วู้ดดี้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 11 Nov 2025 13:03:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปดราม่าด้อยค่า ‘นมโคไทย’ พร้อมทำความรู้จักแบรนด์ ‘Mace milk’ ที่ถูกโยงไปเกี่ยวด้วย https://positioningmag.com/1546453 Tue, 11 Nov 2025 13:03:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546453 จุดเริ่มต้นดราม่าด้อยค่านมไทย

จุดเริ่มต้นดราม่า ด้อยค่านมไทย เริ่มต้นจากที่รายการ WOODY AVENGERS ของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ได้ปล่อยตัวอย่างวิดีโอรายการตอน อาหารที่คิดว่าดี อาจกำลังทำร้ายร่างกาย โดยมีแขกรับเชิญได้แก่ เชฟทักษ์ หรือ นุติ หุตะสิงห์ เจ้าของเพจ TUCK the CHEF และ เมย์-ศวิตา เศรษฐาภรณ์ เจ้าของเพจ Ms Happy Diet – Everyday Wellness

ซึ่งในตัวอย่างคลิปมีหลายประโยคที่หลายคนมองว่า เป็นความเข้าใจผิด และอาจสร้างตื่นตระหนกในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมไทย ไม่ว่าจะเป็น

“นมวัวไทย ส่วนมากไม่ใช่นมแท้ เป็นนมผงผสม ไปเมืองนอก ไปกินชีสบ้านเขา ทำไมท้องไม่อืดเหมือนกินที่เมืองไทย” 

“นมรีดสดใหม่บูดง่าย ถ้าอยู่เมืองไทยอยากกินนมจริง ไม่ใช่นมผง ต้องเป็นนม grass fed”

“ของแท้มีน้อยกว่าที่คิด และบางกล่องอาจไม่เคยแตะวัวจริงเลย”

ซึ่งหลังจากที่คลิปดังกล่าวกลายเป็นประเด็น ทำให้ นักวิชาการ และ ผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยมองว่าประโยคที่ตัดมาอาจจะเป็นการ ชี้นำ และ ให้ข้อมูลด้านเดียว อาทิ รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ที่ออกมาอธิบายในหลาย ๆ ประเด็น อาทิ

  • กระบวนการผลิตนมผงว่าเป็นเพียงกระบวนการทำแห้ง แค่ดึงน้ำออกจากนมสด เพื่ออายุการเก็บรักษา และอาจจะมีการเติมสารบางตัว เช่น สารอีมัลซิไฟเออร์ (ช่วยให้ไขมันนมละลายเข้ากันน้ำได้ดี) ซึ่งต้องเป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กับอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตามมาตรฐานว่าปลอดภัย
  • นมในไทยทั่วไปหลายยี่ห้อก็เป็นน้ำนมโคสด 100% อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องจนต้องไปหานม Grass Fed ที่แพงกว่า เพราะนม Grass Fed คือนมที่ได้จากแม่วัว ซึ่งถูกเลี้ยงด้วยหญ้าตามธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ค่อยให้อาหารอื่น ๆ เช่น พวกข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ กิน แค่นั้น
  • ส่วนประเด็นทานนมไทยแล้วท้องอืด เป็นเรื่องของภาวะที่ร่างกายย่อยน้ำตาลแลกโตสในนมได้ยาก ทำให้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียง่าย ไม่เกี่ยวกับนมไทย

หลังจากที่นักวิชาการออกมาโต้แย้ง ทำให้วู้ดดี้ได้ออกมาชี้แจงว่า ความตั้งใจคือ “ชวนทุกคนตั้งคำถามกับสิ่งที่เรากินอยู่ทุกวัน” ไม่ได้ตั้งใจทำให้รู้สึกว่า นมไทยด้อยคุณภาพ และขอระงับการเผยแพร่คลิปชั่วคราว รวมถึงกำลังเตรียมตอนพิเศษร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ แพทย์ และตัวแทนจากอุตสาหกรรมนมไทย เพื่อพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาในทุกประเด็น

ขณะที่ด้าน เชฟทักษ์ ก็ออกมาขอโทษที่เนื้อหาที่ถูกตัดมาอาจทำให้สังคมเข้าใจผิด พร้อมกับย้ำว่า อยากให้คนไทยดื่มนมวัว เพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วน เช่นเดียวกับ เมย์-ศวิตา ที่ระบุว่า เจตนารมณ์เพียงอยากให้คนตระหนักถึงคุณภาพและแหล่งที่มาของอาหารที่บริโภค พร้อมกันนี้ยินดีและเต็มใจช่วยเหลือเกษตรกรโคนมไทย และการให้ข้อมูลในรายการดังกล่าวเป็นการเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้มีสปอนเซอร์นมวัวใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวอะไรกับ Mace milk

ที่แบรนด์ Mace milk ถูกโยงเข้ามาในดราม่านี้ก็เพราะ เชฟทักษ์เป็นแบรนด์แอมบาสเตอร์ Mace milk ทำให้ชาวเน็ตมองว่า ที่เชฟพูดเรื่องนมไทย เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจาก Mace milk หรือไม่ แต่ทางเชฟทักษ์ ก็ออกมาชี้แจงว่า 

“ไม่มีความตั้งใจโจมตีนมวัวไทย อยากให้คนไทยดื่มนมวัว รวมถึงไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากแบรนด์ที่ตนเป็น Brand Ambassador อยู่”

แม้จะออกตัวมาว่าไม่เกี่ยวกับที่ตนเป็น Brand Ambassador แต่ก็เริ่มมีกระแส #แบนMacemilk

รู้จัก Mace Milk

Mace Milk ก่อตั้งโดย กมลกานต์ เทียนขำ ที่เติบโตมาจากครอบครัวธุรกิจฟาร์มนม โดยเธอได้นิยาม Mace Milk ว่าเป็น นมสเปเชียลตี้ ด้วยจุดเด่นด้านรสชาติเข้มข้น หวานมันที่เป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบัน Mace milk วางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับคาเฟ่และร้านกาแฟหลายแห่ง

กมลกานต์ เล่าถึง แรงบันดาลใจ ในการปั้นแบรนด์ว่ามาจากการ ตามหารสชาติในความทรงจำ เพราะเธอมี ภาพจำของตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก คือ นมที่พ่อต้มให้ดื่ม ซึ่งมีรสชาติเข้มข้น หวานมัน มีกากน้ำนมอยู่ด้านบน

หลังจากใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาเกือบ 20 ปี และได้ดื่มนมรสชาติใกล้เคียงกับที่เคยกินตอนเด็ก แต่เมื่อกลับมาเมืองไทยและพบว่านมในตลาดขาดความเข้มข้นตามที่เธอต้องการ ไอเดียจึงจุดประกายขึ้น ประกอบกับเมื่อลองต้มนมสูตรเฉพาะให้ลูกกินแล้วพบว่าลูกชอบมาก จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องสร้างแบรนด์นมในแบบที่ตัวเองรักให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

Mace milk ใช้เวลาพัฒนาสูตรนานถึง 1 ปีเต็ม โดยเลือกใช้วิธีการผลิตแบบนมพาสเจอร์ไรส์ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับความร้อนที่นานพอจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติหวานมันตามธรรมชาติของนมอย่างเต็มที่ 

แม้จะเปิดตัวได้เพียง 1 ปี แต่สินค้าก็ได้กระจายขายตามโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงเป็นซัพพลายเออร์ส่งตรงให้กับคาเฟ่ร้านกาแฟหลายแห่ง จนมีปัญหาเรื่องสินค้าขาดตลาดอยู่บ่อยครั้ง ด้วยการตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ กมลกานต์ คาดว่าปีนี้จะมีรายได้แตะ 200 ล้านบาท และตั้งเป้าปีหน้าที่ 500 ล้านบาท รวมถึงมีแผนจะขยายสู่ตลาดต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ กัมพูชา และมาเลเซีย



โดยหลังจากที่ดราม่าถูกเชื่อมโยงมาถึงตัวแบรนด์ ทาง Mace Milk ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่าน Facebook page ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป

]]>
1546453
เปิดอาณาจักร 100 ล้าน ของ “วู้ดดี้ เวิลด์” ตอนนี้มีคอนเทนต์ และธุรกิจอะไรบ้าง https://positioningmag.com/1546140 Mon, 10 Nov 2025 06:52:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546140 ประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ในช่วงไม่กี่วันมานี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง “นมโคไทย” ที่จุดตั้งต้นมาจากรายการหนึ่งในเครือของ Woody World (วู้ดดี้ เวิลด์) ที่เนื้อหาเกิดการสร้างความเข้าใจผิดในสังคมอย่างมาก รวมไปถึงสร้างความกลัวให้กับคนดื่มนม ทำให้นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงสัตว์แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ต่างออกมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

แต่ดราม่าก็ยังทวีคูณไปจนถึงแขกรับเชิญที่มาพูดในรายการ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือรายการของวู้ดดี้เองก็คือ Woody Avengers ที่มีคอนเซ็ปต์เชิญกูรูในแต่ละด้านมาคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสุขภาพ 

ปัจจุบัน “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” ได้บริหารบริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด ธุรกิจหลักจะเป็นการผลิตสื่อบันเทิง รายการคอนเทนต์ออนไลน์ และงานอีเวนต์ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีรายได้ย้อนหลัง 3 ปี ดังนี้

  • ปี 2567 รายได้ 115 ล้านบาท กำไร 28 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 96 ล้านบาท กำไร 28.2 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 77 ล้านบาท กำไร 9 ล้านบาท

ในอดีตเราคุ้นเคยกับวู้ดดี้ในบทบาทของพิธีกร มีรายการที่โด่งดังทั้งวู้ดดี้ เกิดมาคุย และวู้ดดี้ ตื่นมาคุย ที่ออกอากาศทางช่อง 9 แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วู้ดดี้ได้เบนเข็มมาช่องทางออนไลน์ 100% 

ทำให้ในปัจจุบันธุรกิจภายใต้วู้ดดี้ เวิลด์ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

1. คอนเทนต์ : สร้างรายได้ทั้งหมด 40% แบ่งเป็นอีก 2 กลุ่ม ก็คือ รายการที่มีวู้ดดี้ เช่น Woody FM, Woody Interview, Woody Review และวอดอวอแว เป็นต้น เป็นรายการที่วู้ดดี้เป็นคนดำเนินรายการเอง และอีกกลุ่มคือรายการที่ไม่มีวู้ดดี้ (Non-Woody) เช่น Life Dot, WE DO, Alive Dot, Tuck Talk, เบิ้ล AM และเกิดมาเว่า เป็นรายรายที่ให้พิธีการ หรือดารา เซเลบคนอื่นๆ มาดำเนินรายการ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ เวลเนส การใช้ชีวิต และความสวยความงาม เป็นต้น ทุกรายการจะอยู่บนช่องทางออนไลน์ทั้งหมด ทั้ง YouTube, TikTok, Instagram และ Facebook โดยที่ช่องของ Woody ใน YouTube มีคนติดตามกว่า 4.24 ล้านแอคเคาท์

2. อีเวนต์ : สร้างรายได้ในสัดส่วน 40% เช่นกัน ได้แก่ S2O Festival, Dragonfly Summit, Fit Fest และล่าสุดกับงาน Life Expo ปัจจุบันงาน S2O ได้ไปเปิดตลาดหลายเมืองแล้ว ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลี, นิวยอร์ก, ลอสแองเจลิส, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

3. สินค้า : มีสัดส่วนรายได้ 20% แต่เดิมวู้ดดี้เองมีการร่วมทุนในหลายๆ บริษัทในโมเดลพาร์ทเนอร์ อย่างที่เคยเห็นในกระทะโคเรียนคิงส์ และวู้ดดี้ ซี+ ล็อค ปัจจุบันมีสินค้าขายในแบรนด์ WANDO วิตามินดูแลผม 

4. ธุรกิจ Talent Management : เป็นธุรกิจที่จะเปิดในอนาคตในชื่อ Dot Talent เน้นการบริหารศิลปิน นักแสดงรุ่นใหม่

หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่าดังกล่าว ทางวู้ดดี้ได้ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าน้อมรับทุกคำแนะนำ และระงับคลิปชั่วคราว พร้อมจะทำรายการพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง 

กลายเป็นกรณีศึกษาในการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ ยิ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ยิ่งต้องอาศัยข้อมูลข้อเท็จจริงหลายส่วน ใช้เพียงความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้ ทางด้านรายการ และตัวสื่อเองก็ต้องมีความรับผิดชอบที่เพียงพอต่อสังคมในการส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่สร้างความตระหนก สร้างความกังวลเพิ่มขึ้น ต้องรอติดตามว่าวู้ดดี้จะแก้เกมครั้งนี้อย่างไร

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1546140
เรื่องนอนเรื่องใหญ่! Index Living Mall x Woody ปั้นแบรนด์ Dreamia หมอนพรีเมียมตัวท็อป https://positioningmag.com/1377639 Tue, 15 Mar 2022 08:32:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377639 เมื่อปัญหาการนอนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ อาจจะส่งผลต่ออาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ Index Living Mall จึงปิ๊งไอเดียในการสร้างแบรนด์หมอนระดับพรีเมียม งานนี้ได้แท็กทีม “วู้ดดี้” ในการปั้นแบรนด์ Dreamia หมอนไฮบริด จับตลาดหมอนพรีเมียม เพื่อรองรับตลาดสุขภาพ

คนไทย 40% มีปัญหาการนอน

ข้อมูลจากการสำรวจ Super Poll เกี่ยวกับการนอนหลับของคนไทยทั่วประเทศ 1,109 ตัวอย่าง (ณ กันยายน 2564) พบว่า 30-40% ของประชากรไทยหรือราว 19 ล้านคนต้องเผชิญปัญหานอนไม่หลับ โดยระบุสาเหตุจากที่รองนอน ฟูก และหมอน ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการนอนถึง 96.5%

จากปัญหาด้านการนอนนี่เอง ก็ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น นอนไม่หลับ ปวดหัว ปวดคอ บ่า ไหล่ หลับไม่สนิท ตื่นก่อนเวลาที่ต้องการตื่น แน่นอนว่ากระทบต่อเนื่องไปกับการใช้ชีวิต และการทำงานต่างๆ ได้ด้วย

Photo : Shutterstock

การใช้หมอนที่ไม่ตรงกับสรีระร่างกาย ก็เป็นปัญหาหลัก รวมไปถึงระยะเวลาในการใช้งานหมอน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี เพราะมีการยุบ เมื่อหมอนมีความสูงไป หรือต่ำไปก็ทำให้นอนหลับไม่สบายได้

ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เลือกอุปกรณ์การนอนที่ส่งผลต่อสุขภาพ เลือกสินค้าที่พรีเมียม ใช้วัสดุที่ดี เพื่อช่วยประสิทธิภาพในการนอนที่ดีขึ้น ยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น หลายคนจึงเลือกลงทุนกับการแต่งบ้าน อุปกรณ์การนอน การทำงาน ทำให้ตลาดนี้เติบโตมากขึ้นเช่นกัน

Collab กับวู้ดดี้ ปั้นหมอนพรีเมียมระดับตัวท็อป

คำถามที่ว่า… ทำไมต้องเป็นหมอน?

คำตอบมี 2 อย่างด้วยกัน คือ 1. ตลาดเครื่องนอนมีการเติบโตสูง และจากปัญหาเรื่องการนอนที่กล่าวไปข้างต้นทำให้มีโอกาสในการเติบโตมาก

2. ในปีนี้ Index ได้เพิ่มกลยุทธ์ในการ Collaboration กับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ หรือเซเลบริตี้ จึงเกิดเป็นการจับมือ “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” ผู้มีหลายบทบาททั้งพิธีกร นักธุรกิจ และเซเลบริตี้ เปิดตัวแบรนด์ DREAMIA เป็นหมอนแบบไฮบริดใช้วัสดุขนเป็ด ผสมเมมโมรี่โฟม ตอบรับตลาดสุขภาพ

index dreamia woody

หมอน DREAMIA เป็นโมเดลแบบการเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกัน โดยทั้ง Index และวู้ดดี้ได้ร่วมกันพัฒนาสินค้า ออกแบบ และสร้างแบรนด์ โดย Index ได้รับลิขสิทธิ์เรื่องของนวัตกรรมจากอเมริกาเพียงเจ้าเดียวในไทยสำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าตัวนี้

การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการรวมจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย ทาง Index มีข้อมูลสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภค และช่องทางการขาย ส่วนทางวู้ดดี้จะช่วยโปรโมต เท่ากับว่าวู้ดดี้จะไม่ได้เป็นแค่พรีเซ็นเตอร์อย่างเดียว แต่เป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเลย

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เริ่มเล่าว่า

“โมเดลนี้ไม่ใช่การ Collab แบรนด์กับดาราเฉยๆ แต่เป็นการทำธุรกิจร่วมกันโดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่าย จุดเริ่มต้นมาจากที่วู้ดดี้เป็นคนนอนหลับยาก มีปัญหานอนไม่หลับ จึงให้วู้ดดี้เลือก และได้ทดลองนอนหมอนจริงมากกว่า 10 ใบ เพื่อ ออกเป็นแบรนด์ DREAMIA โดย Index เป็นผู้จัดจำหน่าย และนำเข้า ส่วนวู้ดดี้ทำหน้าที่กึ่งพรีเซ็นเตอร์ทางธุรกิจ”

หมอน DREAMIA มีการพัฒนาด้วยการนำ 7 นวัตกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมิติใหม่แห่งการนอนแบบ All in one ได้แก่

  • Softcell Construction ให้ความนุ่มสบายรองรับศีรษะด้วยเส้นใยขนเป็ดเทียม
  • Elongated Softcell ทุกสัมผัสการนอนราบรื่น
  • ผ้าหุ้มหมอน Tencel ใช้เทคโนโลยีการผลิตจากเซลลูโลสของเปลือกไม้ ให้เนื้อสัมผัสที่ละเอียดนุ่มเรียบลื่น
  • MEMORY FOAM ช่วยกระจายน้ำหนักของศีรษะ และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม
  • เส้นใย Celliant ช่วยการทำงานของระบบการไหลเวียนโลหิต และกล้ามเนื้อ ให้รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอน
  • เลือกปรับระดับสูง-ต่ำของหมอนได้ เพียงนำหมอนใบเล็กที่เสริมไว้ด้านในออก
  • Antimicrobial Silver Chloride Treatment ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เชื้อรา กลิ่นและรอยคราบต่างๆ

ตลาดเครื่องนอน ศักยภาพสูง!

แม้ว่าตลาดกลุ่มเครื่องนอน และหมอนเพื่อสุขภาพจะมีจำนวนผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายที่หลากหลาย แต่มองว่ายังมีโอกาส และช่องว่างในการทำตลาด โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่ม Premium Segment และกลุ่ม Health Conscious ที่มีกำลังซื้อสูง ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพซึ่งคาดว่าจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ Index เอง กลุ่มที่นอน และเครื่องนอนมีสัดส่วนรายได้ถึง 10% และมีการเติบโต 16% กฤษชนกบอกว่า ถือว่าเป็นสัดส่วนรายได้ที่ค่อนข้างสูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีก เนื่องจากหมอนเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องมีคนละ 1 ใบ และเป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำตลอด

หมอน DREAMIA ถือว่าเป็นตัวท็อปที่สุดของ Index ในเวลานี้ ตั้งราคาขายปลีกอยู่ที่ 3,990 บาท แต่มีโปรโมชันเปิดตัว หมอนรุ่น Recovery พร้อมปลอกหมอนกันเปื้อนรุ่น Omniguard ราคาเริ่มต้น 2,990 บาท จากราคาปกติ 4,980 บาท ซึ่งวางจำหน่ายที่ Index Living Mall 31 สาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์

แต่เดิม Index มีจำหน่ายหมอนราวๆ 5-6 แบรนด์ มีเฮาส์แบรนด์ประมาณ 3 แบรนด์ มีราคาตั้งแต่ 199-3,990 บาท คาดว่าการออกหมอน DREAMIA จะกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น 20%

กฤษชนก บอกว่า ครั้งนี้เป็นการพัฒนาร่วมกัน แต่ยังไม่แยกบริษัท แต่ถ้าอะไรลงตัวอาจจะแยกบริษัทใหม่ก็ได้ รวมไปถึงมองผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น เครื่องนอน และที่นอน เพิ่มเติมด้วย

Photo : Shutterstock

สำหรับภาพรวมของ Index ในปี 2564 มียอดขาย 7,433 ล้านบาท เติบโต 5% ยอขายจากช่องทางออนไลน์ 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วน 12% ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดไป 3% หรือราวๆ 100 กว่าล้านบาท มีกำไรสุทธิ 453.2 ล้านบาท ในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ 8,200 ล้านบาท หรือโตเติบโต 10%

แบ่งสัดส่วนรายได้ เฟอร์นิเจอร์ 69% ของตกแต่ง 19% ที่นอน 6.5% อื่นๆ 5.5%

ในปี 2565 ใช้งบลงทุนรวม 480 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนสาขาใหม่ 220 ล้านบาท ที่ลาดกระบัง, รีโนเวตสาขาภูเก็ต และเกษตรนวมินทร์ 185 ล้านบาท, ปรับปรุงเครื่องจักร 30 ล้านบาท และลงทุนด้านไอที 45 ล้านบาท

]]>
1377639
“สายเฮลท์-สายฟิต” เทรนด์แรง เปย์หนัก “วู้ดดี้” ปั้นแบรนด์ FIT FEST จากอีเวนต์สู่ “แพลตฟอร์มสุขภาพ” https://positioningmag.com/1229619 Mon, 13 May 2019 12:35:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1229619 วันนี้คงไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ากระแสการดูแลสุขภาพ “ฮิต” ขนาดไหน เรียกได้ว่าทุกวัยหันมาใส่ใจดูแลตัวเอง ทั้งการกินคลีน  เมนูซีโร่ แคล (Zero Cal) เข้ายิมฟิตแอนด์เฟิร์ม ผลักดันให้ธุรกิจ Health & Wellness เติบโตมีมูลค่ากว่า “แสนล้าน” แบรนด์และสินค้าต่างๆ พัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ หวังเจาะกำลังซื้อสายเฮลท์-สายฟิต “จ่ายหนัก”

ต้องเรียกว่าเป็นหนึ่งในสมาชิก “คนคลั่ง”ออกกำลังกายและทำต่อเนื่องมากว่า 7 ปีแล้ว สำหรับ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด ที่บอกว่าต้องออกกำลังกาย “ทุกวัน” วันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม ที่สำคัญเป็นการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ

เมื่อมีความชอบ จึง “อิน” กับการออกกำลังกาย และต้องการสร้าง “คอมมูนิตี้” ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพและร่างกาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของอีเวนต์ FIT FEST ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2017 มีคนร่วมงานกว่า 20,000 คน

สายเฮลท์-สายฟิต“เปย์หนัก”

วู้ดดี้ บอกว่ากลุ่มคนดูแลสุขภาพและออกกำลังกาย ถือเป็นกลุ่มที่ยอม “จ่ายเงินหนัก” เพราะเชื่อในเรื่องการสร้างสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉลี่ยจะมีค่าใช้จ่าย 5,000-15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมีทั้งค่าคลาสออกกำลังกาย เทรนเนอร์ อุปกรณ์ เสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย รวมทั้งการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

สำหรับ “วูดดี้” เอง มีค่าใช้จ่ายในการออกกำลังกายเดือนละ 30,000 บาท เพราะต้องจ้างเทรนเนอร์เบอร์ 1 ดูแลเท่านั้น รวมทั้งอุปกรณ์ เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับออกกำลังกายที่ต้องมาแบบจัดเต็ม การออกกำลังกายจะมีทุกประเภท ทั้ง เวทเทรนนิ่ง, ขี่จักรยาน, วิ่ง

แนวโน้มธุรกิจ Health & Wellness เองมีการขยายตัวทุกด้าน ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า “แสนล้านบาท” จะเห็นได้ว่ามีการขยายสาขาของ “เชน ฟิตเนส” อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรูปแบบ “บูติก ฟิตเนส” ที่มีการลงทุนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด การออกกำลังกายในกลุ่มสายฟิต ยังช่วยกระตุ้นการเติบโตของสินค้าเสื้อผ้า แฟชั่นอีกด้วย ในกลุ่มสายเฮลท์ ก็ช่วยผลักดันการธุรกิจอาหารสุขภาพและเมนู Healthy ให้ได้รับความนิยมมากขึ้น

ปั้น FIT FEST สู่แพลตฟอร์ม

อัครพล จับจิตรใจดล กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการหน่วยงาน FIT FEST บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด กล่าวว่า จากเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ปี 2017 จึงได้เปิดตัวอีเวนต์ FIT FEST ครั้งแรก เพื่อกระตุ้นให้คนไทยออกกำลังกายมากขึ้น ด้วยคอนเซ็ปต์การจัดคอนเสิร์ตหรือสวนสนุก ที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้มีประสบการณ์ลองเต้น ลองวิ่ง ลองอุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับการออกกำลังกาย ซึ่งการจัดงานในปี 2017-2018 เป็นรูปแบบอีเวนต์ “อินดอร์” มีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน

ปีนี้ได้รับรูปแบบการจัด FIT FEST จากอีเวนต์สู่ Health & Wellness Platform เป็นแพลตฟอร์มครบวงจรที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนดูแลสุขภาพ “สายเฮลท์และสายฟิต” ที่ชัดเจน ด้วยกลยุทธ์ Experiential Marketing ให้ทุกคนมีประสบการณ์และส่วนร่วมแบรนด์ FIT FEST ในทุกกิจกรรม ประกอบด้วย

  • อีเวนต์ FIT FEST 2019 โดยร่วมมือกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พื้นที่รวมกว่า 6,000 ตร.ม. จัด FIT FEST “สวนสนุกการออกกำลังกาย” ขนาดใหญ่ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ และขยายการจัดงานจาก 2 วันเป็น 4 วัน พร้อมด้วยโซนช้อปปิ้ง ทั้งสินค้าแฟชั่นกีฬา อุปกรณ์การออกกำลังกาย แบรนด์ฟิตเนส และอาหารสุขภาพจากร้านดังกว่า 100 ร้านค้า ปีนี้คาดคนร่วมงาน 1 แสนคน
  • FITFEST CHANNEL ซบุ๊กเพจ “ชุมชน” คนรักสุขภาพและการออกกำลังกาย นำเสนอคอนเทนต์สำหรับคนออกกำลังกายทั้งไลฟสไตล์ แฟชั่น เคล็ดลับและเทคนิคเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

  • ไทยแลนด์ โคตรฟิต แชมเปี้ยนชิป 2019 การแข่งขันประชันความฟิต โดยร่วมกับ Thonglor CrossFit ในการปั้นแบรนด์การแข่งขันประเภท ขึ้นเป็นครั้งแรก
  • รายการคนแปลงร่าง รูปแบบเรียลลิตี้โชว์ ต่อยอดจากรายการ “คนแปลงร่าง” ทางเฟซบุ๊กที่นำเสนอเดือนละ 2 ครั้ง มาเป็นรายการฟอร์แมตใหม่ ซึ่งมีทั้งออนไลน์บนเฟซบุ๊กและคอนเทนต์รายการสดออกอากาศทางช่อง “เวิร์คพอยท์ทีวี” เป็นรูปแบบติดตามชีวิตและภารกิจคนแปลงร่าง โดยจะเริ่มออนแอร์ในเดือน ก.ค.นี้
  • FIT FEST PROGRAM เป็นคอมมูนิตี้สายฟิต ที่จะมีการจัดอีเวนต์ยาวตลอดปีรายไตรมาส ทั้งรูปแบบที่สร้างสรรค์กิจกรรมเองจากการออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยม และครีเอตงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ ในการนำเสนอสินค้าและนวัตกรรมใหม่

ปั้น “อินฟลูเอนเซอร์” สายสุขภาพ

การปรับแบรนด์ FIT FEST จากอีเวนต์สู่แพลตฟอร์ม Health & Wellness เพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์และการสื่อสารแบรนด์ในยุคนี้ ที่ไม่ได้ทำแค่อีเวนต์แล้วจบ แต่ต้องตอกย้ำการสื่อสารในทุกช่องทาง FIT FEST จึงเป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารและเครื่องมือที่จะทำให้สินค้าและบริการด้านสุขภาพที่มีจำนวนมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคอมมูนิตี้คนรักสุขภาพ อีกทั้งยังสร้างโอกาสการเติบโตจากการใช้งบสื่อสารและกิจกรรมผ่านแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น 30% 

Master Class โดย เบเบ้

พร้อมทั้งเตรียมขยายเครื่องมือใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งกลุ่ม “ทาเลนท์” และ “อินฟลูเอนเซอร์” สายฟิต ปัจจุบันมี “ฟิตเนส ไอดอล” อาทิ เบเบ้ – ธันย์ชนก, ครูหนุ่ม – ยอดชาย ยมะคุปต์ อาจารย์ซุมบ้าฟิตเนสคนแรกของประเทศไทย และมีไมโครอินฟลูเอนเซอร์อีกหลายคน

หลังจากนำแบรนด์ S2O เทศกาลดนตรีสัญชาติไทยโกอินเตอร์ไปจัดงานในญี่ปุ่นและไต้หวันแล้ว FIT FEST เป็นอีกแบรนด์ที่ “วู้ดดี้ เวิลด์” วางเป้าหมายจะขยายการจัดงานในต่างประเทศ ภายในปี 2025 เริ่มจากกลุ่มอาเซียน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย หลังจากสร้างแบรนด์ FIT FEST เป็นแพลตฟอร์ม Health & Wellness อันดับ 1 ในประเทศไทยตามเป้าหมายปี 2022

]]>
1229619
“วู้ดดี้” ปั้น S2O มิวสิก เฟสติวัล หวังโกอินเตอร์ https://positioningmag.com/1221497 Mon, 25 Mar 2019 12:30:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221497 หากพูดถึงสินค้าไทยที่ก้าวไกลในเวทีโลก ก็ต้องยกให้ “อาหารไทยหรือครัวไทย” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขณะที่งานสร้างสรรค์คอนเทนต์เป็นอีกศาสตร์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศเช่นกัน วันนี้ที่เริ่ม “โกอินเตอร์” ในฐานะอีกโปรดักต์จากไทย คือ “มิวสิก เฟสติวัล” ที่กำลังก้าวสู่เวที “ระดับโลก”

วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายครีเอทีฟ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากพัฒนาแบรนด์ S2O รูปแบบ สงกรานต์ มิวสิก เฟสติวัล” ครั้งแรกในปี 2015 ด้วยจุดเริ่มต้นต้องการสร้างให้งานเทศกาลดนตรี ช่วงสงกรานต์ “โกอินเตอร์” ไม่ใช่แค่เพียงการจัดงานปาร์ตี้ สนุกสนาน แต่ต้องการสร้างแบรนด์อีเวนต์ ที่มีเป้าหมาย ขายลิขสิทธิ์ให้กับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ เพื่อนำรูปแบบงานไปจัดทั่วโลก

มาถึงวันนี้ S2O ถือเป็นอีกเทศกาลดนตรีระดับเอเชียของไทยงานแรกที่ “โกอินเตอร์” ขายลิขสิทธิ์จัดงานในตลาดต่างประเทศครั้งแรกที่ โอไดบะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2018 มีผู้ร่วมงานกว่า 16,000 คน ด้วยศักยภาพดังกล่าว บริษัท Ticket Pia พาร์ตเนอร์จัดงานในญี่ปุ่น จึงเซ็นสัญญาลิขสิทธิ์จัดงานยาว 5 ปี จากเดิมเริ่มต้นที่ 3 ปี

ปีนี้ยังคงจัดงาน S2O Japan ต่อเนื่องเป็นปีที่สองที่โตเกียว ระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม การจัดงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับผลตอบรับดี เพราะคนญี่ปุ่นเข้าใจวัฒนธรรมสาดน้ำสงกรานต์ของไทยเป็นอย่างดี

บุกต่อไต้หวัน

ปีนี้ได้ขายลิขสิทธิ์จัดงาน S2O เพิ่มที่ไต้หวัน ให้กับพาร์ตเนอร์ชื่อ SP Unite โดยเตรียมจัดงาน S2O Taiwan ในวันที่ 6-7 กรกฎาคมนี้

การจัดงาน S2O ในญี่ปุ่นและไต้หวัน บริษัทจะเป็นผู้ดูแลรูปแบบเวที การจัดแสดงดนตรี ดีเจ นวัตกรรมกลไกการสาดน้ำ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทเอง ส่วนรูปแบบการทำตลาดในต่างประเทศจะทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ผู้ซื้อลิขสิทธิ์จัดอีเวนต์เทศกาลดนตรี เพราะจะเข้าใจกลุ่มเป้าหมายในประเทศได้ดีที่สุด ดังนั้นการจัดงาน S2O ในต่างประเทศ จึงมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก

รายได้จากการทำตลาดแบรนด์ S2O ในต่างประเทศ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ รายได้จากการขายลิขสิทธิ์จัดงานให้กับพันธมิตร และการแบ่งรายได้จากการขายบัตรเข้าร่วมงาน

“S2O ถือเป็นโปรดักต์ไทย ที่เราภูมิใจในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เป็นสินค้าไทยที่มีกลิ่นอายสากล จึงตอบสนองทั้งกลุ่มเป้าหมายชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

ก้าวต่อไป “เทศกาลดนตรีระดับโลก”

วู้ดดี้ บอกว่าการทำงานเฟสต่อไปของ S2O ทั้งในไทยและต่างประเทศ เป้าหมาย คือ “แมส ใหญ่ ใหม่” คือแบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เป็นเทศกาลดนตรีที่ทั้งคนไทยและต่างชาติต้องกำหนดไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยวประจำปี การจัดงานต้องขยายพื้นที่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และต้องมีนวัตกรรมใหม่ ด้านเทคโนโลยี แสง สี เสียง โดยเฉพาะระบบน้ำ ที่ถือเป็นไฮไลต์ของเทศกาล

เป้าหมายสเต็ปต่อไปของ S2O คือการก้าวสู่ “มิวสิก เฟสติวัล” ระดับโลก ปัจจุบันแบรนด์เป็นที่รู้จักในเอเชีย มีผู้สนใจในภูมิภาคนี้ทั้ง จีน และทุกประเภทในอาเซียน ต้องการซื้อลิขสิทธิ์ S2O ไปจัดงาน แต่บริษัทต้องดูความเหมาะสมของพื้นที่และรูปแบบการจัดงานด้วยเช่นกัน ขณะนี้จึงยังไม่ได้ให้ลิขสิทธิ์จัดงานในภูมิภาคเอเชียเพิ่มเติม

คาดว่าปี 2020 จะพิจารณาพันธมิตรจัดงานในต่างประเทศเพิ่มเติม และอาจอยู่นอกภูมิภาคเอเชีย วางเป้าหมายว่าปี 2022 แบรนด์ S2O จะต้องก้าวสู่การเป็น World Music Festival มีการจัดเทศกาลในทุกทวีปทั่วโลกทั้งออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา หนึ่งในประเทศที่น่าสนใจ คือ บราซิล ซึ่งมีการเทศกาลดนตรีหลากหลายแนวอยู่แล้ว การจัดงานรูปแบบ “สงกรานต์ มิวสิก เฟสติวัล” น่าจะเป็นอีกงานที่ชาวบราซิลและนักท่องเที่ยวชื่นชอบ

“วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชื่นชอบเทศกาลดนตรี บอกว่าหากเป็นยุโรป จะนึกถึง Tomorrow Land แต่หากเป็นเอเชียจะนึกถึง S2O หลังจากนี้เราต้องเดินหน้าต่อ เพื่อสร้างแบรนด์ S2O ให้เป็นเทศกาลดนตรีระดับโลก”

นอกจากนี้ยังมองโอกาสต่อยอดแบรนด์ S2O ที่เป็นคอนเซ็ปต์ S2O Factory เวทีผลิตน้ำ ได้หลากหลายรูปแบบในอนาคต รูปแบบสวนสนุกน้ำ ที่สามารถสนุกกับ S2O ได้ทุกวัน ก็เป็นไปได้

S2O กรุงเทพฯ เป้า 2 แสนคน

สำหรับงาน S2O ที่เรียกว่าเป็นเสาหลัก หรือ แฟลกชิป ในกรุงเทพฯ ถือว่าได้รับผลการตอบรับที่ดีตลอดช่วง 5 ปีนี้ สะท้อนได้จากจำนวนผู้เข้างาน และถูกบรรจุไว้ในปฏิทินว่าเป็นงานที่ “ต้องไป” ทั้งของคนไทย ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในกลุ่มอาเซียน ที่ตั้งใจมาร่วมงานในช่วงสงกรานต์ โดยกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ กับงาน S2O ก่อนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างจังหวัดเมืองเที่ยวของไทยต่อเนื่อง

“จากจุดเริ่มต้น S2O ในปี 2015 ที่มีผู้เข้าร่วมงาน 25,000 คน เรามองโอกาสปี 2022 ที่แบรนด์ S2O จะก้าวสู่ระดับโลก ส่วนงานมิวสิก เฟสติวัลในไทยจะต้องมีคนร่วมงานไม่กว่า 2 แสนคน”

ปุลิน มิลินทจินดา

ปุลิน มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด กล่าวว่า ปี 2018 งาน S2O กรุงเทพฯ มีคนร่วมงาน 54,000 คน สำหรับการจัดงานปีนี้ วันที่ 13-15 เมษายนนี้ ณ Live Park ถนนพระราม 9 คาดการณ์ไว้ที่ 60,000 คน หรืออย่างน้อยวันละ 20,000 คน กลุ่มเป้าหมายคนไทยเป็นหลักสัดส่วน 70% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอเชีย

ไฮไลต์ปีนี้ คือ ดีเจระดับโลก ที่เรียกว่าเป็น rare item ปีนี้ คือ FAT BOY SLIM  รวมทั้งไลน์อัพดีเจดังทั้ง TIESTO, STEVE AOKI, David Gravell, CAT DEALERS, 1788-L พร้อมขยายเวทีขนาดยักษ์ Mega Stage ยาวกว่า 65 เมตร สูงเท่ากับตึก 10 ชั้น เพื่อการมองเห็นทุกมุม รวมทั้งนวัตกรรมเทคนิคสาดน้ำ 360 องศา

สำหรับนวัตกรรมเทคนิคสาดน้ำ ถือเป็นเอกลักษณ์ของ S2O ทุกปีจะมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เชื่อว่าจะสามารถนำไปจดสิทธิบัตรเป็นของบริษัทได้ ปีนี้ได้พัฒนาการทำโปรแกรมระบำน้ำเข้ากับเสียงดนตรี โดยระบบน้ำจะเชื่อมโยงกับดนตรี ที่จะปล่อยน้ำตามจังหวะของดนตรี ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่พันธมินตรจัดงานในญี่ปุ่นและไต้หวันให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นนวัตกรรมที่แปลกใหม่

การจัดงาน S2O กรุงเทพฯ ปีแรก รายได้มาจากสปอนเซอร์ 30% และบัตรเข้าร่วมงาน 70% ปีนี้รายได้จากสปอนเซอร์อยู่ที่ 20% รายได้จากการซื้อบัตร 80% ถือเป็นรายได้ที่จะทำให้เติบโตในระยะยาว เพราะมาจากคนที่ชื่นชอบเทศกาลดนตรี

ปีที่ผ่านมา “วู้ดดี้ เวิลด์” มีแหล่งรายได้จากธุรกิจอีเวนต์ 50% แบ่งเป็น มิวสิก เฟสติวัล 80% และเฮลท์แอนด์ฟิตเนส 20% และรายได้จากธุรกิจคอนเทนต์ 50% ปีนี้โครงสร้างรายได้จะเปลี่ยนไป โดยมาจากธุรกิจอีเวนต์ 40% กลางปีนี้จะเปิดตัวอีเวนต์แนว “ทอล์กโชว์” ที่ทำร่วมกับพันธมิตรอีก 1 อีเวนต์ และรายได้จากคอนเทนต์และมีเดีย 60% โดยจะมีธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มคือ ดิจิทัล เอเยนซี่ และการเปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัล

]]>
1221497
ทีวีว่าไง! ไลน์ จับมือ วู้ดดี้ ส่ง “เทน เทน” ชิงเม็ดเงินโฆษณา https://positioningmag.com/1188402 Tue, 18 Sep 2018 23:00:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1188402 เรื่อง : Thanatkit

เมื่อไลน์ประเมินแล้วว่าเกมโชว์ถือเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมในทุกช่วงอายุ ด้วยความสนุกสนานเข้ากับจริตของคนไทย ทำให้ในช่องทีวีเกมโชว์ครองเรตติ้งอันดับ 2 รองจากละคร โดยมีฐานผู้ชมอยู่ที่ประมาณ 900,000 – 2,400,000 คนต่อตอน (ข้อมูลจาก TV Digital Watch)

เพียงแต่เกมโชว์แบบตั้งเดิมที่คุ้นเคยมักจะเป็นรายการที่เน้นการสื่อสารทางเดียวที่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมได้เพียงการรับชมเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมจากที่บ้านได้ เป็นช่องว่างที่ไลน์และ “WXYZ” เทคสตาร์ทอัพน้องใหม่ที่มีวู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดาเป็น 1 ในผู้ก่อตั้ง (เป็นการลงทุนในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวกับบริษัท Woody World) มองเห็นและตัดสินใจส่งเทน เทนเข้าสู่สนาม

โดยไลน์รับผิดชอบการลงทุนในระบบต่างๆ ซึ่งได้ดึงทีมจากเกาหลีเข้ามาช่วย ส่วน “WXYZ” ลงทุนในด้านโปรดักชั่น รายได้จะแบ่งกันจากค่าโฆษณา

เทน เทน เป็นอินเทอร์แอคทีฟไลฟ์โชว์ อยู่ในรูปแบบ Official Account บน LINE App โดยเป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้คนดูสามารถเล่นไปพร้อนกันได้ทันทีกับรายการ มีวันละ 1 ครั้งเวลา 3 ทุ่มตรง

เนื้อหารายการจะเป็นแนวคำถามมีทั้งหมด 10 ข้อ 3 ตัวเลือก ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน ใช้คาแร็กเตอร์แมวเป็นผู้ดำเนินรายการ ในเบื้องต้นใช้เสียงของวู้ดดี้ก่อน ขณะนี้อยู่ในระหว่างหาผู้ดำเนินรายการหลักเข้ามาเสริม และยังมีแขกรับเชิญอีกทั้ง BNK48, นภ พรชำนิ, โทนี่ผี, เบนซ์ อาปาเช่ เป็นต้น ในอนาคตยังวางแผนปั้นผู้ดำเนินรายการที่เป็น AI

ส่วนคนดูจะเป็นกลุ่มแมสอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี แต่เน้นกลุ่ม 20-35 ปีเป็นพิเศษ เริ่มเปิดให้ใช้งานเวอร์ชั่นทดสอบตั้งแต่ 2 เดือนก่อน มีผู้เล่นเกมต่อครั้งเติบโตถึง 11 เท่า จากผู้เล่นเกมพร้อมกัน 5,000 คน เป็น 58,000 คน ระบบรองรับผู้เล่นพร้อมกัน 1 ล้านคน

อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย บอกว่าเทน เทน เป็นเกมโชว์ที่ปิดจุดอ่อนจากรายการแบบเดิมๆ ซึ่ง HQ Trivia แอปเกมแนวตอบคำถามในรูปแบบเกมโชว์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก ตรงที่เปิดให้เล่นในแอปไลน์โดยที่ไม่ต้องแยกออกมาเป็นแอปใหม่ ไม่อย่างนั้นคนไม่โหลดแน่นอน

อีกทั้งผู้ที่ชมไม่ได้แค่ชมอย่างเดียวแต่ยังเปรียบเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ต้องแข่งกับคนอื่นๆเพื่อชิงเงินรางวัลเป็นของตัวเอง มีการเล่นเฉลี่ย 10 นาทีต่อครั้ง ซึ่งช่วง 10-15 นาที ถือเป็นเวลาที่คนสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ไม่เสียสมาธิไปเสียก่อน พร้อมกับใช้วิธีเฉลยพร้อมกันทีเดียวหลังจบเกม เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ตอบผิด ออกไปก่อนที่เกมจะจบ

ผู้ที่ตอบถูกทุกข้อจะถูกนำมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนเงินรางวัลรวมในครั้งนั้นๆ เมื่อสะสมครบ 1,000 บาท จะสามารถถอนออกได้ผ่านการโอนบัญชีธนาคาร พร้อมหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%

นอกจากฝั่งผู้ใช้งานแล้วเทน เทนในแง่การหารายได้ จะใช้วิธีดึงดูดแบรนด์ให้เข้ามาเอ็นเกจเมนต์กับผู้ใช้ ผ่านการเป็นสปอนเซอร์รายการและการแทรกเนื้อหาโฆษณาในรายการ (Tie-in) หรือแม้แต่พัฒนาต่อยอดเป็นเกมโชว์ประเภทอื่น (Spin-off) ในอนาคต

โดยวางโฆษณาได้ในหลายช่วงเวลาทั้งก่อนระหว่างหรือหลังรายการ ในช่วงทดสอบมีแบรนด์สนใจลงโฆษณาแล้ว 20-30 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กับกลุ่ม FMCG ส่วนกลุ่มใหม่ๆ ก็มีรถยนต์ที่กำลังคุยเข้ามาเพิ่มเติม

โจทย์สำหรับทุกเกม ทำอย่างไรให้คนอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่ง เทน เทน แก้โจทย์ด้วยการเน้นคอนเทนต์ที่สดใหม่ โจทย์ที่ไม่ซ้ำกัน ให้ดูสนุก และแทรกโฆษณาที่จะทำให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อไปก่อน

ภายในปีหน้าเทน เทนตั้งเป้าจะมีจำนวนผู้เล่นเทียบเท่ากับจำนวนผู้ชมในทีวี คือตั้งแต่ 900,000 คนขึ้นไป

นอกจากนี้ไลน์และ “WXYZ” ยังวางแผนให้เทน เทนเป็นใบเบิกทาง เพื่อปูไปสู่การมีช่องทีวีที่รวบรายการเรียลลิตี้และเกมโชว์ประเภทอินเทอร์แอคทีฟเข้ามาอีก ซึ่งอริยะบอกว่า การไม่นำไปรวมกับ LINE TV เพราะ LINE TV ที่เอาไว้ชมอย่างเดียว แต่รายการอินเทอร์แอคทีฟคนดูจะมีส่วนร่วมด้วย.

]]>
1188402
เมื่อ “ทอล์กโชว์” ไม่ใช่สูตรสำเร็จของ “วู้ดดี้” อีกแล้ว https://positioningmag.com/1187587 Thu, 13 Sep 2018 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1187587 บทความโดย : Thanatkit 

ต้องบอกว่า เรื่องที่สร้างเสียงฮืออา และ “Talk of the Town” ที่สุดในวงการโทรทัศน์ปี 2017 คงหนีไม่พ้นกรณีที่ “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” ที่อยู่ในวงการมานานถึง 20 ปี ตัดสินใจปิดตัวรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” รายการกลางคืนที่ทำมายาวนานถึง 9 ปี และ “วูดดี้ ตื่นมาคุย” ท่ามกลางข่าวลือกันว่าปิดเพราะติดหนี้ แต่สุดท้ายวู้ดดี้ออกมาระบุถึงเหตุผลที่ปิด เป็นเพราะต้องเบนเข็มเข้าสู่วงการออนไลน์ 100%

เราค้นพบว่า ถ้าไม่ตัดทีวีออกไป ทีมก็จะไม่สามารถรุกออนไลน์ได้ 100% เนื่องจากสิ่งที่เจอคือรายการทอล์กโชว์ที่ทำ มีจุดขายไม่กี่อย่าง เช่น ขายเรตติ้งไปแลกกับสปอตโฆษณาตัวละเป็นแสนกับ Tie-in แบรนด์ในรายการ หากความเป็นจริงการซื้อขายโฆษณาเปลี่ยนไปทุกไตรมาส ลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น วู้ดดี้จึงต้องปรับ

พอคิดเร็วทำเร็วมากก็จะมีคำตอบทันที สิ่งที่เขาค้นพบในช่วงเวลาที่โลดแล่นอยู่บนออนไลน์ราว 6 เดือน มี 3 เรื่องด้วยกัน

  1. ถึงจะมีรายได้จากไลฟ์ที่เข้ามา แต่จะมีความเจ็บไวตรงที่ไม่มีความแน่นอน
  2. ทีมต้องไว เพราะทีมทีวีจะคิดเป็นวันต่อวัน พอเป็นออนไลน์ต้องคิดพร้อมทำเดี๋ยวนั้นเลย โลกมันรอไม่ได้ จึงต้องเทิร์นโอเวอร์พนักงานบางส่วนที่ยังคิดแบบทีวีเดิมๆ ไม่ชินกับความเร็วออกไป ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก
  3. Media Buyer บางส่วนยังให้ความสำคัญกับช่องทางทีวีอยู่ เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่องทางที่สามารถวัด KPI ได้ชัดเจน

ในที่สุดวู้ดดี้ก็ตัดสินใจหวนคืนสู่หน้าจอทีวีอีกครั้ง ผ่านรายการ “Woody World วู้ดดี้เวิลด์ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 22.15 ทางช่องเวิร์คพอยท์ Workpoint 23 โดยเริ่มตอนแรกในวันที่ 6 มกราคม 2018

วู้ดดี้บอกว่า ไม่ใช่ว่าเจ็บตัวแล้วกลับมา ความจริงก็คือ คุณชลากรณ์ (ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลทีวี) เข้ามานั่งคุยวันเว้นวันถึงความเป็นไปได้ในการทำรายการ สุดท้ายก็ลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร นี่น่าจะเป็น Business Unit เดียวที่ยังไม่เห็นการเติบโต

ถึงอย่างนั้นก็ยังทำต่อ เพราะอยากเห็นผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดภายในสิ้นปีนี้ ตัววู้ดดี้เองก็บอกว่า ฟอร์แมตที่ทำไม่เข้ากับยุคสมัยนี้แล้ว เดิมคิดว่าการทำทอล์กที่เป็นกระแสเข้ามาจะได้รับความสนใจ แต่ตอนนั้นยังไม่มีออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องทุกอย่างเลยรอได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ออนไลน์ทำให้เข้าถึงกันหมด

ทำให้ต้องคิดนอกกรอบ การสัมภาษณ์จึงต้องดูง่ายและสบาย แต่สิ่งที่ว่าก็ไม่พอสำหรับ Workpoint ที่มีคาแร็กเตอร์สนุกสนาน ซึ่ง Workpoint เป็นช่องที่เจ๋งและจับจุดถูกที่เลือกมาสายบันเทิง เราเองต่างหากที่บอกเลยว่าปรับตัวไม่ทัน แต่ตอนนี้ต้องปรับ และภายในสินปีนี้ ถ้าเวิร์ค ไปต่อ ถ้าไม่เวิร์ค ไม่ไปต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจที่วู้ดดี้ทำเท่านั้น แต่อาณาจักร “Woody World” ที่แท้จริงประกอบไปด้วย Business Unit ถึง 4 ขาด้วยกัน ได้แก่ 1.Communication Plan, 2.Content Management 3.Event และ 4.Media

อีเวนต์รวมรายได้กว่า 50%

หลายคนอาจมองว่า รายได้หลักของ “Woody World” มาจากรายการทั้งหลายแหล่ที่ทำ แต่ความเป็นจริงรายได้หลักกว่า 50% มาจากการทำอีเวนต์ที่วันนี้มีอยู่ 3 งานหลักไม่นับงานย่อยๆ อีกปีละมากกว่า 20 ครั้ง ได้แก่ S2O ทำมา 5 ปี, Fit Fest กำลังจะทำปีที่ 2 และ The Bangkok Countdown ทำมา 1 ปีแล้ว

วู้ดดี้ เล่าให้ฟังว่า ทุกโปรเจกต์ของ Woody World ในการทำปีแรกจะติดลบเสมอ อย่าง S2O ปีแรกลงทุน 90 ล้านบาท ขาดทุนไปถึง 40 ล้านบาท เข้าสู่ 3 ปีถึงทำกำไร จากแบรนด์ที่เริ่มติด คนเริ่มมาเยอะ อย่างปีแรกคนมาประมาณ 20,000 คน ส่วนปีนี้ 3 วันมีคนเข้างานทั้งหมด 60,000 คน

รายได้ในปีแรกยอดขายบัตรกับสปอนเซอร์มีสัดส่วน 50:50 ปีที่สอง 30% ปีที่สาม 20% ปีล่าสุด 10% ถ้าจะอยู่ได้ต้องมาจากการขายบัตรถึงจะมีกำลัง ทั้งนี้ก็ยังมีสปอนเซอร์ที่อยู่มาทุกปีอย่าง เป๊ปซี่และไฮเนเก้น

ปีที่ผ่านมาขยายใหญ่ บัตรขายหมดล่วงหน้า 1 เดือน ทำให้มีการนำบัตรไปขายต่อบางคนปั๊มราคาเป็นเท่าตัว สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากกรณีนี้คือ เมื่อราคาบัตรเป็นเท่าตัวในฐานะผู้จัดต้องคิดดีๆ ว่าจะจัดการอย่างไรต่อ เพราะคนที่ซื้อบัตรมูลค่า 5,000 บาท แต่ต้องจ่าย 10,000 บาท เวลาเดินเข้ามาในงานความคาดหวังก็ต้องเป็น 10,000 บาท และเราก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดว่า ก็แล้วแต่เค้าที่ตัดสินใจซื้อบัตรมาต่อเอง

นี่จึงกลายเป็นความท้าท้ายของทีมมิวสิค เฟสติวัล ที่ต้องทำให้คุ้มค่าบัตรที่เข้ามา สมมุติลงทุน 90 ล้านบาท ต้องให้ความรู้สึกเหมือนกับลงทุน 200 ล้านบาท

ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ที่ขยะโดยตำแหน่งของวู้ดดี้ใน S2O คือตำแหน่งกวาดเก็บ ถ้าคนที่เข้ามาในงานก็จะตกใจว่าบนพื้นทำไม่มีขยะ เรามีเจ้าหน้าที่เก็บเรียลไทม์ กระป๋องตกพื้นปุ๊บเก็บทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคุยกับใครมาก่อน โดยก่อนงานเริ่ม ก็จะเข้าไปคุยกับแม่บ้านหรือคนที่เก็บขยะ โน้มน้าวให้ทุกคนทำในสิ่งที่เราอยากได้ ด้วยเวลาไปเทศกาลดนตรีต่างๆ มักจะเหยียบขยะ แล้วรู้สึกไม่สนุกเลย

อีกปัจจัยที่ตามมาอยู่ที่แสง สีแสง ต้องให้ความรู้สึก 100 ล้านบาท และขนาดของเวทีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

S2O เริ่มออกดอกออกผล

S2O

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 S2O เริ่มออกดอกออกผลให้วู้ดดี้เก็บเกี่ยว เพราะได้ขยายไปจัดงานที่ต่างประเทศครั้งแรก

ถึงปีนักท่องเที่ยวชาวจีนจะคิดเป็น 35% ของผู้ที่มาร่วมงาน 10% เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือ 55% เป็นคนไทย แต่ “S2O” กลับไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกที่ถูกขยายไป

จีนเคยเป็นประเทศหนึ่งที่อยากไป แต่สุดท้ายก็หยุดไปเพราะคิดว่าไม่สามารถคอนโทรลได้ ด้วย 1.ไม่มีความชัดเจนของพาร์ตเนอร์ เพราะว่าที่จีนพาร์ตเนอร์ที่คุยส่วนใหญ่จะเน้นขนาดและจำนวน แต่ทีมต้องการพาร์ตเนอร์ที่สนใจเรื่องคุณภาพของคอนเทนต์ซึ่งยังไม่เจอ แต่ที่ญี่ปุ่นเจอ ดังนั้น S2O จะไม่ใช่ขายไปแล้วขยายๆ ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ ด้วยมีน้ำจึงต้องมีความปลอดภัยด้วย

ครั้งแรกของ S2O ในญี่ปุ่นจัดขึ้น 4-5 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ โอไดบะ” (Odaiba) มีคนเข้าประมาณวันละ 10,000 คน รวม 2 วันมีผู้เข้าร่วมงานราว 20,000 คน แผนที่วางไว้ต่อจากนี้จะเปิดปีละเมือง ส่วนปีหน้ากำลังมองหาอยู่ ด้วยทำสัญญา 3 ปีในรูปแบบของแฟรนไชส์

ส่วน S2O ในเมืองไทยปีที่ 5 ก็กำลังจะย้ายสถานที่ เนื่องจากที่เดิมแออัดและรับคนไม่พอแล้ว

Fit Fest ขยายต่อเป็นปีที่ 2

ด้าน Fit Fest งานที่รวบรวมเกี่ยวกับการออกกำลังาย ถึงปีแรกจะเสมอตัว มีคนเข้าร่วมงาน 24,000 คน แต่ในปีที่ 2 นี้เริ่มทำกำไรแล้ว และคาดหวังจะมีคนมางานไม่น้อยกว่า 40,000 คน

สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในปีนี้ คือการเรียกกระแสด้วย “BNK48” และตูน อาทิวราห์รวมไปถึงฟิตเนส คอนเสิร์ต เอาอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นผู้นำการออกกำลังกายแบบแมส เอาคนที่รู้จักมาก คนรู้จักบ้าง หรือคนไม่ค่อยรู้จักเลยขึ้นมาปั้น แล้วจะขยายผลให้เป็นกิจกรรมประจำ โดยทุกปีก็จะมี Fit Fest ส่วนทุกไตรมาสก็จะมีโชว์แบบนี้ ซึ่งตอนนี้กระแสฟิตเนส คอนเสิร์ตในอเมริกาหรือยุโรป เริ่มต้นจาก Boot Camp หรือในฟิตเนส แต่ยังไม่ได้มีการจัดเต็ม แสง สี แสง เหมือนที่จะทำใน Fit Fest เลยหวังว่าจะเป็นผู้นำตลาดในตรงนี้

พร้อมกันนี้ยังวางแผนต่อยอด Fit Fest ไปสู่การมีแพลตฟอร์มสำหรับการออกกำลังกาย ด้วยทุกวันนี้สามารถติดตามได้ทาง Facebook เป็นหลัก อนาคตมองไปถึงคลาสออกกําลังกายที่ไลฟ์ ผ่านการจับมือกับยิมต่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อออกชิ้นงานที่สามารถขายได้ แต่ยังไม่ได้มองว่าจะเป็นในโมเดล Subscription หรืออย่างไร ปัจจุบันให้ดูฟรีไปก่อน เพราะมีการจับมือกับแบรนด์ต่างๆ มาสนับสนุน นอกจากนี้ต่อไปวางแผนที่จะทำ Fit Fest Plus สำหรับผู้ใหญ่ และ Fit Fest Kid สำหรับเด็ก

บอกเลยว่าตลาดเฮลท์แอนด์ฟิตเนส สำหรับวู้ดดี้ก่อนหน้านี้ถือเป็นตลาดที่ไม่ได้มีความชัดเจน เลยมองว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ทำ เหมือนกับตอนที่ทำ S2O เราบ้าอยากทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นก่อน มีอะไรขาดในตลาด สมัยก่อนขาดทอล์กโชว์ที่ถามตรง เลยมีวู้ดดี้เกิดมาคุย รวมถึงเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโคเรียคิง ที่ชูจุดเด่นกระทะไม่ต้องใช้น้ำมัน ซึ่งแต่ละอย่างที่ทำต้องมั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้ว

The Bangkok Countdown จะไปต่อดีไหมนะ ?

ขณะที่ The Bangkok Countdown ยังอยู่ในระหว่างการตั้งคำถามอยู่ว่า จะไปต่อไหม ? เพราะกำลังมีอีกโปรเจกต์เข้ามา เป็น JV (Joint Venture) กับชาวต่างชาติ ทำมิวสิค เฟสติวัล

ด้วยกำลังที่มีอยู่ลังเลอยู่ว่าจะไปในทิศทางไหน ทำ The Bangkok Countdown หรือ อีเวนต์ใหม่แกะกล่องกับชาวต่างชาติที่ทำมิวสิค เฟสติวัล ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังจะมาปีหน้าในเมืองไทย

สิ่งหนึ่งที่ทีมเรียนรู้ คือ นำกรุงเทพฯ และเมืองไทย เป็นพื้นที่สำหรับ R&D แล้วพอสำเร็จค่อยขยายต่อ ถ้ามีชื่อเสียงก็จะมีชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเอง แต่โมเดลธุรกิจต่อไปก็น่ามอง เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ต้องการซื้อฟอร์แมตจากที่อื่นมาทำ แต่ต้องการคิดขึ้นมาเอง

แต่ถึงจะมีโปรเจกต์ใหม่เข้ามาตัววู้ดดี้เองก็อยากให้ทำต่อ แต่ผู้ที่รับผิดชอบโปรเจกต์คือน้องชาย กลับมองว่าถ้าไม่ดีและไม่โอเค ก็ไม่อยากทำต่อ เพราะปีที่แล้วผลของการจัดงานคือเสมอตัว

ยกเครื่องรายการครั้งใหญ่

ในขณะที่ฝั่งอีเวนต์ยังไปอย่างสวยหรู เมื่อหันกลับมามองฝั่งคอนเทนต์หรือรายการต่างๆ วู้ดดี้บอกว่า ต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ

อีเวนต์โตขึ้นเห็นได้ชัด 20% ในแต่ละปี แต่ในขาของคอนเทนต์กลับกลายพันธ์ุ เพราะมีรายการทีวีรายการเดียว แต่ที่เหลือกระจายเข้าไปสู่ในออนไลน์หมด ผมพูดตามตรงคอนเทนต์ในรอบปีที่ผ่านมาถือได้ว่ามึนที่สุดในการทำ เพราะว่าเราไม่ใช่เจ้าของช่อง เมื่อไม่ใช่การวางผังก็จะไม่ใช่ 24 ชั่วโมง การซื้อขายจะไม่ใช่ตลาดที่มี สิ่งที่พบคือเหนื่อย ปีหน้าต้องทำผังกลับไปเหมือนช่องทีวีเลย พร้อมกับปรับรูปแบบรายการใหม่

โดยรายการ Woody Live จะเป็นเปลี่ยนใหม่มาเดือนละครั้ง ทำใหญ่ไปเลยกับแขกรับเชิญที่ปังที่สุด ทั้งไทยและโลก เนื่องจากเดิม Live บ่อยละคนไม่ดู จากที่คนดูมากสุด 200,000 – 300,000 คน ตอนนี้ต่ำสุดประมาณ 800 คน

เราไม่ได้โทษว่าอัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ใครๆ ก็ Live ได้แล้ว คนดูก็ต้องเลือกระหว่างมาดูคน 2 คนที่คุยกับเรื่องชีวิตดีๆ กับอีกคนที่โชว์นมอยู่

รายการทำทันที พูดคุยเกี่ยวกันธุรกิจ ซีชั่น 13 ตอน กำลังจะกลับมา คนแปลงร่าง 40 ตอน ก็จะกลับมาใหม่ ไม่ใช่แค่นั้นในเดือนตุลาคมจะมีรายการ Podcast ชื่อวู้ดดี้เอฟเอ็มที่จะผันตัวเองไปใส่หูฟัง นั่งสัมภาษณ์กับบุคคลระดับประเทศที่ตกผลึกแล้วกับชีวิต ตั้งกล้องรอบตัวแต่ไม่มีทีมงาน จึงคุยกันเรื่องเปิดเผยและลึกซึ่้งเกี่ยวกับชีวิต มีเดือนละ 2 ตอน

วู้ดดี้ บอกว่า ทีมงานก็ถาม ทำไปทำไม ใครจะดู ? แต่ที่ทำเพราะรู้สึกการทำธุรกิจต้องเติมเต็มด้วยไฟและไม่ได้อินกับการสัมภาษณ์ดาราแล้ว ชอบคุยกับนักธุรกิจมากกว่า โปรเจกต์นี้จึงมาจาก Passion จริงๆ และจะไม่เอาลูกค้าด้วย

ส่วนการที่เป็นครีเอเตอร์รายแรกของไทยใน Facebook Watch ตอนนี้ยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรมาก แต่คาดว่าจะมีรายการ 2-3 ตัวที่จะทำในนี้

เอเจนซี่เว็บไซต์แผนการของวู้ดดี้ในปี 2019

ทั้งหมดคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2018 แต่สำหรับปี 2019 วู้ดดี้ได้เผยถึงแผนที่จะทำถึง 2 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกจะมีการเพิ่มดิจิทัล เอเจนซี่เข้ามาเป็น Business Unit ใหม่ หลังจากพบว่า 2 ปีที่ผ่านมาทีมได้ทำงานให้กับคอนเทนต์ที่ไม่ใช่ของวู้ดดี้เองเยอะมาก แต่อยู่ในรูปแบบของการร่วมมือกับแบรนด์และเอเจนซี่ในการทำขึ้นมา มีสัญญาระยะยาว 1 ปี พร้อมกับใช้สื่อที่วู้ดดี้มีในการกระจายและยังต้องไปซื้อสื่ออื่นๆ ด้วย

ชื่อคร่าวๆ ตอนนี้คือวู้ดดี้ ดิจิทัล เอเจนซี่ แต่ยังไม่ได้เคาะชื่อและจะไม่ใส่คำว่า ดิจิทัล เอเจนซี่ ตอนนี้มีพนักงานแล้ว 6 คน ส่วนลูกค้าหลักๆ ที่อยู่ในมือมี 4 กลุ่มหลัก ไฟแนนซ์ธนาคารอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้า FMCG

เรื่องที่ 2 วางแผนที่จะทำแพลตฟอร์มเป็นเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาด้วย ให้เหมือนกับ ellentube.com ที่อเมริกา

ทุกวันนี้วู้ดดี้มีทั้ง Facebook และ  Youtube แต่คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าระบบนิเวศเหล่านี้จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ วู้ดดี้รักทุกแพลตฟอร์ม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคต

เว็บไซต์นี้ลงทุนไปกว่า 30 ล้านบาท ภายในจะมีทั้งการจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในการทำรายการใหม่ คร่าวๆ ตอนนี้มีทั้งหมด 12 รายการ จะถ่ายทำในต้นปีหน้า ออกอากาศในช่วงไตรมาส 2 และในนี้ยังจะเป็น E-Marketplace สำหรับขายสินค้าอีกด้วย

นอกจากนี้วู้ดดี้ยังบอกอีกกว่า กำลังอยู่ในระหว่างการหา CEO เพื่อขึ้นมาบริหารแทนตัวเขาเอง

วู้ดดี้ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้บริหาร แต่เกิดมาเป็น Talent ดังนั้นผู้บริหารที่จะมาต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดเร็ว ทำเร็ว แต่ไม่ได้คิดเหมือนกับวู้ดดี้ไปซะทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเลยวู้ดดี้ว่าอย่างนั้น.

]]>
1187587
ศึกวิดีโอเดือดแน่! เฟซบุ๊ก ท้ารบ YouTube ส่ง Facebook Watch ลุยให้บริการทั่วโลก ดึง “วู้ดดี้” ครีเอเตอร์รายแรกของไทย https://positioningmag.com/1185811 Fri, 31 Aug 2018 12:08:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1185811 เมื่อวิดีโอได้กลายเป็นคอนเทนต์ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมของคนดูรายการ ทำให้สงครามวิดีโอของแพลตฟอร์มออนไลน์ระอุขึ้นทันที เมื่อ Facebook ได้ส่ง Facebook Watch ลงสนาม

หลังจากเปิดให้บริการ Facebook Watch นสหรัฐอเมริกาได้ 1 ปีเต็ม Facebook ก็พร้อมเปิดให้บริการไปทั่วโลกแล้ว

Facebook Watch เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอ รวบรวมรายการวาไรตี้ เช่น Red Table Talk with Jada Pinkett Smith รายการ Huda Boss ที่พาไปชมภาพเบื้องหลังของ Huda Kattan เจ้าแม่แห่งวงการบิวตี้ รวมถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขัน Major League Baseball

เฟซบุ๊ก ระบุว่า ทุกๆ เดือนที่ผ่านมา มีผู้ใช้ในอเมริกากว่า 50 ล้านคนเข้ามาดูวิดีโอใน Facebook Watch อย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งนาที เวลาชมวิดีโอโดยรวมทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้นถึง 14 เท่า นับตั้งแต่ต้นปี 2561

ฟีเจอร์หลักๆ ของเฟซบุ๊กวอช

  • วิดีโอจากทุกวงการทั้งบันเทิง กีฬา ข่าวสาร จะปรากฏในหน้าฟีด Watch
  • วิดีโอครีเอเตอร์และผู้ผลิตคอนเทนต์ โดย Watchlist ด้านบนสุดของหน้าฟีด จะเป็นที่รวบรวมวิดีโอใหม่ๆ จากเพจที่กำลังติดตาม สามารถเลือกติดตามเพจเพิ่มเติม หรือลบเพจออกจากรายชื่อที่ติดตามอยู่ได้
  • บันทึกวิดีโอที่น่าสนใจ และกบับมาดูในภายหลัง
  • Watch Party ชมวิดีโอได้พร้อมๆ กัน เช่น ชมรายการใหม่ๆ

และวิดีโอที่เน้นการมีส่วนร่วมของคนดู เช่น เกมโชว์ที่ให้ตอบคำถาม

เปิดตัวครีเอเตอร์ไทย

เฟซบุ๊ก ยังได้เปิดตัว ครีเอเตอร์รายแรก บนแพลตฟอร์ม Watch ในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก

วู้ดดี้ ทอล์ก ของพิธีกรคนดัง เจ้าของรายการทอล์กโชว์สัมภาษณ์คนดัง และถกประเด็นสังคมมาออกใน Facebook Watch

• Woody the Marathon

Yang Soobin (Korean: 양수빈) ครีเอเตอร์ชาวเกาหลี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากรายการสดของเธอ Mukbang รายการทางอินเทอร์เน็ตที่พิธีกรมารับประทานอาหารในปริมาณมาก ให้ได้ชมกันสดๆ ผ่านจอโดยแชตกับผู้ชมไปด้วยพร้อมๆ กัน

นอกจากนั้น เธอยังเป็นที่รู้จักดีจากคำแนะนำในด้านความงามและแฟชั่น และเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆ ที่รูปร่างใกล้เคียงกับเธอ รายการของเธอกำลังเป็นที่โด่งดังในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแฟนๆ รายการถึง 78% ที่อยู่นอกประเทศเกาหลี Facebook Live ของเธอกับ KFC Thailand มียอดผู้เข้าชมสูงสุดระหว่างไลฟ์ถึง 67,000 คน ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วิดีโอที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของเธอ มียอดผู้เข้าชมแบบออร์แกนิก 18 ล้านคน

• Soobin Woody on Woody Talk Show visit to Korea

• Soobin eating Chicken rice cake soup with cheese

เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับครีเอเตอร์ เฟซบุ๊ก ผลิตคอนเทนต์วิดีโอลงบนแพลตฟอร์มวอช เฟซบุ๊ก ได้ขยาย Ad Breaks ให้พาร์ตเนอร์มีโอกาสสร้างรายได้จากวิดีโอมากขึ้น และจะเพิ่มสถิติ เครื่องมือ และคำแนะนำสำหรับเพจต่างๆ ใน Creator Studio

โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Watch จากระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ ไปที่ไอคอน Watch ในเมนูชอร์ตคัท หรือเพิ่มเติม ในบุ๊คมาร์ก รวมถึงสามารถเข้าผ่าน Apple TV, Samsung Smart TV, Amazon Fire TV, Android TV, Xbox One, และ Oculus TV

งานนี้ ไม่ใช่แค่ยูทูปเท่านั้นที่ต้องเจอคู่แข่งสำคัญ แม้แต่ทีวี” บ้านเรา คงต้องรับมือด้วยเช่นกัน เมื่อพฤติกรรมคนดูบนออนไลน์เพิ่มขึ้นทุกวัน แถมเฟซบุ๊กยังมีคอนเทนต์สำคัญ อย่าง ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว ฤดูกาล 2019-2020 หน้ามาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว.

]]>
1185811
ของมันต้องมี 4 คนดัง วู้ดดี้-ชูวิทย์-ตือสนิท-สู่ขวัญ พีเพิ่ลแบรนด์เรียกแขก https://positioningmag.com/1157305 Sat, 17 Feb 2018 01:00:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157305 สู่ขวัญ บุลกุล เจ้าของวลีฮิต #ของมันต้องมี – วู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดา แห่งวู้ดดี้เวิลด์ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของคลิป ตือสนิท 4 คนดัง ต่างวิถี ต่างเส้นทาง แต่ทั้งหมดนี้คือนักสร้างคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยามตามบทบาที่เลือกเดิน

วู้ดดี้กับจุดยืนของการกลับคืนจอทีวี

วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา เป็นข่าวใหญ่ต้นปี 2560 เมื่อประกาศเลิกทำรายการทีวีทั้งหมด ทั้งวู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เรียกกระแสทำรายการให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อยู่บ่อยๆ กับรายการตื่นมาคุยซึ่งจัดชนกับรายข่าวเช้าของช่องต่างๆ โดยเป็นรายการที่เสนอประเด็นต่างๆ ในสังคม ไม่ใช่รายการข่าวแต่คุยกันสารพัดเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสในสังคม ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากดูสารพัดข่าวลบในสังคมตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า

เหตุผลง่ายๆ ที่ออกมาบอกเลิกเพราะ หนึ่งคนสมัยนี้ไม่ดูทีวี สองช่วงที่ผ่านมาแม้รายการเป็นที่รู้จัก ผู้คนพูดถึงแต่บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด บริษัทผู้ผลิตจากที่เคยมีกำไรนับ 10 ล้าน ก็เริ่มกลายเป็นตัวเลขขาดทุนเกือบ 30 ล้านบาท สามไม่เลิกตอนนั้นวันหนึ่งก็ต้องเลิก และบริษัทเองก็จัดรายการมานานแล้วถึง 9 ปี วู้ดดี้จึงตัดสินใจเลิกทำตอนที่ยังมีความสุขดีกว่า รวมทั้งเชื่อว่าการจบลงของสิ่งหนึ่งก็มักจะเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อไป

บทบาทของวู้ดดี้ในจอทีวีก็เริ่มผันตัวเองไปตามยุคสมัย คอนเทนต์ของวู้ดดี้ทั้งหมดยังคงสร้างสรรค์โดยวู้ดดี้และทีมงาน แต่เปลี่ยนช่องทางในการสื่อสารใหม่มาอยู่บน Facebook Live ภายใต้เพจ Woody @ Woodytalkshow ที่เปลี่ยนมาเน้นการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้แบรนด์วู้ดดี้ไม่เคยหายไปจากกระแส แม้จะยุติบทบาทหน้าจอและหยุดการผลิตคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์แล้วโดยสิ้นเชิง

ผ่านไปไม่ถึง 1 ปีเต็ม ต้นปีนี้มีรายการวู้ดดี้ในทีวีให้ดูถึง 2 รายการ ได้แก่ วู้ดดี้เวิลด์ (Woody World) ในช่อง 23 ของเวิร์คพอยท์ และการเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ (The Wall) ทางช่องวัน 25 สองรายการนี้มาพร้อมกับคำถามซ้ำๆ ที่วู้ดดี้ต้องตอบให้เข้าใจว่าการหวนคืนจอทีวีครั้งนี้ไม่ใช่การกลืนน้ำลายตัวเองทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี จากที่ประกาศว่าจะไม่ทำรายการทีวี

วู้ดดี้กลับจอทีวีไม่ได้หวังเงิน แต่ทีวีวันนี้คือซับเซตของดิจิทัลคอนเทนต์

ทำทีวีอย่างเดียวผมก็ไม่ทำ แต่เพราะรายการออนโซเชียลมีเดียด้วย ไลฟ์ด้วยวู้ดดี้พูดถึงส่วนหนึ่งของเหตุผลสำคัญที่ทำไมวู้ดดี้ถึงคืนจอทีวีและย้ำด้วยว่าการกลับสู่จอทีวีไม่ได้มุ่งหวังรายได้เป็นตัวตั้งเพราะ

ทีวีวันนี้ได้ผู้ชม แต่ไม่ได้เงินโดยย้ำด้วยว่า

เอาจริง ๆ นะครับที่ผ่านมาทั้งปี เม็ดเงินของผมในโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ และจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่า ทีวีก็เป็นแพลตฟอร์มที่กระจายคนดูได้ แต่ว่าเม็ดเงินสู้โซเชียลไม่ได้แล้วตอนนี้

ที่สำคัญได้ชื่อว่าทำรายการทีวีก็จริง แต่ทีวีก็เป็นแค่แพลตฟอร์มเดียวของการกระจายคอนเทนต์ที่สามารถนำไปเผยแพร่ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มอื่นๆ อีก ทั้งเฟซบุ๊กไลฟ์ที่ออกอากาศไปพร้อมกัน ไลน์ ทีวี ยูทูป ไลฟ์ รวมแล้วอย่างน้อย 4 แพลตฟอร์มหลักรวมถึงโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่คอนเทนต์ในปัจจุบัน ดังนั้นยิ่งย้ำให้เห็นว่าบทบาทของคำว่าทีวีที่เป็นแค่เพียงช่องทางหนึ่งของการเสพคอนเทนต์ และไม่ใช่สื่อหลักเหมือนในอดีตอีกแล้ว

เหตุผลแรกนี้ค่อนข้างหนักไปทางรายการวู้ดดี้เวิลด์ ซึ่งวู้ดดี้ร่วมกับเวิร์คพอยท์จัดทำรายการขึ้น และมีรายได้ในลักษณะของไทม์แชร์ริ่งซึ่งวู้ดดี้บอกว่า เป็นรายการที่รอและตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำหรือไม่ทำดี

ความลงตัวระหว่าง วู้ดดี้ และเวิร์คพอยท์ สำหรับรายการนี้ เกิดจากทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากให้มีรายการทอล์กโชว์ดี ๆ สักรายการ แบบไม่โหนกระแส ไม่เอาเร็วแบบข่าวรายวัน ไม่เน้นข่าวซุบซิบ ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะของรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ของเพจวู้ดดี้เองด้วย

มันหมดเวลาที่จะมาไล่ตามกระแสแล้ว ไม่อย่างนั้นผมก็ต้องไปตามไลฟ์ใครต่อใครเหมือนเดิม แต่รายการนี้ที่ใช้ชื่อว่า วู้ดดี้ เวิลด์ เพราะเราอยู่ในวันที่รู้สึกว่า ทุกอย่างมันน่าสนใจไปหมด อยากแชร์ ให้คนเห็นเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้นรายการจริง ๆ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ แต่จะเป็นแชร์ริ่งโชว์มากกว่า แชร์เรื่องราวรอบข้างที่คนสนใจ สงสัย อยากรู้ โดยนำเสนอแบบเจาะลึก

รายการนี้จะออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 4 ทุ่ม 15 ทางช่องเวิร์คพอยท์ โดยวู้ดดี้เป็นเจ้าของและผู้ผลิต

บอกเลยว่า รายการนี้ไม่แซ่บ ไม่แรง แต่ละมุน อยากให้คนดูดูแล้วมีความสุข ดูเสร็จแล้วนอน ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตอยากทำอะไรมากกว่านี้ ไม่แซ่บไม่แรงก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่แซ่บกับแรงอยู่ได้ชั่วคราว แต่เราอยากได้อินไซด์ที่ดูแล้วคนดูได้อะไรที่อยากทำให้ชีวิตดีขึ้น รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง

จะสังเกตได้ว่าสเต็ปการเติบโตของวู้ดดี้ในฐานะผู้สร้างคอนเทนต์ที่เลือกทำรายการจากความต้องการภายในตัวเอง ก็ไม่ต่างจากแบรนด์คนดังทั่วโลกโดยเฉพาะในวงการสื่อ เมื่อเติบโตเป็นที่รู้จักถึงจุดหนึ่งก็เลือกที่จะทำรายการแบบที่ตัวเองต้องการหรือชอบ ไม่ว่าจะเป็น โอปราห์ วินฟรีย์หรือ มาร์ธา สจ๊วต และทำให้คนติดตามดูรายการเพราะเชื่อในบุคคลหรือแบรนด์ของคนๆ นั้น

แต่โดยมากคนเหล่านี้เริ่มจากเป็นลูกจ้าง พิธีกร นักจัดรายการ ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของกิจการและเป็นนายของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่รูปแบบตายตัวสำหรับวู้ดดี้ที่เลือกที่จะย้อนศรกลับไปสู่บทบาทของการเป็นลูกจ้างอีกครั้ง พร้อมๆ กับการทำรายการของตัวเอง

อยากเป็นนักสร้างคอนเทนต์ที่ดี ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น เหตุผลที่ย้ำถึงบทบาททีวี ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่คนใช้เสพคอนเทนต์ เพียงเท่านั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับโปรดักต์แบรนด์อย่างวู้ดดี้ เพราะในอีกมุมหนึ่ง สำหรับการรับเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ ให้กับ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ของช่องวัน ก็เป็นอีกบทบาทที่แตกต่างจากวู้ดดี้เวิลด์ และวู้ดดี้ก็มีเหตุผลที่ต่างออกไป

บทบาทนี้คนเป็นลูกจ้างต้องฟังให้ดี เพราะนี่คือประโยชน์ที่จะได้จากประสบการณ์ของการเป็นลูกจ้างโดยตรง

รายการเดอะวอลล์ ผมรับค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน

ส่วนเหตุผลที่รับทำ ตอบในสไตล์วู้ดดี้แบบตรงไปตรงมาว่า

มันเป็นความคัน อยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะเราสั่งมาตลอดชีวิต อยากเป็นคนที่ถูกสั่งดูบ้าง เวลาเป็นนายไม่ได้ฟีดแบ็ก เพราะลูกน้องไม่บอก

แม้วู้ดดี้จะออกปากว่าเขาให้เกียรติเรามากแต่ก็เริ่มได้ฟีดแบ็กที่นำมาพัฒนาตัวเองได้บ้างแล้ว ถึงขั้นบอกพฤติกรรมของตนเองที่เป็นมานานแต่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ว่าเป็นคนพูดเร็วมาก พูดเร็วจนเสียงแหบ ตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็เพิ่งค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอลล์

รวมถึงว่าถ้าการดำเนินรายการของเขาไม่โอเคก็มีการฟีดแบ็กตรงๆ ซึ่งวู้ดดี้บอกว่ารู้สึกดีขึ้นและได้พัฒนาตัวเอง และดีกว่าทำรายการแบบเป็นนายตัวเองที่ลูกน้องจะไม่บอกข้อเสียอะไรเลยโดยเฉพาะบุคลิกภาพที่ชอบกะพริบตาถี่ เกาจมูก ฯลฯ

การกลับคืนจอในฐานะลูกจ้างจึงเหมือนมีกระจกพูดได้ที่คอยสะท้อนสิ่งที่เห็นจริงให้ฟังตรงๆ

อีกทั้งการกลับคืนจอครั้งนี้ยังกลายเป็นกระแสที่ทำให้เห็นว่าวู้ดดี้แบรนด์ยังเป็นที่จับตาของผู้ชมรายการไทยอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเขาจะปรากฏให้เห็นในแพลตฟอร์มไหน


ชูวิทย์ สร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์จากประสบการณ์ตรง

ฟาก ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถาน ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 จากการเป็นผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ ก็ได้รับการทาบทามให้มาเป็นพิธีกร จัดรายการ ชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่ช่อง 32 ไทยรัฐทีวี ทันที โดยเริ่มออกอากาศ 30 มกราคม 2560 เป็นวันแรก 

แม้ชูวิทย์จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการเล่าข่าว แต่ประสบการณ์จากเรือนจำ เคยเป็นนักการเมือง ประวัติการศึกษาด้านนิติศาสตร์ และรวมถึงบทบาทนักธุรกิจที่มีประสบการณ์หลากหลาย รวมถึงธุรกิจต่างๆ อาบอบนวด รวม ๆ กันแล้ว ชูวิทย์ จึงกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง ท่าช่องทีวีคาดหวังว่าจะมาถ่ายทอดเรื่องราวและให้แง่มุมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะข่าวหน้าหนึ่งที่กลายเป็นกระแสที่คนในสังคมกำลังสนใจ

รายการชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่จัดมาได้รับการตอบรับจากผู้ชมด้วยการเสนอมุมมองพร้อมให้ข้อมูลความรู้ที่แตกต่างไปจากการรายงานข่าวหรือเล่าข่าวทั่วไป ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่ารู้ลึกไปถึงเบื้องหลังของข่าวและคดีความต่างๆ

ชูวิทย์เป็นโปรดักต์แบรนด์เรียกแขกอีกรายซึ่งเป็นรูปแบบรายการที่ส่งให้ชูวิทย์เป็นแบรนด์ที่ต้องการมากขึ้นของทีวีดิจิทัล

เมื่อช่อง 3 ปรับต้องปรับผังรายการข่าวเช้า ชื่อของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เด่นขึ้นมาเป็นแบรนด์หลักและถูกเลือก ด้วยสไตล์กล้าพูดกล้าลุย มีประสบการณ์โชกโชนหลายวงการ บวกพื้นฐานด้านฐานะและการเป็นที่รู้จักในวงการว่ามีความรู้ด้านกฎหมาย อีกทั้งมักจะมีข้อมูลอินไซด์ในวงการต่างๆ อยู่เสมอ จากเครือข่ายคนรู้จักและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาหลายรูปแบบ

แบรนด์ชูวิทย์มีจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปหรือผู้ชมทีวี จากการถูกจับเป็นตัวประกันแล้วมาให้สัมภาษณ์เล่าเหตุการณ์กับสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวคนดัง จนทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ชูวิทย์ว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร ก่อนจะต่อยอดไปเล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองต้องโทษเข้าเรือนจำแล้วก็ออกมาจัดรายการทีวี รวมทั้งการประกาศเลิกเล่นการเมือง

ชูวิทย์ ถูกดึงไปเสริมทีมเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งเป็นรายการที่ทำรายได้หลักให้กับช่อง 3 แต่เรตติ้งและรายได้จากโฆษณาก็ลดลงทั้งเหตุเพราะขาดแม่เหล็กสำคัญของรายการอย่างสรยุทธที่ต้องยุติบทบาทไป และจากการแข่งขันของรายการข่าวที่มีตัวเลือกให้ผู้บริโภคเลือกดูมากมายจากทีวีดิจิทัลนับสิบช่อง

รายการที่ชูวิทย์รับผิดชอบคือ ชูวิทย์มีเรื่องเล่า ทำหน้าที่สร้างสีสันในเบรกที่ 4 ของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ รูปแบบรายการเป็นการส่งชูวิทย์ ไปลุยหาข่าวถึงแหล่งจากเรื่องเล่าในที่ต่าง ๆ ที่เป็นข่าว หรือมีประเด็นที่ต้องหาคำตอบ

ด้วยบารมีและความเป็นชูวิทย์ที่รู้ลึก รู้หลักการ รู้ช่องทาง ทำให้เขากลายเป็นสื่อที่มีชื่อเสียงเข้าถึงจุดเกิดเหตุ เข้าถึงต้นตอ และหาแหล่งข่าวได้ตรงตัว บวกกับความกล้าที่ยิงคำถามตรงๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปในสังคมอยากรู้อยากถาม ด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคนไม่กลัวใคร ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้ที่มีอยู่ภายในแบรนด์ชูวิทย์ ล้วนถูกนำเสนอไว้ในการปรับโฉมรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่ปรับใหม่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา

แม้กระทั่งในโปสเตอร์รายการที่เผยแพร่ออกไป ยังมีรูปชูวิทย์ถือโทรโข่งด้วยท่าทางขึงขัง โดยเป็นพิธีกรคนเดียวในบรรดาพิธีกรทั้ง 6 ของรายการที่มีพร็อพอยู่ในมือและแอคชั่นที่แตกต่างจากคนอื่น

ความขึงขังช่างลุยและประสบการณ์ตรงรวมถึงความรู้เรื่องต่างๆ ที่มี คือข้อได้เปรียบของชูวิทย์ที่สร้างความแตกต่างให้กับคอนเทนต์ที่เขาเป็นพิธีกร และเป็นจังหวะที่ในเมืองไทยยังหานักเล่าข่าวที่มาแทนนักเล่าข่าวคนดังไม่ได้ แม้ทักษะด้านการเล่าข่าวและการตั้งคำถามอาจจะด้อยกว่ากรรมกรข่าวมืออาชีพอยู่บ้าง แต่องค์ประกอบต่างๆ ที่ชูวิทย์มีก็สามารถทดแทนข้อด้อยที่มี และเป็นจุดขายที่ดีให้กับทั้งตัวเขาเองและเจ้าของช่องผู้ผลิตรายการ

ที่สำคัญ คือแบรนด์ชูวิทย์เป็นตัวสร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์เฉพาะตัวที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากรายการของช่องอื่น ๆ ซึ่งการแข่งขันด้วยความแตกต่างที่โดดเด่นได้เปรียบเสมอ


ตือสนิท รายการขายของโต้ง เดินเรื่องด้วยคอนเทนต์โฆษณาสุดโต่ง

สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของบริษัท ตือ จำกัด ออกาไนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทย เมื่อหันมาทำรายการบนโซเชียลมีเดียตือสนิท ในช่อง Spokedark.tv ก็เป็นอีกคนที่กลายเป็นแบรนด์เด่นของผู้สร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วอีกราย

ตือสนิท เปิดตัวด้วยรูปแบบรายการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าเป็นการทำคอนเทนต์แบบเงินมาผ้าหลุดหรือเข้าใจตรงได้เลยว่า ถ้าจ้างจะให้ทำอะไรก็ได้ และมีจุดขายที่ตัวผู้ดำเนินรายการอย่างตือที่ออกมาขายโฆษณาด้วยตัวเองทุกตอนยิ่งกว่าทีวีไดเร็ค

ดังนั้น ไม่ว่าคนจะดู ตือสนิท ด้วยเหตุผลอะไร แต่ทุกตอนคือโฆษณาขายของแบบโต้ง ๆ ในสไตล์ของรายการที่ผ่านการครีเอตมาแล้วให้มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน ซึ่งถ้าจะว่าไป นี่คือคอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นว่า ต่อให้เป็นการขายของหรือโฆษณา ถ้าทำให้คนสนใจ หรือรู้อินไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย ก็มีคนคลิกเข้ามาดูเองมากมาย

คำจำกัดความรายการ ตือสนิทเป็นรายการเมาส์มอยขำขำเกี่ยวกับแฟชั่น+บิวตี้+ไลฟ์สไตล์ พร้อมขายของตั้งแต่น้อยไปจนมหาศาล

“เงินมาผ้าหลุด นิยามรายการตั้งแต่เปิดตัวเพจ ตือสนิท ที่ ตือ เขียนชี้แจ้งไว้ชัดเจนพร้อมโพสต์ภาพที่เขียนข้อความนี้ด้วยมือไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งหลังจากนั้นทุกตอน ตือ ก็ดำเนินรายการตามที่ชี้แจ้งไว้นี้

คอนเทนต์ในรายการคือการโฆษณาขายของโต้ง ๆ ที่ไม่กระมิดกระเมี้ยนแต่ฮาไปขายไปด้วยประโยคขายของโจ่งแจ้งและครบทุกแมสเสจของแต่ละแบรนด์

แถมยังได้แขกรับเชิญระดับท็อป ดารา เซเลบ มาร่วมรายการ เพราะด้วยการเป็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งในวงการแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ อีกทั้งมีแบล็กกราวน์จากครีเอทีฟเอเยนซี่มาก่อนหน้าที่จะมีบริษัทออกาไนซ์ ที่รับทำงานไม่จำกัดเล็กใหญ่ ไม่จำกัดประเภท ทำให้ตือสามารถทำให้แขกรับเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขายคู่ไปกับตัวเองได้ตลอดรายการ

ตือสนิท อาจจะเป็นรายการเดียวที่ผู้ดำเนินรายการอย่างตือ ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อแขกรับเชิญ แต่แขกรับเชิญกลับต้องเป็นฝ่ายปรับคาแร็กเตอร์ให้เข้ากับรายการของเขา ด้วยรูปแบบการดำเนินรายการ และกลายเป็นอีกแรงดึงดูดให้กับคนตามชมว่า แขกรับเชิญ คนดังแต่ละคน จะปรับตัวและทำตัวให้กลมกลืนและฮาไปกับตืออย่างไร

แม้จะเป็นรายการขายของ แต่ตือสนิทในแต่ละตอนก็ได้รับควานนิยมกระทั่งมีแบรนด์สินค้า หรือแม้กระทั่งรายการทีวีอย่างเดอะวอยซ์ก็ยังต้องหันมาจอยคอนเทนต์กับตือสนิทเพื่อขายบีไฮด์เดอะซีนกระตุ้นรายการอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของแบรนด์ตือ แม้จะขายของก็ยังมีความแตกต่างจนเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจติดตามได้เหมือนกัน

ความสำเร็จของตือสนิทจึงมีส่วนประกอบมากมายที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างความชัดเจนให้กับรายการได้ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวเจ้าของรายการที่มีความชัดเจนในตัวเอง ใช้ความเป็นตัวเองในการดำเนินรายการ

ขณะเดียวกันก็ได้บารมีของแขกรับเชิญตัวท็อป เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการเซเลบ ดารา นักร้อง ได้มาเพิ่มแรงดึงดูดให้กับรายการแต่ละตอน ซึ่งจะไม่อยู่ในลุค” ที่เป็นตัวเอง แต่ต้องทำตัวกลมกลืนไปกับรายการ ถึงเวลากรี๊ดต้องกรี๊ด และพูดตามประโยคที่ตือกำหนด ตามการเดินเรื่องของตือ ที่ต้องยอมรับว่าเป็นธรรมชาติของตือมาก ๆ

โดยบุคลิกของตัวรายการนั้น ยังถูกกำหนดให้เข้ากับคนเสพคอนเทนต์ในโซเชียลไว้ตั้งแต่ต้น ว่าต้องเดินเรื่องเร็ว ไม่ใช้เวลานานเกินไป จากปกติคลิปที่ลงในโซเชียลมีเดียที่คนจะคลิกดูส่วนมากจะอยู่ที่ 1-3 นาที ถ้าไม่สนุกถูกใจจริง คนก็ยังดูไม่จบ แต่ตือสนิทแต่ละตอนก็ยังทำได้นานกว่านั้นเกือบเท่าตัว ก็ยังได้รับความสนใจ รายการไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเที่ยว ช้อปปิ้ง เยี่ยมรายการ ก็ต้องเน้นขำนำเพื่อให้คนดูหัวเราะคลายเครียด แต่ก็เอาใจคนเสพคอนเทนต์ด้วยเทคนิคการตัดต่อเร็ว เดินเรื่องฉับไว ใส่กราฟิกเร้าใจตลอดรายการ

คาแร็กเตอร์ชัดเจน ขายของไม่กระมิดกระเมี้ยน เปิดเผยจริงใจต่อผู้ชม ใช้ความฮาเป็นตัวนำ ทำให้คนดูรับความเป็นตือสนิทและรู้จักได้เร็ว แต่ในแง่ของการทำตลาดคอนเทนต์ก็ต้องทำไปควบคู่กัน เพราะเนื้อหาดี แต่วางคอนเทนต์ผิดที่ ไม่บริหารการกระจายคอนเทนต์ให้ดี ก็อาจจะไปไม่ถึงกลุ่มผู้ชมในปริมาณมากเท่าที่ต้องการ

ตือสนิท นอกจากใช้ช่องทางเฟซบุ๊กเพจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีผู้ชื่นชอบอยู่ 446,054 ก็ยังแชร์ผ่านแฟนเพจของ SpokedarkTV ที่มีแฟนเพจอยู่ประมาณ 3.1 ล้านราย และยูทูบของทั้งสองแอคเคาต์ที่มีคนติดตามอยู่ 83,208 และ 860,176 ตามลำดับ

คอนเทนต์ แต่ละตอน นอกจากปล่อยแบบเต็ม ๆ ก็ยังมีการตัดทำ ทีเซอร์เรียกน้ำย่อย ตัดท่อนฮา ตัดขายเป็นคน ๆ เพื่อเรียกผู้ชมตามฐานแฟนคลับของคนที่มาร่วมรายการ ซึ่งมีทั้งรายการดังที่ยังต้องอาศัยตือสนิทในการช่วยขายช่วยเพิ่มช่องทางโปรโมต อย่างเดอะวอยซ์ ละครชายไม่จริงหญิงแท้ ผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ดาราที่กำลังมีข่าว หรืออยู่ในกระแส เรียกว่าสลับไปทั้งขายของ ขายกระแสสร้างรายการไปพร้อม ๆ กัน

ที่สำคัญที่สุด การจะทำให้รายการเป็นที่รู้จักดังนาน ต้องไม่ลืมความต่อเนื่อง ที่ต้องมีตอนใหม่ ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยถึงตอนนี้ในยูทูปของตือสนิท มีวิดีโอที่อัพโหลดไปแล้วทั้งสิ้น 62 ตอน

ตัวอย่างขายของแบบโต้ง ๆ ที่เห็นได้ประจำในตือสนิท ใช้ดาราโปรโมตรายการตอนใหม่ แต่เนื้อหาในรายการโฆษณารถยนต์

กว่าจะได้รู้คำตอบตามชื่อตอนก็รู้จักเบื้องหลังรายการ The Voice เกือบทั้งรายการ

รายการโฆษณาของโฆษณาคอนเทนต์แบบนี้ก็ฮิตได้


สู่ขวัญ เซเลบมีของ

สู่ขวัญ บูลกุล หมดหน้าที่จากคนข่าวไปหลายปีแต่กระแสไม่เคยเงียบหายไปจากหน้าสื่อ เพราะจัดเป็นคนมีของ เป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์ เซเลบริตี้ที่งานสังคมต้องการตัว เป็นคุณแม่ยังสาวและมีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคงมั่งคั่ง ล่าสุดบทบาทที่มาแรงของเธอคือการเป็นกูรูด้านการช้อปปิ้งสินค้าสำหรับแฟชั่น รวมไปถึงการแต่งหน้าที่ระดับบิวตี้บล็อกเกอร์ดังๆ ก็อาจจะต้องสะเทือนถ้าเธอคิดจะมาเอาดีทางนี้อย่างจริงจัง

สู่ขวัญรับหน้าที่เป็นบล็อกเกอร์ด้านแฟชั่น ในเซเลบบล็อกของเว็บไซต์นิตยสารแพรว (preaw.com) ที่ไม่ได้มีแค่เธอ แต่ที่ดังทะลุเว็บก็มีแต่เธอนี่ล่ะ นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปร่วมกับนิตยสาร Vouge ด้วย

โดยปกติการทำคลิปของนิตยสารแฟชั่นมักจะนิยมเลือกดาราดังแถวหน้ามาทำคลิปวิดีโอ และโดยมากก็จะเป็นวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายเซตแฟชั่นปกไม่ว่าจะเป็นนิตยสารในไทยหรือในต่างประเทศ หรือมากหน่อยก็จะมีการตัดบทสัมภาษณ์บางช่วงที่น่าสนใจเป็นคลิปออกมาโปรโมตก่อนหนังสือจะวางแผงด้วย

แต่ความน่าสนใจของคลิปของสู่ขวัญที่เป็นที่พูดถึงไม่ใช่แนวเดียวกับดาราดัง เพราะเสน่ห์ของเธออยู่ที่การพูดคุยไอเดียที่ผ่านประสบการณ์และสมองของคนมีสไตล์และไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงที่มีครบทั้งความสวยในระดับที่สะดุดตาในรูปลักษณ์หนึ่ง ฐานะ ชื่อเสียง ความน่าสนใจของชีวิตส่วนตัวตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เรื่อยมาจนเป็นพิธีกรข่าวในโทรทัศน์

เพียงแค่เธอเอาความเป็นตัวเองมานำเสนอผ่านคลิปวิดีโอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เป็นคอนเทนต์ที่คนส่วนใหญ่พร้อมจะทดลองชม และเมื่อได้ชมแล้วถูกใจกระแสการบอกต่อแบบปากต่อปากก็ยิ่งทวีความฮิตให้วิดีโอคอนเทนต์ของเธอมีคนเข้ามาพิสูจน์มากขึ้นพร้อมเสียงชมที่เพิ่มขึ้น

คลิปวิดีโอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำมาร่วมปีบางคลิปเปรี้ยงปร้างไม่แพ้คลิปข่าวดาราดังที่สามารถมีผู้เข้าชมขึ้นหลักหลายแสนไปจนถึงกว่าครึ่งล้านวิวในเวลา 3 วัน 7 วัน บางคลิปที่จัดว่าไม่แรงมาก ก็มียอดสะสมเรื่อย ๆ จนขึ้นหลักแสนในเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน นั่นแสดงว่านอกจากความดังของกระแสที่เกิดจากบางคลิปที่ทำให้ยอดวิวพุ่งสูงอย่างรวดเร็วแล้ว เธอยังมีแฟนคลับที่คอยติดตามชมอย่างต่อเนื่องในหลักแสนอีกด้วย

การมีผู้ติดตามชมระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดา จัดเข้าขั้นอินฟลูอินเซอร์ตัวท็อปที่นักการตลาดต้องจับตาเลยทีเดียว เพราะขนาดดาราดังก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสร้างแฟนคลับที่คอยติดตามหรือพร้อมจะสร้างยอดเอ็นเกจเมนต์ที่แท้จริงได้มากเท่านี้ โดยเฉพาะยุคนี้ที่แบรนด์และการตลาดเลือกที่จะวัดจากเอ็นเกจเมนต์มากกว่ายอดผู้ติดตาม เพราะต่อให้มีเป็นหลักล้านแต่ถ้าทำให้เอ็นเกจได้ไม่ถึง 10% ของผู้ติดตามที่มีก็อาจจะกลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เทียมที่ไม่ได้สร้างผลตอบลัพธ์ที่แท้จริงให้กับแบรนด์

 กระแสของสู่ขวัญ มาถึงจุดพีค ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ที่ผ่านมา จากคลิปวิดีโอที่ทำให้เซเลบบล็อกของแพรว ตอน สู่ขวัญ พาช้อปมาราธอน ซื้อจริงแจกจริง! รับปีใหม่ ที่มียอดผู้ชมเกินครึ่งล้านในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ตามมาด้วยคลิป เจ้าแม่ป้ายยา สู่ขวัญ พาพุ่งชนของ Sale! มาเช็คของกัน มียอดชมเกิน 3 แสนวิวใน 3 วัน

สถิตินี้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไปของผู้ติดตามนิตยสารแฟชั่น ที่เคยให้ความสนใจกับคลิปเบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นของดาราขึ้นปกซึ่งเป็นไม้ตายของนิตยสารต่างๆ ที่หันมาทำวิดีโอคอนเทนต์เรียกแขกมาตลอด

เหมือนที่คลิปของสู่ขวัญที่ทำให้นิตยสารแพรวทำสถิติความนิยมขึ้นมาหลุดท็อป 5 ที่มีผู้ชมสูงสุดไปแค่อันดับเดียว แต่ก็เชื่อว่าถ้าปล่อยเวลานานไปอีกนิด ก็อาจจะแซงขึ้นมาติดท็อป 5 ได้แน่ ๆ เพราะคลิปที่ติดท็อป 5 ของนิตยสารแพรวนั้นใช้เวลาสะสมยอดวิวมา 3 ปีขึ้นไปแล้วทั้งนั้น

ด้วยความแรงขนาดนี้ เซเลบที่มีไลฟ์สไตล์และเรื่องราวที่คนในสังคมรู้จักติดตาม จากคนกลุ่มหนึ่งจึงถูกขยายตัวกลุ่มผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ชื่อของสู่ขวัญ กลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ตัวท็อปของวงการโดยไม่มีใครกังขา เพราะเพียงแค่แฮชแท็กว่า #ของมันต้องมี คำเดียว ก็สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นคำฮิตติดปากนักช้อป รวมถึงวงการอื่น ๆ ไปเลย ทั้งที่โดยปกติ ศัพท์ฮิตใหม่ ๆ มักจะมาจากกลุ่มสาวประเภทสอง

รายการดังแต่นี่แค่พูดธรรมดาสไตล์สู่ขวัญ เท่านี้ก็โดนใจสาว ๆ เพราะเป็นคำที่ไปสะกิจต่อมลึก ๆ ที่อธิบายเหตุผลของสาว ๆ นักช้อปหลายคนที่ไม่เคยให้คำอธิบายกับตัวเองได้ว่ามันเพราะอะไร เห็นเดินห้างไหนตลาดไหน หรือแม้กระทั่งสกอร์เมาส์อยู่หน้าจอ ไถหน้าจอมือถือในหน้าเว็บช้อปปิ้งทีไรจะต้องซื้อโน้นซื้อนี่อยู่เรื่อยไป 

#ของมันต้องมี สั้น ๆ เลยโดนอินไซต์ขาช้อปจัง ๆ ไม่นับรวมลีลา ท่าทาง การเลือกสินค้า การลอง การให้เหตุผลว่าทำไมควรซื้อสินค้าแต่ละชิ้น ทั้งความชอบส่วนตัว เคล็ดลับการแต่งกาย หรือแม้แต่เพราะโปรโมชั่นที่มีอยู่

สไตล์การช้อปของสู่ขวัญยังมีการให้ข้อมูลและบอกเรื่องราวตัวตนของตัวเอง ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับนักช้อปส่วนใหญ่เคยเจอมาเหมือน ๆ กันทั้งนั้น อาทิ ปัญหาสินค้าที่ซื้อมาเพราะถูกใจแต่หาโอกาสใช้งานไม่ได้ ของบางอย่างยังไม่ได้ใช้แต่จะหาเหตุผลอะไรที่ต้องซื้อ ชอบแต่แบบแปลกจะใช้ยังไงให้ลงตัว

ปัญหาเหล่านี้ล้วนโดนใจสาว ๆ เพราะนักช้อปส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยมักมีประสบการณ์แบบเธอมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ไม่อยู่ในระดับที่สวยออกสื่อและอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้โดนใจ รวมทั้งสื่อสารได้เป็นธรรมชาติน่าติดตามแบบสู่ขวัญ

เมื่อคลิปของเธอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำออกมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มีคนติดตามเพราะดูแล้วสนุก บางคนถึงกับบอกรู้สึกเหมือนได้ตามไปช้อปกับเธอโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งที่บางคนบอกว่าปกติไม่ใช่ขาช้อปด้วย

ที่สำคัญคลิปของสู่ขวัญไม่ใช่แค่เพลินแต่ได้เทคนิคการเลือกซื้อ รวมถึงไอเดียการแต่งตัวที่ดีติดตัวไว้ใช้งานในชีวิตได้จริง รวมถึงได้รู้จักจริตและความเป็นสู่ขวัญในมุมนักช้อป ซึ่งหลายคนคงรู้สึกว่า แหม งานแบบนี้ดี ๆ แค่ช้อปปิ้งออกสื่อ แต่ได้ทำทั้งกิจกรรมที่ชอบ แถมได้รายได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่นจากความเป็นตัวตนที่คนเห็นและเชื่อถือมานาน จนสินค้าแฟชั่นทุกห้าง ทุกแบรนด์ ต่างต่อคิวรอเธอไปช้อปไม่หยุด 

คำเด็ดของสู่ขวัญ

การแสดงความหมายด้วยการใช้คำพูดแสดงความรู้สึกของสินค้าที่พบเห็นกลายเป็นเสน่ห์ และความแตกต่างที่สู่ขวัญใช้สื่อกับผู้ชมคลิป ที่ผู้ชมรับรู้ได้จากความเป็นธรรมชาติของเธอ ที่เธอเองก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งสัญญาณให้ซื้อหรือไม่ซื้อ เพียงแต่บอกไปตามความรู้สึกที่เห็นโดยไม่เตรียมการ ลองมาดูตีความหมายจากตัวอย่างคำแต่ละคำของสู่ขวัญ ที่แต่ละคำสะท้อนความหมายความน่าสนใจในระดับที่ต่างกันไปดังนี้

น่าร๊ากกก!!”น่าสนใจมาก ต้องหันไปมอง พิจารณาได้ดี มีโอกาสที่คนจะซื้อตามสูง

อันนี้ก็น่ารักกก” น่าสนใจในระดับทั่ว ๆ ไป เป็นหนึ่งในตัวเลือกได้ แต่อาจจะยังไม่ทำให้ตัดสินใจซื้อในทันที

พี่ขวัญว่าอันนี้ก็น่ารักชอบแบบพี่ขวัญ ก็ซื้อเลยจ้า พี่ขวัญอาจจะไม่ได้ซื้อไม่ได้ใช้ แต่พี่ขวัญชอบ ถ้าน้องชอบพี่ขวัญ น้องจะใช้ น้องควรซื้อ

อันนี้พี่ขวัญชอบนะพิจารณาตามหน่อยถ้าคนดูชอบด้วยก็ตัดสินใจง่ายขึ้น หรือถ้าจะซื้อให้ใครก็มีรสนิยมระดับสู่ขวัญการันตีล่ะ

อยากจะบอกว่าอันนี้ดีผ่านประสบการณ์การใช้จริงของสู่ขวัญมาแล้ว

ขวัญเป็นคนที่ถูกใจกระเป๋ายากมากถ้าเธอใช้กระเป๋าแบบไหน มันจะต้องเป็นรุ่นที่ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

ได้แน่ พี่ขวัญต้องซื้อแน่ๆไม่ต้องสืบซื้อไปเลย แค่อยากรู้ต่อว่าบางชิ้นพี่ขวัญจะซื้อไปใช้อย่างไรหรือทำอะไร

พี่ขวัญชอบถ้าน้องชอบด้วยก็สบายใจที่จะซื้อนะคะ

เราต้องมีจะมีก็ต้องซื้อสิค่ะ

ของมันต้องมีหรือมันเป็นของต้องมีของจำเป็นในชีวิต ระดับปัจจัยสี่สำหรับสาว ๆ

พี่ขวัญอันนี้ได้ใส่ก็ซื้อไปเถอะไม่เสียเปล่าแน่ ๆ มีโอกาสได้ใช้

และไม่ว่าจะอย่างไรกับบทบาทเซเลบ บางคลิปก็ต้องจบด้วย หน้าที่แม่สำคัญนั่นคือความรับผิดชอบในชีวิตจริง ส่วนสำคัญที่ทำให้ชีวิตผู้หญิงคนนี้ประสบความสำเร็จ.

]]>
1157305
“วู้ดดี้” ลดความแซ่บ ! คัมแบ็กจอทีวี เงินไม่เท่าออนไลน์ แต่ได้คนดูแมส https://positioningmag.com/1152878 Sun, 07 Jan 2018 13:34:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152878 พักงานหน้าจอไปลุยโซเชียลนานพอดู หลังเคยประกาศจะไม่ทำรายการทีวีอีก เพื่อลุยทำรายการเสนอผ่านโซเชียล แต่พอกลับมาอีกทีก็ควบ 2 รายการเลยทีเดียว สำหรับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” โดยเป็นพิธีกรให้รายการ “เดอะวอร์ กำแพงพลิกชีวิต” ทาง “ช่องวัน” และทำรายการของตัวเอง “วู้ดดี้เวิลด์” กับช่อง “เวิร์คพอยท์” ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการได้ร่วมงานกับ “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” เป็นเพราะความคัน

รายการเดอะวอร์ ทางช่องวัน เป็นรายการเกมโชว์ ที่ซื้อแพลตฟอร์มาจากต่างประเทศ ออกอากาศเวลา 6 โมงเย็น วันเสาร์และอาทิตย์ เริมวันที่ 6 มกราคม เป็นวันแรก

สตูดิโอทำยากมาก ในเอเชียไม่มีสตูดิโอที่สูงพอที่จะรองรับกำแพงที่ใหญ่ขนาดนี้ มีสตูฯ ของทีวีธันเดอร์ที่เดียว พอไปเห็นกำแพงมันอลังการมาก แล้วก็คนเข้าแข่งขันที่เป็นคนดีแล้วก็คุณค่ากับเงินหลายล้านบาท ก็เลยตัดสินใจมาร่วมงาน เราแล้วความสนุกก็คือเราจะอยู่ฝั่งเดียวกับคนเข้าแข่งขัน ก็จะลุ้นอยู่ตลอดเวลา

ที่สำคัญ ด้วยความเป็นคอนเทนต์ที่สามารถออนแอร์ได้ทุกแพลตฟอร์ม ออนทั้งโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กไลฟ์ จึงทำให้ตัดสินใจกลับมาทำรายการนี้ เพราะถ้าออนแค่ทีวีก็จะไม่ทำ

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

“รายการนี้ ผมรับจ้าง ได้ค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นของช่องวัน เป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน ที่ทำเพราะความคันอยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเขาแล้วโดนด่ามันเป็นยังไง เพราะเราทำมาตลอดชีวิตแล้วที่สั่งคน เรามาเป็นคนที่ถูกสั่งบ้างดีกว่า”

สิ่งที่ได้รับกลับมานอกจากความสนุกแล้ว ยังได้ประสบการณ์จากรับจ้างเป็น “พิธีกร” ที่ต้องทำงานกับคนภายนอก นำมาปรับปรุงในการทำงาน

พอทำแล้วสนุกมาก แล้วเขาให้เกียรติเรามาก แล้วบางอย่างที่พูดมันไม่โอเคนะ อยากได้วู้ดดี้ที่มันธรรมชาติกว่านี้ เวลามีคนมาพูดกับเราตรงๆ เรารู้สึกดีขึ้นมาก ได้พัฒนา ดีกว่าทำรายการเป็นนายเองแล้วก็ไม่ฟังฟีดแบ็ก บางทีลูกน้องผมเองก็ไม่บอกไง เวลาผมพูดเนี่ยตาจะกะพริบบ่อยมากนี่คือหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้ตัวนะ ตั้งแต่เด็กเราจะชอบเกาจมูก เป็นสองบุคลิกที่เราไม่คิดว่าเราทำบ่อย แล้วเขาก็แนะนำ อีกเรื่องคือเราพูดเร็วมากจนเสียงแหบ ผมพูดเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ได้ค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอร์”

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

วู้ดดี้เวิลด์ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ เป็นแชริ่งโชว์

สำหรับรายการ “วู้ดดี้เวิลด์” เป็นรายการทอล์กโชว์ที่เหมือนหนัง มีความประณีต หมดเวลานั่งสัมภาษณ์ตามข่าวรายวัน ซึ่งวู้ดดี้เป็นผู้ผลิตรายการเอง โดยร่วมมือกับเวิร์คพอยท์ ในรูปแบบของไทม์แชริ่ง แบ่งรายได้คนละครึ่ง

“ผมคุยกับเวิร์คพอยท์มานานมากว่า ทำดีไม่ทำดี เวิร์คพอยท์เองเขาก็อยากได้รายการทอล์กโชว์ดีๆ เราก็บอกว่าถ้าจะทำทอล์กโชว์แบบวู้ดดี้เราจะไม่ทำข่าวซุบซิบแล้วนะ ไม่ทำแบบรายวัน เพราะทำกันแล้ว ซึ่งมันหมดเวลาที่เราจะมานั่งทำแบบนั้นแล้ว ไม่งั้นเราก็ต้องมาถือไลฟ์ตามทุกคน ซึ่งเราไม่มีเวลาก็กลายเป็นทอล์กโชว์ที่มีความประณีตมากขึ้น จะเหมือนหนังมากขึ้นชื่อว่าวู้ดดี้เวิลด์ เอาง่ายๆ เลยคือโลกของวู้ดดี้ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เรารู้สึกว่าเราอยู่ในวัยที่ทุกอย่างมันน่าสนใจหมด

รูปแบบถูกปรับใหม่ไม่ใช่ “ทอล์กโชว์” แต่เป็น แชริ่งโชว์” จะเน้นเรื่องราวรอบข้างชีวิตที่คนสนใจ คนสงสัยและคนอยากรู้แล้วอยากแชร์ต่อ เน้นเรื่องที่คนสนใจแล้วอยากแชร์ต่อ จะมีความละมุน ไม่แรง ไม่แซ่บ แต่เป็นแรงบันดาลใจ ตบหน้าให้คนดูลุกมาทำอะไรใหม่ๆ อย่างเราเที่ยวถ้ำนี้แล้วมันน่าสนใจเราอยากแชร์ หรือทำไมเราไปวิ่งกับตูนแล้วรู้สึกเขา inspire มาก แล้วก็มีเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น ที่เราอยากแชร์ โดยจะออกอากาศ เวลา 22.15 น. ผ่านทางไลฟ์ เฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์

สิ่งเดียวที่ผมเกร็งคือว่ามันจะแซ่บมั้ย บอกเลยว่าไม่แซ่บ ถามว่าแรงมั้ย บอกเลยว่าไม่แรง พูดตรงๆ ถามว่าละมุนมั้ย ละมุน ผมการันตีว่าคุณดูวู้ดดี้เวิลด์เนี่ยคุณนอนหลับแบบอมยิ้ม คุณตื่นมาเช้าวันจันทร์คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณอยากทำอะไรมากกว่านี้”

“ไม่ใช่ล้างมือว่าจะไม่แซ่บไม่แรงแล้ว เพราแซ่บกับแรงเนี่ยมันอยู่ได้ แต่มันก็อยู่ได้แค่ชั่วคราว ที่ผ่านมาผมพลาดอย่างเดียว คือ คนดูเขาจะได้อะไร คือสมัยก่อนเราได้แค่ซุบซิบไง แต่เรารู้สึกว่าอยากให้ชีวิตมันดีขึ้นไง ดังนั้นดูแล้วมันจะต้องละมุนขึ้นชีวิต รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ดูวู้ดดี้เวิลด์แล้วรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่ต้องจบแค่นี้ ชั้นสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย มันไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ มันคือตบหน้าแล้วให้คุณทำเลย”

วู้ดดี้บอกว่าการยอมกลืนน้ำลาย กลับทำรายการทีวีครั้งนี้ เนื่องจากช่องทางออนแอร์มากกว่าเดิม 4 เท่า ถ้าไม่ออนแอร์ผ่านโซเชียลก็จะไม่ทำแน่นอน 

“รายการออกอากาศในช่องเวิร์คพอยท์เป็นแค่คอนเทนต์หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วออนในเฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์ เป็นหลัก ซึ่งต่างจากที่ผมทำรายการในทีวีแล้วไม่มีโซเชียลเลย คราวนี้มีมากกว่าเดิมอีก 4 เท่าด้วยกัน นี่คือเหตุผลที่กลับมาเลือกทำคอนเทนต์แบบนี้ แต่ถ้ากลับมาทำรายการที่ไม่ได้ออนในโซเชียลเลยไม่ทำแน่นอนครับ”

รายได้จากโซเชียลได้มากกว่าทำทีวี

ส่วนที่ผ่านมารายได้ ครึ่งปี เม็ดเงินโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ แล้วจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่า “ทีวี” ยังเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่จะสามารถกระจายในแง่ของคนดูได้ แต่ในแง่ของ “เม็ดเงิน” สู้โซเชียลไม่ได้ ซึ่งเวลานี้ทำรายได้สูงมาก

ที่มา : mgronline.com/entertainment/detail/9610000001457

]]>
1152878