“วู้ดดี้” ปั้น S2O มิวสิก เฟสติวัล หวังโกอินเตอร์

หากพูดถึงสินค้าไทยที่ก้าวไกลในเวทีโลก ก็ต้องยกให้ “อาหารไทยหรือครัวไทย” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขณะที่งานสร้างสรรค์คอนเทนต์เป็นอีกศาสตร์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศเช่นกัน วันนี้ที่เริ่ม “โกอินเตอร์” ในฐานะอีกโปรดักต์จากไทย คือ “มิวสิก เฟสติวัล” ที่กำลังก้าวสู่เวที “ระดับโลก”

วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายครีเอทีฟ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากพัฒนาแบรนด์ S2O รูปแบบ สงกรานต์ มิวสิก เฟสติวัล” ครั้งแรกในปี 2015 ด้วยจุดเริ่มต้นต้องการสร้างให้งานเทศกาลดนตรี ช่วงสงกรานต์ “โกอินเตอร์” ไม่ใช่แค่เพียงการจัดงานปาร์ตี้ สนุกสนาน แต่ต้องการสร้างแบรนด์อีเวนต์ ที่มีเป้าหมาย ขายลิขสิทธิ์ให้กับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ เพื่อนำรูปแบบงานไปจัดทั่วโลก

มาถึงวันนี้ S2O ถือเป็นอีกเทศกาลดนตรีระดับเอเชียของไทยงานแรกที่ “โกอินเตอร์” ขายลิขสิทธิ์จัดงานในตลาดต่างประเทศครั้งแรกที่ โอไดบะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2018 มีผู้ร่วมงานกว่า 16,000 คน ด้วยศักยภาพดังกล่าว บริษัท Ticket Pia พาร์ตเนอร์จัดงานในญี่ปุ่น จึงเซ็นสัญญาลิขสิทธิ์จัดงานยาว 5 ปี จากเดิมเริ่มต้นที่ 3 ปี

ปีนี้ยังคงจัดงาน S2O Japan ต่อเนื่องเป็นปีที่สองที่โตเกียว ระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม การจัดงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับผลตอบรับดี เพราะคนญี่ปุ่นเข้าใจวัฒนธรรมสาดน้ำสงกรานต์ของไทยเป็นอย่างดี

บุกต่อไต้หวัน

ปีนี้ได้ขายลิขสิทธิ์จัดงาน S2O เพิ่มที่ไต้หวัน ให้กับพาร์ตเนอร์ชื่อ SP Unite โดยเตรียมจัดงาน S2O Taiwan ในวันที่ 6-7 กรกฎาคมนี้

การจัดงาน S2O ในญี่ปุ่นและไต้หวัน บริษัทจะเป็นผู้ดูแลรูปแบบเวที การจัดแสดงดนตรี ดีเจ นวัตกรรมกลไกการสาดน้ำ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทเอง ส่วนรูปแบบการทำตลาดในต่างประเทศจะทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ผู้ซื้อลิขสิทธิ์จัดอีเวนต์เทศกาลดนตรี เพราะจะเข้าใจกลุ่มเป้าหมายในประเทศได้ดีที่สุด ดังนั้นการจัดงาน S2O ในต่างประเทศ จึงมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก

รายได้จากการทำตลาดแบรนด์ S2O ในต่างประเทศ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ รายได้จากการขายลิขสิทธิ์จัดงานให้กับพันธมิตร และการแบ่งรายได้จากการขายบัตรเข้าร่วมงาน

“S2O ถือเป็นโปรดักต์ไทย ที่เราภูมิใจในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เป็นสินค้าไทยที่มีกลิ่นอายสากล จึงตอบสนองทั้งกลุ่มเป้าหมายชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

ก้าวต่อไป “เทศกาลดนตรีระดับโลก”

วู้ดดี้ บอกว่าการทำงานเฟสต่อไปของ S2O ทั้งในไทยและต่างประเทศ เป้าหมาย คือ “แมส ใหญ่ ใหม่” คือแบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เป็นเทศกาลดนตรีที่ทั้งคนไทยและต่างชาติต้องกำหนดไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยวประจำปี การจัดงานต้องขยายพื้นที่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และต้องมีนวัตกรรมใหม่ ด้านเทคโนโลยี แสง สี เสียง โดยเฉพาะระบบน้ำ ที่ถือเป็นไฮไลต์ของเทศกาล

เป้าหมายสเต็ปต่อไปของ S2O คือการก้าวสู่ “มิวสิก เฟสติวัล” ระดับโลก ปัจจุบันแบรนด์เป็นที่รู้จักในเอเชีย มีผู้สนใจในภูมิภาคนี้ทั้ง จีน และทุกประเภทในอาเซียน ต้องการซื้อลิขสิทธิ์ S2O ไปจัดงาน แต่บริษัทต้องดูความเหมาะสมของพื้นที่และรูปแบบการจัดงานด้วยเช่นกัน ขณะนี้จึงยังไม่ได้ให้ลิขสิทธิ์จัดงานในภูมิภาคเอเชียเพิ่มเติม

คาดว่าปี 2020 จะพิจารณาพันธมิตรจัดงานในต่างประเทศเพิ่มเติม และอาจอยู่นอกภูมิภาคเอเชีย วางเป้าหมายว่าปี 2022 แบรนด์ S2O จะต้องก้าวสู่การเป็น World Music Festival มีการจัดเทศกาลในทุกทวีปทั่วโลกทั้งออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา หนึ่งในประเทศที่น่าสนใจ คือ บราซิล ซึ่งมีการเทศกาลดนตรีหลากหลายแนวอยู่แล้ว การจัดงานรูปแบบ “สงกรานต์ มิวสิก เฟสติวัล” น่าจะเป็นอีกงานที่ชาวบราซิลและนักท่องเที่ยวชื่นชอบ

“วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชื่นชอบเทศกาลดนตรี บอกว่าหากเป็นยุโรป จะนึกถึง Tomorrow Land แต่หากเป็นเอเชียจะนึกถึง S2O หลังจากนี้เราต้องเดินหน้าต่อ เพื่อสร้างแบรนด์ S2O ให้เป็นเทศกาลดนตรีระดับโลก”

นอกจากนี้ยังมองโอกาสต่อยอดแบรนด์ S2O ที่เป็นคอนเซ็ปต์ S2O Factory เวทีผลิตน้ำ ได้หลากหลายรูปแบบในอนาคต รูปแบบสวนสนุกน้ำ ที่สามารถสนุกกับ S2O ได้ทุกวัน ก็เป็นไปได้

S2O กรุงเทพฯ เป้า 2 แสนคน

สำหรับงาน S2O ที่เรียกว่าเป็นเสาหลัก หรือ แฟลกชิป ในกรุงเทพฯ ถือว่าได้รับผลการตอบรับที่ดีตลอดช่วง 5 ปีนี้ สะท้อนได้จากจำนวนผู้เข้างาน และถูกบรรจุไว้ในปฏิทินว่าเป็นงานที่ “ต้องไป” ทั้งของคนไทย ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในกลุ่มอาเซียน ที่ตั้งใจมาร่วมงานในช่วงสงกรานต์ โดยกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ กับงาน S2O ก่อนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างจังหวัดเมืองเที่ยวของไทยต่อเนื่อง

“จากจุดเริ่มต้น S2O ในปี 2015 ที่มีผู้เข้าร่วมงาน 25,000 คน เรามองโอกาสปี 2022 ที่แบรนด์ S2O จะก้าวสู่ระดับโลก ส่วนงานมิวสิก เฟสติวัลในไทยจะต้องมีคนร่วมงานไม่กว่า 2 แสนคน”

ปุลิน มิลินทจินดา

ปุลิน มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด กล่าวว่า ปี 2018 งาน S2O กรุงเทพฯ มีคนร่วมงาน 54,000 คน สำหรับการจัดงานปีนี้ วันที่ 13-15 เมษายนนี้ ณ Live Park ถนนพระราม 9 คาดการณ์ไว้ที่ 60,000 คน หรืออย่างน้อยวันละ 20,000 คน กลุ่มเป้าหมายคนไทยเป็นหลักสัดส่วน 70% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอเชีย

ไฮไลต์ปีนี้ คือ ดีเจระดับโลก ที่เรียกว่าเป็น rare item ปีนี้ คือ FAT BOY SLIM  รวมทั้งไลน์อัพดีเจดังทั้ง TIESTO, STEVE AOKI, David Gravell, CAT DEALERS, 1788-L พร้อมขยายเวทีขนาดยักษ์ Mega Stage ยาวกว่า 65 เมตร สูงเท่ากับตึก 10 ชั้น เพื่อการมองเห็นทุกมุม รวมทั้งนวัตกรรมเทคนิคสาดน้ำ 360 องศา

สำหรับนวัตกรรมเทคนิคสาดน้ำ ถือเป็นเอกลักษณ์ของ S2O ทุกปีจะมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เชื่อว่าจะสามารถนำไปจดสิทธิบัตรเป็นของบริษัทได้ ปีนี้ได้พัฒนาการทำโปรแกรมระบำน้ำเข้ากับเสียงดนตรี โดยระบบน้ำจะเชื่อมโยงกับดนตรี ที่จะปล่อยน้ำตามจังหวะของดนตรี ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่พันธมินตรจัดงานในญี่ปุ่นและไต้หวันให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นนวัตกรรมที่แปลกใหม่

การจัดงาน S2O กรุงเทพฯ ปีแรก รายได้มาจากสปอนเซอร์ 30% และบัตรเข้าร่วมงาน 70% ปีนี้รายได้จากสปอนเซอร์อยู่ที่ 20% รายได้จากการซื้อบัตร 80% ถือเป็นรายได้ที่จะทำให้เติบโตในระยะยาว เพราะมาจากคนที่ชื่นชอบเทศกาลดนตรี

ปีที่ผ่านมา “วู้ดดี้ เวิลด์” มีแหล่งรายได้จากธุรกิจอีเวนต์ 50% แบ่งเป็น มิวสิก เฟสติวัล 80% และเฮลท์แอนด์ฟิตเนส 20% และรายได้จากธุรกิจคอนเทนต์ 50% ปีนี้โครงสร้างรายได้จะเปลี่ยนไป โดยมาจากธุรกิจอีเวนต์ 40% กลางปีนี้จะเปิดตัวอีเวนต์แนว “ทอล์กโชว์” ที่ทำร่วมกับพันธมิตรอีก 1 อีเวนต์ และรายได้จากคอนเทนต์และมีเดีย 60% โดยจะมีธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มคือ ดิจิทัล เอเยนซี่ และการเปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัล