตางค์เข้า สิ่งที่ยังพอซื้อได้เพื่อคงสถานะและความรู้สึกดีๆ ก็คือสิ่งของลักชัวรีขนาดเล็กที่เข้าถึงง่ายกว่า เช่น ลิปสติก

นอกจากลิปสติกจะช่วยให้รู้สึกดีและมั่นใจขึ้นเวลาปาดลงบนริมฝีปากแล้ว หากเป็นลิปสติกแบรนด์หรู ผู้บริโภคก็ยังจะได้รับประสบการณ์แบบเดิมในการเดินเข้าไปเลือกซื้อของในช็อปลักชัวรีบนศูนย์การค้าไฮเอนด์ ทำให้ได้มีช่วงเวลาหนึ่งที่หลีกหนีจากปัญหาทางการเงินในชีวิตจริง เพราะความปรารถนาของผู้คนที่อยากจะดูแลตัวเองนั้นไม่เคยหายไปแม้ว่าชีวิตจะกำลังลำบากก็ตาม

 

คว้าโอกาสจาก “Lipstick Effect”

ไม่ใช่แค่ลิปสติกที่ได้ประโยชน์จากจิตวิทยาผู้บริโภคนี้ สินค้าอื่นๆ ที่มีฟังก์ชันใกล้เคียงกันก็สามารถทำได้ โดยควรจะมีคุณสมบัติ คือ ไม่ใช่ได้แค่ฟังก์ชันหลักของตัวสินค้าแต่ยังให้ความรู้สึกดีต่อใจเมื่อซื้อและใช้งาน และแพ็กเกจราคากำลังดีในการซื้อเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเองได้ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ

ยกตัวอย่างสินค้าฟุ่มเฟือยที่ราคาเข้าถึงง่ายกว่า เช่น น้ำหอมแบรนด์เนม (ทดแทนการซื้อกระเป๋า), ทานอาหารไฟน์ไดนิ่ง (ทดแทนการไปทริปหรูต่างประเทศ), แพ็กเกจนวดหน้า (ทดแทนหัตถการราคาสูง)

ร้านอาหาร Louis Vuitton
ร้านอาหาร Louis Vuitton แห่งใหม่ที่เมืองเฉิงตู

ข้อแนะนำต่อแบรนด์สินค้าต่างๆ จากที่ปรึกษาด้านการตลาด “Intelligence Marketing” มีคำแนะนำที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ทำการตลาดสินค้าบางชิ้นของแบรนด์ในฐานะสิ่งที่ดีต่อใจ เป็นการปรนเปรอตนเองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจูงใจผู้บริโภคที่กำลังมองหาอะไรมาให้รางวัลตัวเองและทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
  2. สร้างโอกาสในการซื้อสิ่งที่ดีต่อใจนี้ด้วยการทำ “แพ็กเกจพิเศษ” หรือ “รุ่น Limited Edition” ที่ซื้อแล้วยิ่งเสริมความรู้สึกดีๆ
  3. แบรนด์อาจจะถือโอกาสนี้นำสินค้ารุ่นขายดีของทางร้านมาปรับขนาดให้เล็กลง เพื่อให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ลูกค้าจะยังได้ความรู้สึกที่ได้ถือแบรนด์ที่ตนชื่นชอบ
  4. ในช่องทางการขายต่างๆ ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ สามารถจัดโซนสินค้าชิ้นเล็กซื้อง่ายเหล่านี้ไว้ด้วยกันเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็ว
  5. เน้นย้ำเรื่องประสบการณ์การซื้อที่จะสร้างความรู้สึกดีต่อใจได้ เช่น ประสบการณ์แกะกล่องสินค้าที่รู้สึกหรูหราใจฟู

 

ที่มา: Intelligence Marketing, Rose Inc, Mailchimp

]]>
1481403
“ลอรีอัล” บุกไซส์เล็ก! ส่ง “ลิปสติกซอง” เมย์เบลลีน นิวยอร์ก จับตลาดสวยสะดวกซื้อ https://positioningmag.com/1320107 Thu, 18 Feb 2021 16:55:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320107 ลอรีอัล ประเทศไทย เดินหน้าปลุกตลาดความงาม ส่งลิปสติกจิ้มจุ่มแบบซอง จากเมย์เบลลีน นิวยอร์ก เพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคไทยผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ และไฮเปอร์มาร์เก็ต

เทรนด์ซองยังมาแรง

เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดซาเช่ หรือแพ็กเกจจิ้งแบบซองยังมีการเติบโต และเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มอุปโภค หรือเทรนด์ล่าสุดก็คงจะเป็นเครื่องสำอางซอง สกินแคร์แบบซอง สามารถพบเห็นหลายแบรนด์ลงมาบุกตลาดกันเนืองแน่น

เหตุผลหลักที่คนไทยชอบแพ็กเกจจิ้งแบบซองนั้น เนื่องจากมีความรู้สึกว่าราคาไม่แพงในการซื้อต่อครั้ง เพราะเครื่องสำอางซอง หรือสกินแคร์ซองมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20-40 บาท สามารถใช้งานได้หลายวัน หลายคนรู้สึกดีกว่าที่ต้องเสียเงินในจำนวนเต็มเพื่อซื้อขนาดจริง แม้ว่าเมื่อเทียบกับปริมาณแล้ว ขนาดจริงจะคุ้มค่ากว่าก็ตาม

อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ เป็นการทดลองสินค้าไปในตัว หรือจะให้เครื่องสำอางซองเหล่านี้เป็นเทสเตอร์แบบกลายๆ อีกทั้งยังพกพาง่าย สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้สะดวก

เราจึงได้เห็นแบรนด์ใหญ่ๆ ลงมาจับตลาดเครื่องสำอางซองกันมากมาย แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง “ลอรีอัล” ก็ไม่ตกขบวน ซึ่งก่อนหน้านี้ลอรีอัลเคยออกรองพื้นฟิตมีในรูปแบบซองมาแล้ว เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย กระตุ้นการทดลองใช้ได้อย่างดี

ล่าสุดได้เปิดตัว “ลิปสติกซอง” เป็นครั้งแรก ในแบรนด์ “เมย์เบลลีน นิวยอร์ก เซนเซชั่นแนล ลิควิด แมท” เป็นลิปสติกแบบจิ้มจุ่ม ได้นำสินค้าจากรูปแบบแท่งมาอยู่ในซอง มาพร้อม 4 เฉดสี ในราคา 59 บาท เริ่มจำหน่ายที่โลตัส โลตัสเอ็กซ์เพรส มินิบิ๊กซี ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าเครื่องสำอางทั่วไป

อินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย

อินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย บอกว่า

“อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ก่อนสถานการณ์โควิดย้อนไปตั้งแต่ปี 2556 อุตสาหกรรมความงามไทยเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณกว่า 7% ทุกปี แม้ในปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายที่อุตสาหกรรมความงามได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องสำอาง และมีผู้เล่นแข่งขันในตลาดมากมาย แต่ลอรีอัล ประเทศไทย ยังสามารถครองตำแหน่งบริษัทยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และเครื่องสำอางในประเทศไทยในปัจจุบัน”

การออกลิปสติกซองในครั้งนี้ เป็นการบุกตลาด “ร้านสะดวกซื้อ” มากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่มีอิทธิพลต่อคนในยุคปัจจุบัน มีการใช้บริการบ่อย อีกทั้งในเรื่องของราคายังเข้าถึงได้ง่าย กระุต้นการทดลองใช้ อีกทั้งยังสามารถซื้อเก็บได้หลายๆ สี เพราะเชื่อว่าสาวๆ ต้องไม่มีลิปสติกสีเดียวอย่างแน่นอน!

]]>
1320107
Hermes ลุยธุรกิจ “เครื่องสำอาง” เป็นครั้งแรก ส่งลิปสติก 24 เฉดสีเปิดตลาดสู้ Chanel-Dior https://positioningmag.com/1263568 Fri, 07 Feb 2020 08:51:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263568 Hermes ขยายสู่ธุรกิจเครื่องสำอางเป็นครั้งแรกด้วยสินค้าลิปสติก 24 เฉดสี สนนราคาแท่งละ 67 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,040 บาท) หลังจากคู่แข่งในวงการแฟชันระดับลักชัวรีอย่าง Dior และ Chanel นำหน้าไปนานหลายปี โดย Hermes หวังว่าธุรกิจนี้จะช่วยดันรายได้กลุ่มน้ำหอมให้มากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 5% ในรายได้รวมของบริษัท

Hermes International เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกจากแผนกความงาม เป็นคอลเลกชัน ลิปสติก ราคา 67 เหรียญสหรัฐ มีให้เลือกทั้งหมด 24 เฉดสี ตัวเคสทำจากโลหะพ่นสีที่สื่อถึงเครื่องประดับบนกระเป๋า Hermes ผลิตภัณฑ์สร้างชื่อให้กับแบรนด์ และจะวางจำหน่ายเฉพาะในช็อปของ Hermes เองเท่านั้น

โดย Hermes ประกาศว่าแบรนด์จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยทีมภายในบริษัทให้มากที่สุด เฉลี่ยแล้วคาดว่าจะออกเครื่องสำอางใหม่ทุกๆ 6 เดือน

“พวกเขากำลังทำงานอย่างระมัดระวังยิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์” มาริโอ ออร์เทลลิ ที่ปรึกษาด้านลักชัวรีแบรนด์จากลอนดอนกล่าว

ลิปสติกคอลเลกชันแรกจาก Hermes มีให้เลือกทั้งหมด 24 สี (photo: Hermes)

การขยายเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง ถือเป็นการชิมลางในธุรกิจนี้ของ Hermes และต้องต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Christian Dior แบรนด์ในเครือ LVMH และ Chanel ที่สร้างทั้งยอดขายและกำไรมานานในวงการ โดย LVMH ยังเป็นเจ้าของร้านเครื่องสำอางระดับโลกอย่าง Sephora ด้วย

ส่วน Chanel เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในวงการเช่นกัน โดยสามารถสร้างยอดขายได้ถึงปีละ 4,000 ล้านยูโร (ประมาณ 1.37 แสนล้านบาท) เมื่อเทียบกับ Hermes ซึ่งก่อนหน้านี้สินค้าบิวตี้มีแค่น้ำหอมกับสบู่ ทำให้สร้างยอดขายได้เพียงปีละ 312 ล้านยูโร (ประมาณ 10,700 ล้านบาท) เห็นได้ว่า Hermes ยังเป็นผู้เล่นหน้าใหม่อย่างมากสำหรับตลาดนี้

การเปิดตัวลิปสติกครั้งนี้ Hermes หวังว่าในอนาคตสินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์จะช่วยเร่งรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจน้ำหอมได้ จากปัจจุบันที่น้ำหอมมีสัดส่วนเพียง 5% ในรายได้รวมของแบรนด์ที่ทำได้ปีละ 6,000 ล้านยูโร (ราว 2.05 แสนล้านบาท)

(photo : Hermes)

“เป็นเรื่องสำคัญมากที่กลุ่มธุรกิจน้ำหอมจะต้องขยายไปให้ครบ 3 มิติ” อักเซล ดูมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Hermes เปิดเผยกับกลุ่มนักลงทุนเมื่อปีก่อนในวันประกาศโครงการขยายธุรกิจเครื่องสำอาง เขากล่าวว่า 3 มิติของกลุ่มสินค้านี้คือ น้ำหอม เครื่องสำอาง และ สกินแคร์ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายในแต่ละทวีปรอบโลก “คุณต้องมีให้ครบทั้ง 3 กลุ่ม”

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Euromonitor พบว่าตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกมีแนวโน้มจะเติบโตได้ถึง 6% ปีนี้ ทำให้มีมูลค่ารวมแตะ 77,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.42 ล้านล้านบาท)

Source

]]>
1263568
ลิปสติก ไอเท็มสุดฮิต ดาราแห่ขายเต็มไอจี https://positioningmag.com/1142292 Wed, 04 Oct 2017 22:55:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1142292 นอกจากการขายครีมรีวิวเครื่องสำอางและโปรโมตอาหารเสริมจะกลายเป็นอาชีพเสริมของเหล่าดารานักแสดงแล้ว ในช่วงนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าสินค้าที่คนบันเทิงกำลังฮิตกันก็คือ การออกมาปั้นแบรนด์ลิปสติกแข่งกันอย่างคึกคักนั่นเอง

“เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย” คำนี้ยังคงเป็นวลีเด็ดที่ใช้ได้ตลอดกาล ถึงแม้เศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนแต่สำหรับผู้หญิงแล้ว เพื่อให้ได้เครื่องสำอางหรือสีลิปสติกที่ต้องการ ก็พร้อมจะเป็นสายเปย์

ภาพรวม 10 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การแต่งหน้าของผู้หญิงได้เปลี่ยนไป โดยผู้หญิงส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับการดูแลตัวเองและการแต่งหน้ามากขึ้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากกระแสจากบล็อกเกอร์บิวตี้ และยูทูปเปอร์สอนแต่งหน้าเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้หญิงมากขึ้น ทำให้เทรนด์การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องของความสุข ความสนุก และความคิดสร้างสรรค์

รวมไปถึงในตลาดเครื่องสำอางก็มีการแข่งขันกันอย่างหนัก ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ที่ต่างพร้อมใจกันเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ และจัดแคมเปญโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม กันอย่างต่อเนื่อง ทำให้วงการคอสเมติกกลับมามีสีสันมากขึ้น

ย้อนไปเมื่อ10 ที่แล้ว ผู้หญิงทั่วไปมักจะแค่นิยมแต่งหน้าเบาๆ ด้วยการทาแป้งและลิปสติกสีแดง ชมพู ส้ม และลิปกลอสแบบใสๆ ธรรมดา แต่ทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่หันมานิยมเขียนคิ้ว กรีดอายไลเนอร์ ทาบลัชออน และทาลิปสติกสีสันแปลกใหม่มากขึ้น

ผลการสำรวจพฤติกรรมของผู้โภคพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนจะมีลิปสติกประมาณ 3-5 แท่ง หรือสูงสุดอาจมีถึง 200 แท่ง และเป็นสินค้าที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะขาดไม่ได้ และเนื่องจากลิปสติกไม่ได้มีแค่สีแดงกับชมพู แต่มีสีสันให้เลือกมากมายทำให้ลิปสติกเป็นสินค้าที่มีแรงดึงดูดใจและกระตุ้นเงินในกระเป๋าของผู้หญิงได้เป็นอย่างดี

ในช่วงหลังๆ จากกระแสที่ ดารา หันมาทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์อย่างคับคั่ง เช่น ขายครีมบำรุงครีม กันแดด อาหารเสริม และกลุ่มเครื่องสำอาง เช่น แป้งตลับและรองพื้น ลิปสติก เป็นสินค้าแถวหน้าอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงโดยดาราหลายคนหันมาสนใจปั้นแบรนด์ของตัวเอง เช่น ขวัญ อุษามณี, น้ำชา ชีรณัฐ, เนย โชติกา และหนิง ปณิตา กับกลุ่มเพื่อนดารา เป็นต้น

โดยเครื่องสำอางและสินค้าของเหล่าดาราส่วนใหญ่นั้นจะเน้นขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์ รวมไปถึงขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่รีวิวโปรโมตและดูแลสินค้าแทนดารา

นอกจากนี้ในช่องทางค้าปลีกออฟไลน์ร้านเครื่องสำอางอย่าง “อีฟแอนด์บอย” ยังจัดให้มีโซนสินค้าพิเศษสำหรับคนดังCelebrity Brand วางขายสินค้าของดาราและเซเลบริตี้เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าร้าน นับเป็นอีกช่องทางจำหน่ายของคนดังที่น่าสนใจ

4 ปัจจัยดาราเห่อกระแสสร้างแบรนด์

ผศ.เสริมยศ ธรรมรักษ์ หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารแบรนด์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้วิเคราะห์ถึงการที่ดารานักแสดงหันมาทำแบรนด์สินค้ากันมากขึ้นว่า อาจมีปัจจัยมาจาก

1. ใช้ชื่อเสียงและพื้นที่สื่อของตัวเองให้เกิดมูลค่า

เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการใช้ชื่อเสียงของตัวเองเอามาต่อยอดธุรกิจ คือเป็นการใช้แบรนด์ของตัวเองทั้งในด้านความมีชื่อเสียง และการมีพื้นที่สื่อเป็นของตัวเองอย่างอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือช่องทางอื่นๆ ที่สามารถสื่อสารได้ง่าย สะดวก รวมถึงการเผยแพร่ธุรกิจที่ตัวเองทำผ่านการปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าแบรนด์ดาราจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะกลไกที่ตามต่อมาหลังจากที่มีผู้คนรู้จักก็คือ กลไกของการตลาด การขาย และการสร้างแบรนด์

2. ไม่ต้องลงทุนเยอะแค่มีจุดขายเป็นของตัวเอง

ธุรกิจเครื่องสำอางดาราไม่จำเป็นต้องไปลงทุนสร้างโรงงาน หรือสร้างบริษัทในการผลิตสินค้าเอง เพราะมีบริษัทรับจ้างทำเครื่องสำอางและดำเนินการผลิตสินค้านั้นทั้งกระบวนการ โดยที่ดารานั้นอาจเพียงแค่วางจุดยืนของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำนั้นควรจะมีความสอดคล้องกับบุคลิกภาพของดารานั้นๆ เพื่อช่วยเสริมให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและชื่นชม

3. ขยับขยายอาชีพเพราะการเป็นดาราอาจไม่มั่นคง

ต้องยอมรับว่าอัตราการหมุนเวียนของดาราในวงการบันเทิงค่อนข้างสูง การมีดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นอาจทำให้ดาราที่อยู่มาก่อน ต้องหาทางขยับขยายโอกาสให้กับตนเองด้วยการมีอาชีพรองรับหรือหาโอกาสก้าวสู่ธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ฟิตเนส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือผลิตแบรนด์เครื่องสำอาง เพราะเป็นสินค้าที่ใกล้ตัวและเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ต้องใช้ทุกวัน

4. มีช่องการสื่อสารและช่องการขายเป็นของตัวเอง

ทุกวันนี้ช่องทางการสื่อสารกับช่องทางการขายอาจถูกหลอมรวมไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก หรือว่าไลน์ แต่ละแพลตฟอร์มต่างก็มีลูกเล่นเพื่อสนับสนุนงานทางด้านการตลาด การขาย และการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ในขณะเดียวกันอาจจะไปถึงจุดขายย่อยๆ ตามห้างสรรพสินค้า เช่น ร้านเครื่องสำอางอีฟแอนด์บอยที่มีโซนสำหรับสินค้าของเซเลบริตี้โดยเฉพาะ นอกจากจะเพิ่มพื้นที่ขายทางออฟไลน์ให้กับสินค้าดาราแล้ว ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับร้านค้า จากการนำสินค้าคนดังมาสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามาเดินในร้าน

ข้อดี VS ข้อเสียดาราขายสินค้า

การที่บรรดาดาราแห่ลงมาขายสินค้าของตัวเองก็อาจจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี คือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโปรโมตสินค้าเพราะใช้ตัวเองเป็นจุดขายโปรโมตแบรนด์ตัวเอง แต่อาจจะได้ผลเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่ง เช่น ทำให้คนรู้จัก แต่หลังจากนั้นอาจต้องใช้กลไกตัวอื่นมาช่วยในการรักษาฐานลูกค้า เช่น การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า การสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ผ่านการรีวิวผลิตภัณฑ์ ซึ่งดาราคนนั้นก็ไม่ควรมาอวยผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง

ข้อเสีย คือ อาจเป็นการเสียโอกาสจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อยากจะว่าจ้างดาราคนนั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างให้นำผลิตภัณฑ์ไปโปรโมตในอินสตาแกรม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จะว่าจ้างและผลิตภัณฑ์ของดารานั้น จัดอยู่ในประเภทเดียวกันทำให้เสียโอกาสรายได้และภาพลักษณ์ที่ดูดีจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ดัง

คำแนะนำสำหรับการสร้างแบรนด์ดารา

1. หลังบ้านต้องพร้อมและคอนเทนต์ต้องดี

เมื่อดาราต้องการหันมาทำธุรกิจ สิ่งที่ควรต้องมีคือการเตรียมทีมงานหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ เช่น การทำการตลาดเพื่อเพิ่มลูกค้าใหม่ การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า การกระตุ้นการขายด้วยโปรโมชันต่างๆ รวมไปถึงการสร้าง Content ของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นในสื่อสังคมออนไลน์ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ดารายืนถือผลิตภัณฑ์เท่านั้น คือดาราสามารถเป็นกลไกในการสร้างการรับรู้ได้แต่ต้องมีระบบหลังบ้านอีกหลายเรื่องที่จะมารองรับ เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวหน้าต่อไปได้

2. สร้างความสัมพันธ์และมีจุดยืนในตลาด

ไม่ใช่แค่ความดังหรือความมีชื่อเสียงของดาราเพียงอย่างเดียว การที่แบรนด์จะมั่นคงได้ต้องสร้างความสัมพันธ์แบบเหนียวแน่น (Brand Engagement) กับลูกค้า ซึ่งก็อาจจะต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกค้า และที่สำคัญแบรนด์ควรจะมีจุดแข็งในตลาดอย่างเช่นแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก หรือแบรนด์ของไทยที่มักจะมีความชัดเจนทั้งในจุดยืนของแบรนด์และมีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการชัดเจน รวมไปถึงการสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้า สร้างให้สินค้ามีความแตกต่างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ให้คนจำได้ว่าเป็นสินค้าดารา.

]]>
1142292