ศิลปิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 10 Oct 2023 09:02:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เมื่อ ‘T-Pop’ ถูกชุบชีวิตโดยเทรนด์ ‘วิดีโอสั้น’ สู่โอกาสของแบรนด์ที่จะโกย ‘Fandom’ มาเป็นลูกค้า https://positioningmag.com/1447521 Tue, 10 Oct 2023 08:32:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447521 ในยุคที่ศิลปิน T-Pop ไทยกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง สังเกตได้จาก ด้อม (Fandom) หรือ แฟนคลับ ศิลปินต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นเต็มไปหมด และนี่ได้กลายเป็น โอกาสสำคัญ ของ แบรนด์ ที่จะเปลี่ยนให้แฟนด้อมที่ขึ้นชื่อว่า พร้อมเปย์ เปลี่ยนให้มาเป็นลูกค้าของแบรนด์

เพลงกิจกรรมพักผ่อนที่นิยมมากกว่าการดูหนังหรือซีรีส์

มายด์แชร์ เอเยนซี่เครือข่ายด้านการตลาด และการสื่อสาร ในเครือ กรุ๊ปเอ็ม เปิดเผยว่า จากข้อมูลโดยนีลเส็นพบว่า เมื่อเทียบกันกับกิจกรรมพักผ่อนต่าง ๆ คนไทยนิยมการ ฟังเพลง มากกว่าการดูภาพยนต์หรือซีรีส์ 3.4 เท่า และมากกว่าการเล่นเกม 2.8 เท่า

นอกจากนี้ หากประเมินถึงมูลค่าตลาดเพลงในไทย โดยอ้างอิงจาก 2 ค่ายใหญ่อย่าง RS และ GMM แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีที่ผ่านมา GMM Music มีรายได้จากเพลง 3,043 ล้านบาท และปีนี้คาดว่ารายได้จากเพลงเติบโต +25% เฉพาะครึ่งปีแรกมีรายได้จากเพลง 1,713 ล้านบาท เติบโต +54% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา

ส่วน RS ที่ประกาศว่าจะกลับมาโฟกัสธุรกิจเพลงอีกครั้งในปีนี้ บริษัทก็ประเมินว่าจะมีรายได้จากเพลงที่ 720 ล้านบาท และคาดการณ์เติบโตเฉลี่ย +30% สร้างรายได้ 1,200 ล้านบาทใน 3 ปีจากนี้

วิดีโอสั้น ปัจจัยสำคัญคืนชีพ T-Pop

ปัจจุบัน กลุ่มผู้บริโภคที่ใช้ #T-Pop มีทั้งศิลปิน และคนฟังเพลงไทย แต่เจาะลึกช่วงอายุ กลุ่มที่อายุระหว่าง 18-24 ปี สัดส่วนมากสุด 56% ตามด้วยอายุ 25-34 ปี สัดส่วน 31% และอายุ 35 ปีขึ้นไป สัดส่วน 13% ปัจจุบัน T-Pop ไทยอยู่ใน ยุค The Expression เป็นยุคที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างออกไป แสดงตัวตนได้ชัดเจนผ่านผลงานแต่ละด้านไม่ว่าจะเป็น เพลง งานแสดง และมีการร่วมมือกับศิลปินระดับนานาชาติ ในยุคนี้ศิลปินอิสระแจ้งเกิดและได้รับการยอมรับมากขึ้น และความหลากหลายทางเพศมากขึ้นอย่างกลุ่ม LGBTQ+

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการกระจายข่าวสารและการสร้างความสนใจในยุคนี้ โดยเฉพาะ วิดีโอสั้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในแพลตฟอร์ม TikTok มี #T-Pop เติบโตขึ้น 3 เท่าโดยที่มีการใช้งานใน global 2 พันล้านครั้ง นับเป็นของไทย 1 พันล้านครั้ง รวมไปถึงการที่ความนิยมของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น อย่างเช่น Facebook Watch, Instagram Reels, และ TikTok ได้ช่วยให้เกิด emotional connection และเพิ่มการเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างมากขึ้น

นอกจากนี้ การมีเวทีการแข่งขัน ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีความรู้สึกร่วมไปกับศิลปิน การมีพื้นที่สาธารณะที่ให้เยาวชนได้แสดงออก ถึงความสนใจในดนตรี เช่น พื้นที่ตรงสยามสแควร์ เป็นต้น การใช้เพลงในซีรีส์ ที่นับว่าเป็นสื่อในการเชื่อมแฟนซีรีส์ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และ การเกิดขึ้นของค่ายเพลงใหม่ ๆ ที่ทำให้ผู้ฟังมีตัวเลือกในการฟังมากขึ้น

TikTok ช่วยสร้างให้เป็นกระแส และทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม ผ่านการเต้นชาเลนจ์ และแพลตฟอร์มสามารถใช้เพลงในการมาทำคอนเทนต์ได้ฟรี ให้เกิดเป็น User Generated Content” อริสรา รัตนโชติวิวัฒน์ ผู้จัดการการวางแผนกลยุทธ์บริษัท มายด์แชร์ ประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสังคมไทยที่จะยังทำให้กระแสของเพลงไทยยังเติบโตไปได้ เช่น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ K-Pop และ J-Pop ในระดับโลก ได้สร้างความสนใจที่มากขึ้นในด้านเพลงเอเชียรวมถึงส่งผลให้ T-Pop ได้โอกาสและได้รับการยอมรับ

การสร้าง Cultural Appeal กับผู้ฟังผ่านประสบการณ์ที่ใกล้ชิดและความรู้สึกที่เข้าใจได้ เช่นการแต่งและปล่อยเพลงที่เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงนั้น ๆ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง เช่น Apple Music, Spotify, และ Joox ได้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและหลากหลายในการเข้าถึงเพลง T–Pop ให้ได้ราคาที่เหมาะสมและความหลากหลาย

แบรนด์จะเปลี่ยนแฟนด้อมให้มาเป็นลูกค้าอย่างไร

การใช้ T-Pop ในการทำการสื่อสารการตลาด เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ และผลลัพธ์ในวงกว้าง รวมไปถึงการใช้เพลงไทยเป็นสื่อกลางในการขับเคลื่อนเทรนด์ในยุคปัจจุบัน ที่ออกมาในรูปแบบของ

  • สปอนเซอร์ชิป (sponsorship) : เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ ที่ เชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านทางการมาเป็นผู้สนับสนุน ให้กับคอนเสิร์ตต่าง ๆ หรือรายการเพลง เป็นต้น
  • โปรดักต์เพลสเมนต์ (product placement) : เป็นโอกาสให้กับแบรนด์ด้านความคิดสร้างสรรค์ลงไปในการสร้างการรับรู้บนพื้นที่ที่คนดูมีสามารถมีอารมณ์ร่วม หรือบนพื้นที่ ๆ ที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นโฆษณา

  • มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง (music marketing) : สามารถใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งเข้ามาช่วย แสดงให้เห็นถึงคาแรกเตอร์ของแบรนด์ หรือเป็นการปรับแบรนด์ดิ้งใหม่ให้ดูเด็กขึ้น ทันสมัยขึ้น
  • สินค้า/ผลิตภัณฑ์ (merchandise) : เป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดในรูปแบบหนึ่งให้กับแบรนด์
  • Fan-Driven Marketing : ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ แคมเปญ Lotus’s Anniversary 2023 “The Golden Moment” PARK SEO JUN Meet & Greet in Bangkok ฟินไม่พักกับพัคซอจุน ที่ให้ Top spender ได้ Meet & Greet กับ พัคซอจุน (Park Seo Joon) ซึ่งยอดเปย์ของอันดับ 1 ก็ทะลุ 71 ล้านบาทไปแล้ว

ความท้าทายเดียวจะใช้ศิลปินอย่างไรให้คนจดจำ

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าศิลปินที่ได้รับความนิยมย่อมมีหลายแบรนด์ต้องการคว้าตัวมาร่วมงาน ดังนั้น ความท้าทายของแบรนด์ที่จะใช้งานศิลปิน T-Pop ก็คือ สร้างความแตกต่างและโดดเด่น เพราะศิลปินหลายคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับหลายแบรนด์ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถจดจำแบรนด์ได้

“แม้ศิลปินไทยจะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับ K-Pop ที่ถือเป็น Next Level โดยเฉพาะความครีเอต นอกจากนี้ K-Pop ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น มีพื้นที่ช่วยโปรโมต ซึ่งหากมีนโยบายจากภาครัฐในการผลักดันไทยได้เป็นศูนย์กลางทางดนตรีและคอนเสิร์ตจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล”  อริสรา ทิ้งท้าย

]]>
1447521
ล้วงเคล็ดวิชาการทำงานจาก “พี่เบิร์ด-ธงไชย” ศิลปินดาวค้างฟ้าผู้ “อยู่มาทุกยุค” ตัวจริง! https://positioningmag.com/1427555 Mon, 17 Apr 2023 12:57:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427555 การเป็นศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์มาได้นานถึง 37 ปีไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่มาจากทัศนคติและวินัยที่เข้มแข็ง Positioning มีโอกาสได้พูดคุยกับ “พี่เบิร์ดธงไชย แมคอินไตย์” ตำนานศิลปินที่อยู่มาทุกยุค ขอเคล็ดวิชา “การทำงาน” ที่ทำให้พี่เบิร์ดยังมีไฟในการผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ธงไชย แมคอินไตย์” หรือ “พี่เบิร์ด” ของทุกคนปล่อยอัลบัมแรก “หาดทราย สายลม สองเรา” ออกมาตั้งแต่ปี 2529 นับถึงวันนี้ผ่านมา 37 ปีโดยที่พี่เบิร์ดไม่เคยหยุดสร้างผลงานเพลงใหม่ๆ ยังคงมีงานแสดงคอนเสิร์ตสม่ำเสมอ และยังคงถูกยกย่องเป็นซูเปอร์สตาร์นักร้องเบอร์ 1 ของประเทศไทยอย่างไร้ข้อกังขา

ว่าที่จริงแล้วสรรพสิ่งย่อมมีขึ้นแล้วมีลง แต่พี่เบิร์ดดูจะยังไม่ยอมถึงขาลงง่ายๆ แม้โลกจะหมุนไปเร็วขึ้น พร้อมด้วยแนวเพลงแนวดนตรีใหม่ๆ แต่พี่เบิร์ดยังคงอยู่พร้อมพิสูจน์ตัวว่า “อยู่มาทุกยุค” และจะยุคไหนพี่ก็จะอยู่ ด้วยงานเพลงที่สามารถปรับตามสมัยนิยม เปิดกว้าง มีผลงานคอลแลปกับศิลปินคลื่นลูกใหม่ ไม่เคยมีคำว่า ‘เอาต์’ สำหรับชายคนนี้

พี่เบิร์ด-ธงไชย
อัลบัม “22” ของพี่เบิร์ด อัลบัมล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อปี 2565

สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่เบิร์ดยังคงเป็นศิลปินร่วมสมัยแม้จะอยู่ในวัยย่าง 65 ปี และเป็น “การทำงาน” ที่เราอยากขอเคล็ดวิชาเพื่อนำมาสร้างความเป็นซูเปอร์สตาร์ในตัวเองเช่นกัน

 

Q: คำถามแรกที่ทุกคนอยากรู้คือพี่เบิร์ดเคยมีอาการหมดไฟ (burn out) แบบที่คนรุ่นใหม่ชอบพูดกันบ้างไหม

พี่เบิร์ด: เออ ทำไมพี่ไม่หมดเลยวะ พี่มีอยู่ตลอดเวลาเลย พี่คิดว่าเราต้องอยู่กับเขาให้ดี (เขา = งานที่ตัวเองทำ) แล้วก็สอบถามซักถามตัวเองให้ดีว่าชอบเขาหรือรักเขาตรงไหน

แล้วก็พี่เบิร์ดโตมาตั้งแต่อัลบัมแรกจนถึงอัลบัมนี้ ไม่มีนักร้องคนไหนทำอย่างที่พี่เบิร์ดทำ คือ พี่เบิร์ดสั่งทำ backing track ตั้งแต่วันแรกที่พี่เบิร์ดเข้ามาจนถึงวันนี้ มีทุกเพลงเลย แล้วพี่เบิร์ดเปิดร้องทุกวัน วันละหนึ่งหรือสองคอนเสิร์ต แล้วพี่เบิร์ดจะทำอย่างไรให้ร้องให้ได้เหมือนในเทปที่พี่เต๋อ (เต๋อ-เรวัติ พุทธินันทน์) เป็นคนดูแล แล้วทำไมเสียงพี่เบิร์ดเปลี่ยน แล้วถ้าร้องไม่เหมือนเดิมล่ะ อย่างนี้มันจะได้ประเมินตัวเองด้วย เราไม่สามารถที่จะโกหกตัวเองได้หรอก

 

Q: อาการหมดไฟมักจะชอบตามมาด้วยความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง พี่เบิร์ดทำอย่างไรให้มั่นใจว่าเราเก่งจริง

พี่เบิร์ด: คือพี่ว่าเราต้องรู้ให้จริงก่อนว่าเราทำอะไร ต้องรู้ให้จริงก่อน เช่น หน้าที่ของเราเป็นนักข่าว ต้องรู้ให้จริงว่านักข่าวขายอะไร ทำไมต้องเป็นนักข่าว นักข่าวที่ดีคืออะไร ไม่ควรทำคืออะไร ไม่ควรพูดคืออะไร ควรทำคืออะไร ควรทำการบ้านแค่ไหน อย่างนี้ครับ

จริงๆ ความนานมันดีนะ มันดีกว่าความเร็ว เพราะความนานทำให้เรามั่นใจ แค่มั่นใจก็พอแล้ว

Q: ทำอย่างไรพี่เบิร์ดถึงยังทันสมัยไม่ตกเทรนด์เลย

พี่เบิร์ด: ก็อย่าขี้เกียจไง (หัวเราะ) ดูไปสิ TikTok เอยอะไรเอย พี่เบิร์ดเล่นโซเชียลมีเดียทุกอย่างเลยนะ

ล่าสุด Netflix เขายังเอา(คอนเสิร์ต)ของพี่เบิร์ดไปออกเต็มไปหมดเลย พี่จึงได้ learning by doing คือพี่เบิร์ดแข่งกับอะไรรู้ไหมตอนนี้ พี่เบิร์ดแข่งกับตัวพี่เองใน Netflix ย้อนกลับไปดูแล้วพี่เบิร์ดต้องแข็งแรงขนาดนี้ ต้องหล่ออย่างนี้ ต้องแดนซ์ขนาดนี้ อันนี้ไม่ดีตัดทิ้ง อันนี้ต้องไม่มีนะเบิร์ด มันดีมากนะ

 

Q: พี่เบิร์ดคิดอย่างไรกับคำว่า รุ่นใหม่รุ่นเก่า

พี่เบิร์ด: พี่เบิร์ดเป็นคนนะ เป็นเหมือนทุกๆ คน เป็นเหมือนคนรุ่นใหม่ เป็นคนรุ่นเก่า เป็นคนทุกรุ่นเลย พี่เบิร์ดไม่เคยคิดว่าใครจะรุ่นใหม่ใครจะรุ่นเก่า That’s people ทั้งนั้น คนทั้งนั้นเลย

การ name it คิดว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ คิดว่าตัวเองเป็นคนรุ่นเก่า นั่นแหละคืออันตรายที่สุด วันๆ ไม่ทำอะไร คิดถึงแต่เรื่องที่เราจะ name it ว่าอันนี้แก่ อันนี้อ่อน อันนี้เด็ก อันนี้เกย์ อันนี้แต๋ว อันนี้ตุ๊ด มันเหนื่อยนะ สู้เอาเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองดีกว่า

คอนเสิร์ตพี่เบิร์ดลงสตรีมมิ่งใน Netflix (Photo by Facebook@NetflixTH)
Q: เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็อยากเป็นซูเปอร์สตาร์ มีเคล็ดลับอะไรจะบอกไหมคะ

พี่เบิร์ด: อยากให้ลองมาเป็นพี่เบิร์ดสัก 3 วัน แล้วจะลาออกทันทีเลย (หัวเราะ)

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเป็นคนดังคือถึงแม้ว่าไม่มีคนดู ไม่มีคนเห็นพี่เบิร์ด แต่ต้องทำให้เหมือนคนดูพี่เบิร์ดตลอด ต้องออกกำลังกาย ต้องกินให้น้อย ต้องนอนให้เยอะ ต้องไม่ไปในสถานที่อโคจร พี่เบิร์ดไม่เคยไปเลย ไม่มีเลยนะ

 

Q: แล้วตัวพี่เองเคยอยากลาออกจากการเป็นซูเปอร์สตาร์บ้างหรือเปล่า

พี่เบิร์ด: ไม่เคยเลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เคยเลย เพราะพี่เลือกแล้ว และพี่ born to be ด้วย พี่ทำงานแบบนี้มานานๆ เนี่ย ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเรามาได้ถูกทางแล้ว เราจึงไม่มีอาการเบื่อ ท้อน่ะมี คนเรามันต้องมีแน่ ‘อะไรวะเนี่ย กูจะทำได้หรอ’ มันมีอยู่แล้ว การที่ต้อง ‘ฮึบ (กัดฟัน) ต้องทำได้’ มันก็มีครับ

ปีนี้พี่เบิร์ดกลับมารับตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) อีกครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศ

 

Q: เรื่องอะไรที่พี่เบิร์ดท้อ และพี่ผ่านมาได้อย่างไร

พี่เบิร์ด: เรื่องเกี่ยวกับงานทั้งนั้นเลยครับ เรื่องเต้น เรื่องร้อง แต่พี่เบิร์ดจะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ไม่เอา ไม่ไหว’ ไม่เคยได้ยินจากปากพี่เบิร์ดเลย มีแต่คำว่า ‘ไม่พอ พอแล้วเหรอ’ แล้วพี่เบิร์ดค่อยไปเหนื่อยที่บ้าน อะไรแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องอยู่คนเดียว ไม่สามารถจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าเหนื่อย เพราะพี่เบิร์ดไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่ทำงานกับทั้งหมู่คณะเลยครับ

…แต่พี่เบิร์ดจะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ไม่เอา ไม่ไหว’ ไม่เคยได้ยินจากปากพี่เบิร์ดเลย มีแต่คำว่า ‘ไม่พอ พอแล้วเหรอ’

 

Q: ทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว มีอะไรที่พี่เบิร์ดอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกไหม

พี่เบิร์ด: (นิ่งคิด) พี่เหมือนพี่ยังไม่ได้ร้องเพลงเลย เหมือนพี่ยังไม่ได้โชว์เลยนะ พี่อยากทำทุกวัน อยากทำตลอดเลย (หัวเราะ)

เอาอย่างนี้ดีกว่าน้อง เชื่อไหมว่า คนที่ต้องมาบอกพี่เบิร์ดว่าถึงเวลาหยุดเต้นไปพักทานข้าวได้เนี่ย ไม่มีเลยนะ เดินหนีกันหมดเลย แต่ถ้าพี่เบิร์ดกินข้าวอยู่แล้วต้องถึงเวลาไปเต้นแล้วเนี่ย มันมากันเป็นโขยงเลยนะ มาเรียกพี่เบิร์ดเต้น อย่างล่าสุดทั้งซ้อมร้องทั้งซ้อมเต้นสนุกสนานมากเลย

พี่ยังคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดอายุ 90 แล้ว แล้วจะทำอย่างไรกับพี่เบิร์ดดีวะ พี่ถามพี่น้อย (นกน้อย-พรพิชิต พัฒนถาบุตร ผู้จัดการส่วนตัว) ตลอดเลยนะว่า ‘พี่น้อย  พี่น้อยก็อายุ 67 แล้วนะ พี่เบิร์ดก็ 65 แล้ว เราเลิกทำงานกันไหม เลิกกันเหอะ’ พี่น้อยพูดอย่างไรรู้ไหม พี่น้อยบอกว่า ‘พูดหมาๆ’ ‘อ๊าว ทำไมล่ะพี่น้อย’ ‘เอ้า! ก็ถ้าเบิร์ดเลิกเบิร์ดจะไปทำอะไร’ คำนี้แหละ เบิร์ดจะไปทำอะไร เบิร์ดจะออกกำลังกายเพื่ออะไร เบิร์ดจะดูแลตัวเองเพื่อใคร จึงทำต่อไปเอย

ส่วนเรื่องส่วนตัว ยังมีสถานที่ที่ไม่เคยไปและอยากไปคือ วัดพระธาตุพนม เพราะเป็นพระธาตุประจำตัวของพี่น้อยเขา

 

Q: ชีวิตพี่ช่วงนี้ถ้าให้เลือกเพลงธีมจากอัลบัมของพี่เบิร์ด จะเลือกเพลงไหน

พี่เบิร์ด: พี่เบิร์ดไม่เคยพ้นเพลง “สบาย สบาย” เลยครับ (หัวเราะ) พี่เบิร์ดเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ สบาย สบาย จริงๆ ครับ ยังไงก็คิดให้ได้ คิดให้ออก คิดให้ตก แก้ปัญหากัน วันนี้แก้ไม่ได้ จันทร์ถึงอาทิตย์มันก็ต้องมีสักวันวะที่เราแก้ได้ ขีดเส้นใต้ข้ามไปก่อน That’s it!

 

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1427555
การอำลาของ GOT 7 อาจทำให้ JYP ค่ายเพลงใหญ่เกาหลี เสียส่วนเเบ่งตลาดในต่างประเทศ? https://positioningmag.com/1313771 Tue, 12 Jan 2021 13:39:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313771 บีบหัวใจเเฟนคลับ K-Pop กับข่าวช็อกในช่วงวันที่ผ่านมา เมื่อ JYP Entertainment ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ยืนยันว่า ‘GOT7’ วงบอยเเบนด์ยอดนิยม จะไม่ต่อสัญญาที่กำลังจะหมดลงในเดือนนี้ หลังประสบความสำเร็จเเละโลดเเล่นในวงการเพลงมานาน 7 ปี

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นี่ยังไม่ใช่จุดจบ เเต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น พวกเราทั้ง 7 คนจะยังคงเดินหน้านำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเราให้ทุกคนได้เห็นกันต่อไปอย่างแน่นอน #GOT7FOREVER” มาร์ค หนึ่งในสมาชิก GOT7 โพสต์ข้อความส่งถึงเเฟนๆ โดยทั้ง 7 คนกำลังจะแยกย้ายกันไปเริ่มต้นใหม่ตามเส้นทางของตัวเอง

  • คิมยูคยอม จะย้ายไปทำเพลงกับค่าย AOMG ซึ่งเป็นค่ายของศิลปินชื่อดังอย่าง Jay Park
  • ปาร์คจินยอง จะหันไปโฟกัสงานแสดง โดยมีข่าวว่าจะเซ็นสัญญากับ BH Entertainment ค่ายนักเเสดงใหญ่ของเกาหลีใต้
  • ชเวยองแจ ได้รับคำเชิญจาก Sublime Entertainment ค่ายที่มีศิลปินดังในสังกัดอย่าง ซงคังโฮ
    เรน ฮานิ EXID คิมฮีจอง ฯลฯ 
  • อิมแจบอม ได้รับการติดต่อจากหลายค่าย แต่ยังไม่คอนเฟิร์ม บางข่าวระบุว่าอาจได้รับการติดต่อจาก BH Entertainment
  • แจ็กสัน หวัง มีเเผนจะทำงานทั้งในเกาหลีใต้และจีน โดยมี Team Wang เป็นผู้ดูแล
  • มาร์ค ต้วน จะกลับบ้านเกิดที่สหรัฐฯ และอาจเปิดช่อง YouTube ของตัวเอง รวมไปถึงทำเพลงเองต่อไป
  • แบมแบม กันต์พิมุกต์ มีเเผนจะทำงานทั้งในไทยและเกาหลีใต้ โดยมีข่าวลือว่าอาจจะเซ็นสัญญากับค่าย Makeus Entertainment

การที่ค่ายเพลงต้องเสียศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกไปทั้ง 7 พร้อมๆ กันครั้งนี้ ทำให้หลายคนมองว่า JYP Entertainment ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน ‘เจ้าพ่อวงการบันเทิงเกาหลี’ อาจสูญเสียส่วนเเบ่งสำคัญในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงเม็ดเงินมหาศาลที่เคยได้จากฐานเเฟนคลับ ‘นานาชาติ’ 

JYP จะเสียส่วนเเบ่งการตลาดในต่างประเทศอย่างไร ?

ในสมัยก่อนวงการเพลงเกาหลี จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสามค่ายใหญ่อย่าง SM , JYP เเละ YG หรือที่เรียกกันติดหูว่า “Big 3” ก่อนถูกค่ายเล็กๆ ที่เติบโตเร็วอย่าง Big Hit เเซงหน้า ด้วยอานิสงส์ความสำเร็จของบอยเเบนด์ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการดนตรีโลกอย่าง BTS

JYP Entertainment ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 โดยปาร์คจินยองปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท มีศิลปินชื่อดังในสังกัดที่ผ่านมา อย่าง Rain, g.o.d , Wonder Girls, 2PM, TWICE เเละ GOT7 โดยในช่วงต้นปี 2020 เเม้จะประสบวิกฤตโรคระบาด เเต่ค่าย JYP ก็โกยรายได้นำมาเป็นอันดับหนึ่ง

สำหรับ GOT7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2014 ด้วยคาเเร็กเตอร์ที่ชัดเจนของสมาชิกที่มาจากหลายเชื้อชาติ พร้อมเเนวเพลงที่เป็นสากล การเเสดงที่มีศักยภาพเเละมีส่วนร่วมในการทำเพลง ทำให้ชื่อเสียงของวงนี้ติดตลาดได้ไม่ยากนัก

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา GOT7 มียอดขายอัลบั้มทั้งเวอร์ชั่นเกาหลีเเละญี่ปุ่น รวมกันถึง 4.3 ล้านอัลบั้ม เเละมีหลายอัลบั้มสามารถขายได้เกิน 1-2 เเสนอัลบั้มภายใน 7 วันเเรก โดยในปี 2016 GOT7 มีคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก โดยที่มีชื่อว่า ‘GOT7 1st CONCERT FLY’ จัดเเสดงในหลายประเทศ ก่อนจะมีคอนเสิร์ตระดับโลกตามมาอีกหลายรายการ

อ่านเพิ่มเติม : GOT7 Sales Summary

GOT7 จึงถือเป็นวงข้ามชาติของ JYP Entertainment ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ตามบ้านเกิดของศิลปิน พร้อมการสื่อสารด้านภาษาที่หลากหลาย โดยมีฐานเเฟนคลับขนาดใหญ่ในจีน ไทย อาเซียนเเละอเมริกา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเหล่าเเฟนคลับต่างชาติ ก็มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นตามกระเเส K-Pop ที่ฮอตฮิตไปทั่วโลก ถือว่ามีความสำคัญไม่เเพ้ตลาดในเกาหลี

สำหรับในตลาดไทย GOT7 นับว่าเป็นวงที่ได้รับความนิยมสูงมาก มีฐานเเฟนคลับหลายช่วงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นวัยเรียน ไม่เพียงแต่ความนิยมใน ‘แบมแบมที่เป็นสมาชิกคนไทยเท่านั้น แต่สมาชิกคนอื่นก็มีโอกาสได้ร่วมงานที่ประเทศไทยบ่อย ๆ ทั้งงานถ่ายแบบโฆษณาและนิตยสาร

รวมไปถึง แฟนมีตติ้งและการจัดคอนเสิร์ตขนาดใหญ่หลายต่อหลายครั้งในไทย โดยล่าสุดเคยมีตารางขึ้นแสดงที่ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งก็มียอดซื้อบัตรจองเต็มทุกที่นั่ง เเต่ก็ต้องประกาศเลื่อนออกไป เพราะการแพร่ระบาดของ COVID-19

ผลกระทบจากโรคระบาด สะเทือนทั้งอุตสาหกรรมดนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในวงการเพลงเกาหลีที่มีจุดขายคือ ‘เเฟนเซอร์วิส’ โดยการที่งานคอนเสิร์ตเเละเเฟนมีตติ้ง ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในรายได้ก้อนใหญ่จากเเฟนคลับต่างชาตินั้นได้หดหายไป ก็ส่งผลไม่น้อยกับศิลปินที่มุ่งตีตลาดในต่างประเทศ 

หลังข่าวยืนยันการไม่ต่อสัญญาของ GOT7 ทั้ง 7 คน แฟนๆ ก็ได้ร่วมกันโพสต์ข้อความ ความประทับใจที่มีต่อหนุ่มๆ จนแฮชแท็ก #GOT7FOREVER ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์ในหลายประเทศ พร้อมแฮชแท็ก
#ลาแล้วเจวายพี ก็ขึ้นติดเทรนด์บนทวิตเตอร์ประเทศไทยในทันที ซึ่งมีความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับประเด็น การดูเเลเเละไม่โปรโมตศิลปินอย่างเต็มที่ของค่าย JYP 
จากเเฟนคลับทั้งในเกาหลีเเละต่างประเทศ 

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนเเบ่งการตลาดในจีนเเละไทยของ JYP Entertainment จะหายไปอย่างมากเมื่อขาด GOT7 โดยมีเเฟนคลับจำนวนหนึ่งยืนยืนว่า พวกเขาจะไม่ให้การสนับสนุนค่ายนี้อีกต่อไป บางคนถึงขั้นบอกว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะสั่นสะเทือนตำเเหน่งใน “Big 3” ของ JYP ในวงการเพลงเกาหลีเลยทีเดียว 

 

ต้องดูกันว่าทิศทางของ JYP Entertainment จะเป็นอย่างไรหลังไม่มีวงบอยเเบนด์ดาวรุ่ง พร้อมติดตามผลงานบน ‘เส้นทางใหม่’ ของหนุ่มๆ ทั้ง 7 คนต่อไปด้วยเช่นกัน 

 

ที่มา : Billboard , Meaww , Soompi

 

]]>
1313771
เปิดเส้นทาง 11 ปี “นาดาวบางกอก” จากกำไร 26,000 บาท สู่โปรดักชั่นมือทองของ GDH https://positioningmag.com/1301319 Thu, 15 Oct 2020 17:15:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301319 เเม้ชื่อของ “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” จะเป็นผู้กำกับชื่อดังที่เริ่มต้นได้สวยงาม จากหนังดังในตำนานอย่าง “แฟนฉัน” มาตั้งเเต่ปี 2546 เเต่เส้นทางการพลิกบทบาทสู่ผู้บริหาร ปลุกปั้น “นาดาวบางกอก” มากว่า 11 ปีนั้น ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก

จากผู้กำกับร่วมในเเฟนฉัน ลงสนามเป็นผู้กำกับเดี่ยวในภาพยนตร์เด็กหอ ตามมาด้วย 5 แพร่ง, ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น และวัยรุ่นพันล้าน โกยความสำเร็จไปด้วยดี เเต่จากนั้นเขาตัดสินใจออกจาก Safe Zone ด้วยการมานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของ “นาดาวบางกอก” ซึ่ง ณ เวลานั้นยังเป็นเพียงแค่บริษัทดูแลศิลปินในสังกัดของ GTH

ย้อนความหลัง : วันที่ “นาดาว” เกือบต้อง “ปิดบริษัท” 

ช่วง 3-4 ปีเเรกของนาดาว ลุ่มๆ ดอนๆ มาก ตอนนั้นจับทางไม่ได้ว่าการพัฒนาศิลปินเเล้วมาทำรายได้อย่างไร จนกระทั่งถึงตอนถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ซึ่งตอนนั้นเกือบจะปิดกิจการบริษัทไปเเล้ว เพราะปีนั้นทำกำไรเเค่ 26,000 บาท

ย้งเล่าย้อนไปในช่วง 11 ปีที่ผ่านมาของนาดาว ว่า ซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” ซีซัน 1 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท ช่วย “กู้วิกฤต” ให้เขาไม่ต้องทำธุรกิจ “เจ๊ง” 

ช่วงเริ่มเเรก นาดาวบางกอก มีทีมงานเพียงแค่ 7-8 คนเท่านั้น โดยระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ ซีซัน 1 นั้นถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ “คนทั้งออฟฟิศ” มาทำงานเดียว จนทำให้ไม่มีเวลาไปรับงานอื่น ไม่มีรายได้เข้ามา จึงทำให้ผลประกอบการของนาดาวในปีนั้นมีกำไรเพียงแค่ 26,000 บาท (เป็นตัวเลขที่พนักงานรุ่นเก่าจำได้ขึ้นใจ)

ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่เราทำไม่เป็นจริงๆ เเหละ…ทำใจเเล้ว ตอนฮอร์โมนส์ฯ ออกฉาย เราหา
สปอนเซอร์ได้เเค่เจ้าเดียว พอฉาย 2 ตอนเเรก กระเเสเริ่มมีบ้างประปราย ก็คิดว่าเราก็จะ “จบสวยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) พอฉายไปจนจบซีซัน กระเเสตอบรับดีเกินคาด ผู้ชมเเละสปอนเซอร์ถามหาเยอะ ตอนนั้นเเหละผมถึงมีความคิดว่าต้องไปต่อ ซึ่งซีซัน 2 ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทมีทุกวันนี้

จากซีรีส์ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น นาดาวบางกอก ขยับฝ่ายโปรดักชั่นไปต่อยอดทำออริจินัลคอนเทนต์ ให้กับ LINE TV เเละทำซีรีส์ที่เจาะตลาดคนทุกวัยอย่าง “เลือดข้นคนจาง” ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน

ซีรีส์ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซัน 1

รายได้ของ “นาดาว” มาจากอะไรบ้าง 

ปัจจุบันงานหลักๆ ของนาดาวบางกอก มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ ฝ่ายดูแลพัฒนาศิลปินนักแสดง ฝ่ายโปรดักชั่นผลิตซีรีส์คอนเทนต์ และค่ายเพลง Nadao Music

ด้วยความที่ธุรกิจของนาดาวขึ้นอยู่กับคนอื่นเยอะทั้งลูกค้าเเละสปอนเซอร์ พรีเซ็นเตอร์เเละอีเวนต์ต่างๆ จึงทำให้คาดการณ์รายได้ยากว่าในเเต่ละปีบริษัทจะโตเท่าไหร่ โดยรายได้ในปี 2019 อยู่ที่ราว 270 ล้านบาท

เเบ่งรายได้ของนาดาวง่ายๆ เป็น 2 ส่วน ได้เเก่ ดูแลศิลปินและนักแสดง ราว 60% ส่วนอีก 40% มาจากการทำซีรีส์และคอนเทนต์ต่าง ๆ

ที่น่าสนใจคือกำไรที่ได้นั้นกลับสวนทางกัน โดยฝ่ายโปรดักชั่น เเม้จะมีรายได้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า เเต่ทำกำไรเมื่อหักค่าใช้จ่ายเเล้วได้ประมาณ 20-30% ขณะที่ส่วนดูเเลศิลปิน รายได้ส่วนใหญ่ที่ได้จากค่าตัว มักจะถูกแบ่งให้กับศิลปินในสัดส่วนที่มากกว่า เเละเมื่อหักลบอะไรต่าง ๆ แล้ว จึงเหลือเป็นกำไรกลับมายังบริษัทเพียงแค่ประมาณ 8-15% ต่องานเท่านั้น

ช่วงที่จัดอีเวนต์ไม่ได้ หายไปเลยกว่า 2 เดือนที่ล็อกดาวน์นั้น กระทบงานส่วนดูเเลศิลปินโดยตรง เพราะรายได้ศิลปินทั้งหมดมาจากงานอีเวนต์ราว 20% พรีเซ็นเตอร์ 70% เเละออนไลน์ 10%”

ยัง เล่าลึกลงไปถึงการลงทุนในโปรดักชั่นว่า ซีรีส์ส่วนใหญ่ของนาดาว มีต้นทุนต่อตอนราว 2.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่สูงกว่าละครในช่วง Prime-Time ของทีวีช่องใหญ่ทั่วไป ที่มักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4-1.5 ล้านบาท

การจะให้ลดต้นทุนโปรดักชั่นเพื่อเพิ่มกำไร ไม่ใช่ทางของนาดาว มันเป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพ รายละเอียดของงาน เพราะคนทำงานก็มาจากคนทำหนัง พอลงมาทำสเกลเล็กกว่าอย่างซีรีส์ ค่าตัวของทีมงานก็ยังเหมือนเดิม มีซีนเยอะขึ้นก็มีค่าตัดต่อเพิ่มอีก เหล่านี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในเเต่ละปี จึงได้ชมซีรีส์จากนาดาวเพียง 1-2 เรื่อง

โดยตอนนี้รายได้ของนาดาวบางกอก มาจากในประเทศ 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่มาจากจีนที่ซื้อซีรีส์ไปฉาย)

ความท้าทายของธุรกิจ “ดูเเลศิลปิน” 

ตอนนี้นาดาวบางกอก มีศิลปินอยู่ในสังกัด 36 คน การทำงานกับ “คนรุ่นใหม่” ที่มีความคิดความอ่านเเตกต่างกันตามเจเนอเรชันนั้น “ไม่ใช่งานง่ายๆ”

ทรงยศ บอกว่า นโยบายของนาดาวยังคงเหมือนเดิม คือ การพัฒนาคนขึ้นมาให้เป็นนักเเสดงเเละศิลปินที่ดีพอให้คนข้างนอกมาจ้าง อยากทำงานกับพวกเขา ไม่ใช่วนเล่นหนังให้กับ GDH หรือนาดาว

ถ้าเห็นน้องคนไหนไปทำงานข้างนอกเยอะๆ ไม่ได้ทำนาดาวเลย นั่นคือนักเเสดงที่เราภูมิใจนะ เราพยายามส่งเสริมให้เขามีประสบการณ์ มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาตัวรอด ทำงานกับผู้จัดข้างนอกได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าภูมิใจในสิ่งที่เราทำมา เเละน้องๆ ก็ได้ออกไปทำในสิ่งที่อยากทำด้วย

“เเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เเผนการตลาดเเละสื่อสารองค์กรของนาดาวบางกอก เสริมว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการที่ศิลปินอยู่กับเราตั้งเเต่เด็กจนโต ทำให้เห็นความเปลี่ยนเเปลง พอเป็นวัยรุ่นก็ต้องใช้เหตุผลคุยกัน มุมหนึ่งก็คุยกันง่ายขึ้น เเต่อีกมุมเขาก็เริ่มมีทัศนคติ มีเเนวคิดของตนเอง

อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ศิลปินยังอยู่กับนาดาว” ?

ย้งตอบว่าผมไม่เคยถามน้องๆ นะ เเต่เดาว่า คงเป็นการที่เราอยู่เเบบพี่น้อง การทำสัญญากับนาดาวไม่มีการผูกมัด ถ้าศิลปินรู้สึกว่าวันหนึ่งไม่อยากทำเเล้ว อยากยกเลิกสัญญา ก็ทำ เมื่อไหร่ก็ได้ เเต่ต้องมาคุยกันก่อน มีเหตุผลที่เข้าใจได้เเละไม่มีอะไรค้างคา ทำงานเเบบรับผิดชอบต่อกัน เรื่องการบริหารคนก็มีปัญหาหยุมหยิมไปหมด เเต่ต้องคุยกันให้เข้าใจ ให้รู้สึกสบายใจ

ย้ง ทรงยศเเละเเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา สองผู้บริหารของนาดาวบางกอก

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เฟ้นหาเด็กมา “ปั้นเป็นดารา” อย่างไร มองจากอะไร ?

ผมว่ามันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ เวลาเเคสติ้งนักเเสดงมาเล่นหนังก็เจาะจงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องรสนิยมส่วนตัว เเต่เด็กที่ทำให้เราสนใจได้ ต้องมีคาเเร็กเตอร์บุคลิกเฉพาะตัวของเขา เช่น เดินมาเเล้วพูดอะไรบางอย่าง เเล้วเราจำเด็กคนนี้ได้ ไม่ใช่เเค่เรื่องหน้าตาเท่านั้น เเต่ชวนมอง มองได้ไม่เบื่อ

นาดาวบางกอก มีการเสริมทักษะให้ศิลปินต่างๆ เริ่มจากการให้เรียนการเเสดงก่อนจากนั้นค่อยๆ ให้เข้าสู่โปรเจกต์ที่ไม่ยากเกินตัว เวลาส่งศิลปินไปเเคสติ้งงาน ก็อยากรู้ฟีดเเบ็กจากลูกค้าว่าทำไมเลือกศิลปินเรา เเละทำไมไม่เลือก เพื่อนำมาปรับปรุงเเละพัฒนาต่อไป

ความเป็นเด็กนาดาว ทำให้มีภาษีกว่าที่อื่นไหม ?

ถ้าเป็นช่วงหลังๆ ก็อาจจะมีบ้าง มีข้อได้เปรียบว่ารุ่นพี่สร้างภาพจำที่ดีว่าสังกัดนี้ตั้งใจ รับผิดชอบเเละมีทักษะการ
เเสดงที่โอเคระดับหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วก็ขึ้นอยู่กับเเต่ละบุคคลว่าตัวเขาเองทำได้ดีเเค่ไหน

Nadao Music กับความฝัน T-POP ระดับเอเชีย

ย้งเล่าว่า การทำค่ายเพลงของนาดาว เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจทำเป็นธุรกิจ เเต่เกิดจากการที่มีกลุ่มศิลปินที่มีความสามารถด้านการร้องเพลง โดยสมัยก่อนจะให้ไปเซ็นสัญญากับที่อื่น เเต่พอมาคิดดูเเล้ว คงถึงเวลาเเล้วที่นาดาวจะต้องจะทำเองเพื่อซัพพอร์ตความสามารถของศิลปิน

เมื่อพอคิดจะมียูนิตนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้เป็นธุรกิจให้ได้ ด้วยความบังเอิญที่ตอนนั้นซีรีส์รักสุดใจนายฉุกเฉิน เเล้วทำเพลงประกอบ “รักติดไซเรนเกิดกระเเสฮอตฮิตขึ้นมา จึงเป็นการปูทางให้บริษัทได้เรียนรู้การทำตลาดจากเพลงจริงจัง โดยตอนนี้มีเบลสุพล นักร้องชื่อดัง มานั่งแท่นเป็นหัวเรือใหญ่

ล่าสุดมีศิลปินในสังกัด 6 คน คือ เจเลอร์ กฤษณภูมิ , ไอซ์ พาริส , กัปตัน ชลธร , บิวกิ้น พุฒิพงศ์ , แพรวา ณิชาภัทร เเละนาน่า ศวรรยา โดยมีเเผนจะเพิ่มศิลปินในอนาคต เเต่ขอโฟกัสที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีก่อน

ถ้าถามว่านาดาว บางกอกมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องขอบคุณซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ถ้าถามว่าเกิด Nadao Music ได้ยังไง ก็ต้องขอบคุณเพลงรักติดไซเรน

ความคืบหน้าของ Nadao Music นั้น ย้งบอกว่า เพิ่งเปิดตัวเป็นปีเเรก…ต้องสู้กันอีกยาวยังยากลำบากเเละผลประกอบการก็ยังน่าเป็นห่วง เเต่ไปต่อเเน่นอน

ผู้บริหารนาดาว มองว่า เเม้ธุรกิจค่ายเพลงจะอยู่ในช่วงขาลง เเต่วงการนี้ยังมี “ลู่ทาง” ที่จะไปต่อได้ เช่น การขยายฐานตลาดเเฟนเพลงออกไปยังต่างประเทศแทน เริ่มจากประเทศในอาเซียน ที่ตอนนี้นาดาวมีฐานแฟนอยู่ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และจีน อยู่แล้ว ถ้าเราอยากทำเพลงดี ลงทุนสูง ตลาดในบ้านเรา อาจจะไม่พอ

โดยตั้งเป้าจะเจาะตลาดเอเชียเป็นหลัก ซึ่งประเทศที่ฝันอยากจะไปให้ถึงก็คือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น  เพราะทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมด้านบันเทิงที่แข็งเเกร่งมาก

ถ้าถามว่าเป้าหมายอยากทำ T-POP ให้โด่งดังในระดับเอเชียไหม คำตอบคืออยากมาก เเต่จะสำเร็จไหมก็ต้องดูกันยาวๆ”

ซีรีส์วาย ต้อง “หลากหลาย” ถ้าอยากไปต่อ

นาดาวเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เจ้าเเรกๆ ที่ลงสนามมาทำ “ซีรีส์วาย” จนตอนนี้กลายเป็นกระเเสฮิตติดลมบนไปเเล้ว

“เรากำลังทำความเข้าใจเเละเรียนรู้ตลาดซีรีส์วายอยู่ตลอด เเต่ไม่ได้มองว่าพอตลาดมันฮิตเเล้วค่อยลงไปทำ เเต่เราทำเพราะทีมงานเราอยากทำ มาเสนอโปรเจกต์ที่เห็นว่าเหมาะสมกับช่วงเวลาเเละพอจะขายได้ เช่น แปลรักฉันด้วยใจเธอ ก็เป็นการต่อยอดการเเสดงของ #พีพีบิวกิ้น จากบทหมอเต่าทิวเขาในละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

ผู้บริหารนาดาว มองว่า ตลาดซีรีส์วาย ถือว่าเติบโตเร็วเเละใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เเม้ทุกวันนี้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม เเต่เป็นกลุ่มที่กว้างมาก ทำให้เราเห็นว่าโลกทุกวันนี้ สิ่งที่เป็น Niche Market จะกลายเป็นตลาดเเมส ไม่มีอะไรที่เเมสจริงๆ เเล้ว ซีรีส์วายก็จะเป็น Niche ที่เเมสไปอีกเเบบหนึ่ง

ผมว่าซีรีส์วาย ถ้าอยากจะไปต่อ เราต้องทำคอนเทนต์ให้หลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เเละมีมาตรฐานชัดเจน

ซีรีส์วายเรื่องใหม่ของนาดาวบางกอก -แปลรักฉันด้วยใจเธอ

ศิลปินคอนเทนต์กับวิกฤต COVID-19

ทรงยศ กล่าวถึงการปรับตัวของนาดาวบางกอก ในสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ให้ฟังว่า ตอนเเรกก็ตั้งตัวไม่ทัน ต้องเเก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเเทบทุกอย่าง เพราะตอนนั้นถึงเวลาเปิดกล้องถ่ายทำละครแปลรักฉันด้วยใจเธอเเต่จากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ออกไปถ่ายทำไม่ได้ ต้องมีการประเมินสถานการณ์เเบบวีคต่อวีค

ส่วนมากต้องเจรจากับลูกค้า เพราะการเลื่อนถ่ายทำคือการเลื่อนฉาย เเต่จะเลื่อนไปได้ถึงไหน ตอนนั้นยังไม่รู้ เเต่หลังเราชนฝาได้เพียงสิ้นปี จะข้ามปีไม่ได้ ทั้งปัญหางบประมาณเเละคิวนักเเสดง จากใบเสนอราคาที่เคยเข้าบริษัทเดือนละ 30 ใบ ตอนนั้นเข้าเเค่ 6 ใบ” 

ส่วนธุรกิจดูเเลศิลปินนั้น ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะงานอีเวนต์ต่างๆ ที่บริษัทรับไว้ถูกยกเลิกเพราะสุ่มเสี่ยงเกินไป เหล่าสปอนเซอร์ที่เป็นคอนซูมเมอร์โปรดักส์ได้รับผลกระทบหมด เพราะขายของไม่ได้ จึงมีผลต่อการตัดสินใจในงบที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนซีรีส์สักเรื่องมีทั้งเจ้าที่ยกเลิกเเละระงับโปรเจกต์ไปก่อน

ช่วง COVID-19 ดูเหมือนนาดาวจะเงียบๆ ไม่มีงาน เเต่งานหลักของเราคือการเเก้ปัญหาความวุ่นวายหลังบ้าน เช่น ลูกค้าที่ซื้อพรีเซ็นเตอร์ศิลปินเรา ถ่ายโฆษณาไม่ได้ ออกอีเวนต์ไม่ได้ น้องเราจะช่วยอะไรกลับได้บ้าง ทำอะไรทดเเทนได้บ้าง

เเบรนด์ต่างๆ ก็ปรับตัวเร็ว อย่างการเปลี่ยนให้ศิลปินไลฟ์เองจากที่บ้าน โพสต์รูปกักตัวอยู่บ้านในอินสตาเเกรมเเละทวิตเตอร์ รวมไปถึงให้ศิลปินช่วยไลฟ์ในเเพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ กระตุ้นขายของ ซึ่งต่อไปการจัดอีเวนต์หรือโปรโมตสินค้า ก็คงต้องเป็นรูปแบบผสมออฟไลน์ออนไลน์

ศิลปินก็ต้องปรับตัว ทำคอนเทนต์กึ่งๆ โฆษณาจากที่บ้านเอง เเต่งหน้าเองเพราะไม่มีกองถ่ายไปดูเเล พวกเขาต้องถ่ายเอง ลองผิดลองถูก มีการทำคอนเทนต์กักตัวเดอะซีรีส์ ทุกอย่างโปรโมตผ่านออนไลน์ ทำให้ได้เข้าใจการใช้เเพลตฟอร์มโซเชียลมากขึ้น ถือเป็นความท้าทายใหม่ของศิลปินในยุค New Normal”

หลังคลายล็อกดาวน์ ทีมงานสามารถกลับมาทำงานโปรดักชั่นได้เต็มรูปแบบเเล้ว เดินหน้ากองละครต่อเนื่องได้ตั้งเเต่ช่วงเดือนสิงหาคม ตอนนี้ก็ถือว่ากลับเข้าสู่โหมดปกติศิลปินเริ่มมีงานอีเวนต์เเละลูกค้าหลายๆ เจ้าก็พร้อมเตรียมลุยงานปีหน้าเเล้ว

ใจเราก็อยากโตทุกปี ไม่เคยมีเป้าตัวเลขชัดเจน ขอเเค่ไม่ต่ำกว่าเดิม ปีที่เเล้วเราจบที่ 270 ล้านบาท เเต่เมื่อเจอโรคระบาด ปีนี้ก็คงไม่โตเเน่นอน ต้องลุ้นกันว่าจะไปได้ถึงจุดไหนมากกว่า คาดว่าสินปีนาดาวคงทำรายได้ไม่เกินที่ 230 ล้าน

ผู้กำกับสู่ผู้บริหาร : มุมมองที่เปลี่ยนไป

จริงๆ ผมก็อยากกลับไปเป็นผู้กำกับนะ เเต่ก็ได้เรียนรู้จากการเป็นผู้บริหารเยอะมาก เรานิ่งขึ้น ได้ใช้สกิลหลายๆ อย่างไปจัดการงานในเชิงสร้างสรรค์

ไม่ได้ชอบงานบริหาร ไม่ได้อินขนาดนั้น เเต่ถามว่าสนุกไหม ก็สนุกมาก ตลอด 11 ปีที่ผ่านมามีช่วงเครียด มีปัญหารุมเร้า เเต่เพราะได้ทำงานที่เราชอบ กับคนที่เราอยากทำงานด้วย จึงกลายเป็นความท้าทายเวลาต้องลงไปเเก้ปัญหา ด้วยความที่เราเป็นผู้กำกับก็ทำให้เห็นภาพรวม ก็เลยช่วยให้ทำงานบริหารได้

เเม้กลุ่มผู้ชมของนาดาวส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นมัธยมมหาลัยเเต่เวลาทำงานคอนเทนต์จะต้องมองให้ครบทุกเจเนอเรชัน ผลักดันให้ไปถึงทุกกลุ่ม อย่างเช่น ตอนทำละครเลือดข้นคนจางเเรกๆ จะดันศิลปิน 9by9 เเต่เราก็ต้องเล่าเรื่องให้คนเข้าถึงเยอะที่สุดเเต่ก่อนเราทำหนังทำซีรีส์มา เเม่เราไม่เคยได้ดูเลย เราก็เลยอยากทำเลือดข้นฯ ให้เเม่ดูบ้าง

โดยได้มีการทำความเข้าใจกับผู้ชมในทุกช่องทาง เช่นการอ่านคอมเมนต์ใน “ทวิตเตอร์” ซึ่งเขามองว่าเป็นฟีดเเบ็กที่สดเเละจริง เพราะคนดูเเล้วรู้สึกอย่างไรก็ทวีตออกมาเลย

“ผมสนใจคำติมากกว่าคำชมด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้รู้ทิศทางว่าควรพัฒนางานเราต่อไปยังไง” 

ในวันที่ “ย้ง-ทรงยศ” ขยับจากผู้กำกับมาเป็นผู้บริหาร เเละนาดาวประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มภารกิจ
“ส่งไม้ต่อ” ให้กับผู้กำกับรุ่นใหม่อย่าง พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับละคร ฉลาดเกมส์โกง เเละ บอสนฤเบศ กูโน ผู้กำกับ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน, Side By Side พี่น้องลูกขนไก่ เเละแปลรักฉันด้วยใจเธอ

“การปั้นคนทำงานยังเป็นความท้าทายของเราอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาถึงวันที่นาดาวมีพนักงาน 50 คน จากจุดเริ่มต้น 7-8 คน ตอนนี้มองว่าการที่เราจะไปต่อได้ไกลๆ ยังไงก็ต้องสร้างคนทำงาน จะสร้างเเค่ศิลปินไม่ได้ นาดาวจะพยายามเดินไปในเส้นทางที่ทำงานในปริมาณที่เราทำได้ดี อยู่มือเเละควบคุมภาพได้ต่อไป

 

 

]]>
1301319
GDH ครองตลาดหนังไทย รายได้ 471 ล้าน เปิดกลยุทธ์ 2020 ลุยหนัง-ซีรีส์-ปั้นศิลปินใหม่ https://positioningmag.com/1262597 Thu, 30 Jan 2020 19:25:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262597 เเม้ทุกวันนี้คนไทยจะดู “หนังไทย” กันน้อยลง ถึงขั้นซบเซา เเต่ค่ายหนังขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “GDH” ก็ยังครองกระเเส ส่งหนัง 3 เรื่อง ติดท็อปทำรายได้สูงสุดของปี 2019 ยอดทิ้งห่างหนังไทยเรื่องอื่นไปหลายเท่า

“ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค” เป็นหนังไทยที่ทำเงินสูงสุดในปี 2019 ด้วยรายได้141 ล้านบาท รองลงมาคือเรื่อง “Friend Zone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน” อยู่ที่ 134 ล้านบาท และ “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” มีรายได้ที่ 57 ล้านบาท

มองกลับมาที่ “หนังไทย” ตลอดปี 2019 ไม่ค่อยสดใสนัก โดยมีออกฉายราว 40 เรื่อง ทำรายได้รวมทั้งหมดประมาณ 711 ล้านบาท ลดลง 14% เฉลี่ยต่อเรื่องทำรายได้เพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น จากปีก่อนอยู่ที่ 18-19 ล้านบาท

เเละที่น่าตกใจคือ “มีหนังไทยกว่า 17 เรื่องที่ทำรายได้น้อยกว่า 1 ล้านบาท”

ขณะที่ “ภาพรวมตลาดหนังที่ฉายในไทย” อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท โตขึ้น 4% จากมาจากหนังต่างประเทศเป็นหลัก สะท้อนว่าคนไทยไม่มีหนังไทยที่อยากดูเเละชอบดูหนังต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เเม้ตลาดหนังไทยจะดูซึมๆ เเต่ ” GDH” ก็โตสวนทางตลาด ด้วยรายได้รวมอยู่ที่ 471.29 ล้านบาท ในปี 2019 เติบโตจากปี 2018 ประมาณ 12%

GDH เเละ นาดาวบางกอก วางทิศทางธุรกิจเเละเเผนการตลาดอย่างไร รวมถึงตั้งเป้าจะทำโปรเจ็กต์อะไรต่อไปในปี 2020-21 วันนี้ “จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า เเละ “ทรงยศ สุขมากอนันต์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด หรือ “ย้ง” หนึ่งในผู้กำกับหนังไทยในตำนานอย่าง “เเฟนฉัน” ที่ขยับมาเป็นผู้บริหาร จะมาให้คำตอบนี้…

ทุ่มการตลาด เข้าถึงทุกเเพลตฟอร์ม 

“การทำหนังเรื่องหนึ่งของ GDH มีต้นทุนราว 45-50 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนสร้าง 20-30 ล้าน ส่วนที่เหลือคืองบสำหรับทำการตลาด”

ผู้บริหาร GDH บอกว่าในยุคสมัยนี้ เเม้จะทำหนังออกมาดีเเค่ไหน เเต่หากขาดการโปรโมท เเละการสร้างการรับรู้ที่เข้าถึงก็อาจจะ “ขาดทุน” ได้

ในปี 2020 นี้ GDH จึงเปิดบริษัทในเครือขึ้นมาใหม่ เพื่อดูเเลด้านการโปรโมทโดยเฉพาะอย่าง บริษัท น้ำดีไม้งาม จำกัด เเละ บริษัท งานดีทวีสุข ดูแลงานพีอาร์และอีเว้นท์ ซึ่งน้ำดีไม้งามได้ “เดียว วิชชพัชร์ โกจิ๋ว” มานำทีม ดูแลในเรื่องการโปรโมตหนังและคอนเทนต์ให้กับ GDH เป็นหลักรวมถึงงานของรัชดาลัยเธียเตอร์ และงานของเบิร์ด-ธงไชย

กลยุทธ์หลักของ GDH ปีนี้คือ “ต้องการให้คอนเทนต์เข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม” จึงจะขยายเพิ่มขึ้นอีก 1 แอปพลิเคชั่น คือ iQiYi จากจีนที่มาเปิดในไทย จากปัจจุบันที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ GDH ได้หลายแพลตฟอร์มอย่าง WeTV, Viu, Netflix, Line TV, HOOq และ AIS PLAY เป็นต้น

“จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ขวา)

เมื่อคนดูหนังเปลี่ยน…คนทำหนังต้องปรับตาม

“ทุกวันนี้หนังมีอายุอยู่ในโรงสั้นลง จากเดิมที่เฉลี่ยเคยอยู่ในโรงประมาณ 4 สัปดาห์ ลดลงมาเหลือเเค่ 2 สัปดาห์”

ผู้บริหาร GDH อธิบายเพิ่มว่า “เมื่อก่อนคนดูจะมาแบบแบ่งกันเป็น 3 ล็อตใหญ่ คือสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่ 2
เเละสัปดาห์ 3 บางทีลากยาวเป็นเดือน เเต่ตอนนี้คนดูส่วนใหญ่เทไปอยู่สัปดาห์แรกกันหมด บางครั้งถ้ากระแสของหนังดี สัปดาห์แรกของการเข้าฉายก็อาจเป็นรายได้ 65% ทั้งหมดของหนังเลยก็ได้”

ส่วนปัจจัยที่คนไทยดูหนังในโรงน้อยลงนั้น จินามองว่า คอนเทนต์ไทยมีให้ดูฟรีมากมายในหลายช่องทาง บวกกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหารถติด รวมถึงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีส่วนทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น การดูหนังนอกบ้านจึงลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การฉายหนังยุคนี้ก็มีข้อดีคือ การมีจำนวนโรงภาพยนตร์ให้ฉายมากขึ้น ก็ย้อนกลับมาที่บริษัททำหนังต้อง “โปรโมต” ให้ดีเพื่อดึงกระเเสสัปดาห์เเรกให้มากที่สุดนั่นเอง

เปิดโปรเจกต์ใหญ่ปี 2020 ส่งซีรีส์เจาะตลาดจีน 

GDH จะมี 3 โปรเจกต์ใหญ่ในปี 2020 เเบ่งเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง โดยจะเป็นภาพยนตร์เเนว thiller horror กำกับโดย กอล์ฟ-ปวีณ ออกฉายในช่วงเดือน ส.ค. เเละภาพยนตร์เเนวโรเเมนติก คอมเมดี้ ที่กำกับโดย เมษ-ธราธร จะออกฉายในเดือน ธ.ค.นี้

ส่วนอีกโปรเจกต์คือ “ซีรีส์” โดยปีนี้ทุกคนจะได้ดู “ซีรีส์ฉลาดเกมส์โกง” ในเดือน ส.ค. ทางช่องวัน 31 นับเป็นครั้งเเรกที่จะฉายซีรีส์คู่ขนานไปพร้อมกับประเทศจีน และนำมาฉายย้อนหลังในช่องทาง WeTv ของ Tencent

โดย “ฉลาดเเกมโกง” เป็นภาพยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน จนมีนักลงทุนสนใจติดต่อให้ทำต่อเนื่องเป็นซีรีส์เพื่อตีตลาดจีนโดยเฉพาะ

“ในปีต่อไป (2021) เราจะกลับมาทำหนังอย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้เตรียมไว้เเล้ว 4 โปรเจกต์ อยากจะฉายให้ได้ทุกไตรมาส เเละมีเรื่องของการร่วมทุนกับต่างชาติในเอเชียด้วย”

กลุ่มลูกค้าหลักของ GDH และนาดาว คือคนช่วงวัย 15-30 ปี เเละเป็นความท้าทายของที่จะดึงคนนอกเหนือช่วงวัยนี้ให้เข้าถึงคอนเทนต์ของบริษัทให้ได้

จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ซ้าย) – ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด (ขวา)

ภารกิจปั้นเด็กใหม่ ดันกระเเส Nadao Music

ด้านผู้กำกับมือทองที่ผันตัวไปเป็นผู้บริหารอย่าง “ย้ง ทรงยศ” บอกถึงก้าวต่อไปของนาดาวบางกอก บริษัทในเครือ GDH ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสำหรับดูแลศิลปินและนักแสดงในค่าย ขยายต่อในงานโปรดักส์ชั่นเเละสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปีเเล้ว

ในปี 2562 นาดาวบางกอกมีรายได้อยู่ที่ 370 ล้านบาท เติบโตขึ้น 52.71% ซึ่งรายได้กว่า 70% นั้นมาจากการดูแลศิลปิน ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นรายได้ที่มาจากฝ่ายโปรดักชั่น

“ส่วนโปรดักส์ชั่นเราโตขึ้น 34% จากซีรีส์ Greatmen Academy และละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

นับตั้งเเต่เริ่มทำซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” มาจนถึง “เลือดข้นคนจาง” ประสบความสำเร็จ ศิลปินในค่ายโด่งดังเป็นที่ รู้จัก เเต่มีงานต่อยอดมากมายทั้งพรีเซ็นเตอร์เเละงานเพลง

“ซีรีส์เรื่องเลือดข้นคนจาง ทำให้รายได้ของนาดาวบางกอก ในปี 2018 โตขึ้นจากปี 2017 ถึง 200%”

ปีนี้นาดาวจะมุ่งเน้นไปกับการสร้างศิลปินหน้าใหม่ขึ้นมา ผ่านโครงการ Nadao Academy ค้นหาเด็กฝึกมาเป็นศิลปิน นักแสดงในสังกัด โครงการเวิร์คช็อป เขียนบท ส่งนักแสดงร่วมงานช่องอื่นๆ อย่าง ช่องวัน 31 GMM25
และช่อง 3 รวมทั้งเพิ่มพาร์ตเนอร์ OTT แพลตฟอร์ม และแบรนด์ต่างๆ ซึ่งน่าจะมีการร่วมโปรเจกต์กันมากขึ้น

ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด

หลังจากเพลง “รักติดไซเรน” ดังทั่วบ้านทั่วเมือง นาดาวก็จะต่อยอดกระเเสนี้ด้วย ยูนิต Nadao Music ดึงศิลปินอย่างเบล-สุพล มาเป็นโปรดิวเซอร์หลัก ซึ่งในปีนี้จะปล่อยซิงเกิลของศิลปินอย่าง ของเจเจ , ไอซ์ พาริส, บิวกิ้น, แพรวา เป็นต้น

หากมองดูการเเบ่งส่วนหารายได้ของ GDH จะพบว่าได้เเยกย่อยเป็นบริษัทลูกในเครือที่หลากหลาย อย่างนาดาวบางกอก ที่มีรายได้หลักจากการดูเเละศิลปิน ขยายไปรับงานโปรดักชั่น ส่วนสวัสดีทวีสุขเเละเสียงดีทวีสุข ก็ให้บริการด้านภาพเเละเสียง รับทำงานให้ลูกค้านอกบริษัทได้ นับเป็นอีกกลยุทธ์หารายได้อีกทางของ GDH โดยเป็นการปั้น “ลูกหม้อ” คนที่ทำงานในบริษัทมานานให้เติบโตขึ้นมาทำหน้าที่ดูเเลบริหารในส่วนต่างๆ

“ปัญหาของเราตอนนี้คือ ปั้นคนทำงานขึ้นมาไม่ทัน” ทรงยศกล่าวเเละทิ้งท้ายถึงอุตสาหกรรมหนังในประเทศว่า “เราอยากให้วงการหนังไทยโตไปด้วยกัน ถ้าเเค่ GDH โตเจ้าเดียวเเล้วคนทำหนังคนอื่นขาดทุน วงการนี้ก็ลำบาก”  

]]>
1262597
“LINE Idol” ร่วมสงครามนักปั้น “อินฟลูเอนเซอร์” https://positioningmag.com/1208051 Mon, 14 Jan 2019 06:57:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1208051 การเติบโตขึ้นของ “อินฟลูเอนเซอร์” ซึ่งเชื่อว่าจะครองเมืองในปี 2019 นี้ ทำให้แม้แต่ “LINE” แอปพลิเคชั่นแชตที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 44 ล้านคนในเมืองไทย ยังต้องกระโดดเข้ามาร่วมวง ผ่านการออกบริการที่ชื่อว่า 

“LINE Idol”

“LINE Idol” นับเป็นบริการที่ 3 (เท่าที่เปิดตัว ณ วันนี้ ไม่นับบริการที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยอีก) ที่มีจุดเริ่มต้นจากในเมืองไทย ต่อจาก LINE Man และ LINE TV โดยมีอายุราว 1 ปีกว่าแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงของการ Soft Launch ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018 ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ Official Launch อย่างเป็นทางการ

บริการนี้วางตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวม อินฟลูเอนเซอร์ไว้ด้วยกัน เบื้องต้นจะคัดจากอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามอย่างต่ำ 1 ล้านราย ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง Facebook Twitter Youtube และ Instagram โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ ศิลปิน, เน็ตไอดอล, บล็อกเกอร์ และ Publisher 

ปัจจุบันมีทั้งหมด 37 ราย มีทั้งที่ LINE ติดต่อไปก่อนและติดต่อเข้ามาเอง โดย LINE จะเข้าไปซัพพอร์ตด้านเครื่องมือ เทคนิคการใช้ รวมไปถึงด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การเปิดเป็น Official Account ที่สามารถมีจำนวนผู้ติดตามได้ไม่จำจัด ต่างจาก LINE@ ที่มีข้อกำหนดผู้ติดตามได้ไม่เกิน 300,000 ราย

เป้าหมายของการมี LINE Idol คือหา คอนเทนต์ อย่างอื่นจากอินฟลูเอนเซอร์ในสังกัด เข้ามาเสริมใน “Timeline” มากกว่าแค่ผู้ใช้โพสต์เรื่องตัวเอง ซึ่งแม้จะมียอดการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 1,000 ล้านวิวต่อเดือน แต่ LINE เชื่อยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่านี้อีก เพราะเมื่อมีคอนเทนต์เข้ามาเสริม นั่นหมายถึงทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่ตามมาคือเพจวิวที่จะหลั่งไหลเข้ามา

นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร Commercial Director, LINE ประเทศไทย กล่าวว่า

คอนเทนต์จะอยู่บน Timeline แม้บางคนจะมองว่าไม่เคยเข้าไปดูหรือโพสต์เลย แต่มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งของคนไทยคือชอบส่องและก็ชอบอ่าน ถึงขนาดที่เพจวิววของ Timeline เมืองไทยสูงที่สุดในโลก สูงกว่าญี่ปุ่นที่ชอบอ่านเสียมากกว่า

โมเดลการหารายได้จะไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการหักรายได้จากอินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่ในสังกัด เพราะหากแบรนด์ต้องการลงโฆษณาต้องติดต่อไปที่เอเจนซี่ที่ดูแลอีกทีหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าต้องลงเฉพาะบน Timeline เท่านั้น สามารถซื้อเพื่อลงในแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย ขณะนี้มีการซื้อเข้ามาแล้ว โดยเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มสินค้า FMCE

โดยสิ่งที่ LINE ได้คือ การขายโฆษณาที่อยู่บน Timeline โดยตรง ผ่าน “LINE Ads Platform : LAP” ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งการมี LAP จะทำให้แบรนด์เล็กๆ สามารถซื้อ Ad ลงใน LINE ได้ จากแต่ก่อนเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ที่ซื้อผ่านเอเจนซี่เสียมากกว่า แต่ทั้งนี้ LAP ยังคงต้องซื้อผ่านเอเจนซี่อยู่ดี เพราะมีเรื่องของอาร์ตเวิร์กที่ต้องดู ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ซื้อตรง โดย LINE ได้ดีลกับเอเจนซี่ขนาดเล็กรวม 200 รายไว้รองรับแล้ว

LINE บอกว่า จุดแข็งของ Timeline อยู่ที่ Organic Reach 100% เพราะแค่เพื่อนกดไลก์คอนเทนต์นั้นๆ ก็จะขึ้นในหน้าฟีดให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนในไลน์ได้เห็นด้วย และเพื่อป้องกันดราม่าที่สามารถเกิดขึ้นได้ LINE จึงมีกฎที่สามารถลบโพสต์ที่สุ่มเสี่ยง โดยที่ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าได้

จริงๆ แล้ว LINE มี “LINE TODAY” ที่รวบรวมคอนเทนต์อยู่แล้ว โดยนรสิทธิ์ เปรียบเทียบ LINE TODAY เหมือนหนังสือพิมพ์ ส่วน LINE Idol เหมือนนิตยสาร ทุกคนอาจอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนกัน แต่นิตยสารอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน เช่นเดียวกับ LINE TODAY ที่คนอ่านเพราะต้องการอัพเดตเรื่องราวในแต่ละวัน แต่สำหรับ LINE Idol เลือกที่จะตามเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์ที่ตัวเองชอบเท่านั้น

จนถึงขนาดนี้ LINE ยังไม่ได้วางกำหนดที่ชัดเจน สำหรับการเปิดตัว “LINE Idol” อย่างเป็นทางการ เพราะด้วยตัวเลขอินฟลูเอนเซอร์ 37 รายที่อยู่ในมือ LINE ยอมรับยังไม่ใช่ตัวเลขที่สวยหรูมากนัก จึงต้องใช้เวลาในการเพิ่มจำนวน รวมไปถึงทดลองให้แน่ใจเสียก่อน.

]]>
1208051