สุขภาพจิต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 22 Mar 2024 11:51:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “HACK ใจ” แฮกกาธอนด้านสุขภาพจิตครั้งแรกในไทย สร้าง 8 นวัตกรรมฮีลใจ Thai PBS และภาคีฯ เตรียมผลักดันสู่ระดับนโยบาย https://positioningmag.com/1467029 Sat, 23 Mar 2024 03:30:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467029

ในยุคปัจจุบันนี้ “สุขภาพจิต” กลายเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย และถูกให้ความสำคัญไม่แพ้สุขภาพกายเลยทีเดียว การดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรงก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนไม่ควรมองข้ามไปเลยเช่นกัน เพราะในยุคนี้คนไทยมีปัญหาด้านสุขภาพจิตกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ไม่แก้ปัญหา อาจจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากเกินเยียวยา

สถานการณ์ด้านสุขภาพจิตในประเทศไทยถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ก็พบว่าคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ มีการประเมินตัวเลขว่าในปี 2566 มีผู้ป่วยสูงถึง 4.4 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านคนในปี 2565 โดยสาเหตุหลักของปัญหาสุขภาพจิตนั้นมีหลายปัจจัย ทั้งจากสภาพแวดล้อม ความเครียด ความกังวลต่างๆ

เพราะสุขภาพจิต ไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือมียารักษา เหมือนสุขภาพกาย… การจะป้องกัน หรือรักษาการป่วยทางจิตได้อย่างไร จึงเป็นประเด็นที่หลายภาคส่วนต้องพูดกันมากขึ้น

หลายคนอาจจะเคยเห็นโครงการแฮกกาธอนกันมาบ้างแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมในการระดมสมอง ระดมไอเดียใหม่ๆ สำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพ ในการต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ๆ เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้คนมีไอเดียตัวเล็กๆ ได้ปล่อยของ

ล่าสุด ประเทศไทยได้มีโครงการแฮกกาธอนด้านสุขภาพจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชื่อว่าHACK ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน”ระดมสมองหาไอเดีย สร้างนวัตกรรมตอบ 8 โจทย์ ฮีลใจ  ให้เป็นพื้นที่สร้างพลังใจ นำไปสู่การต่อยอดนโยบายขยายสู่ระดับประเทศ

งานนี้องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส ได้จับมือร่วมกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP Thailand) และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “HACK ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน” ขึ้น  เพื่อระดมสมองหาไอเดียกันแบบเข้มข้น  ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 วัน เมื่อวันที่ 29 ก.พ. – 2 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา กับโจทย์ที่ท้าทาย 8 โจทย์ จาก 8 กลุ่มผู้เข้าร่วมจากทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการส่งเสริมป้องกันสุขภาพจิต

เหตุผลที่ทางไทยพีบีเอสจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมานั้น “รศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ส.ส.ท” เริ่มเล่าว่า

“ไทยพีบีเอส ในฐานะสื่อสาธารณะ ให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาวะทางจิต และสุขภาพใจ เราไม่อยากทำหน้าที่เพียงรายงานข่าว เมื่อเกิดเหตุเศร้าสลดใจในสังคมเท่านั้น แต่เราอยากมีส่วนช่วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคม เป็นตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ให้สังคมมีความแข็งแรง ดังนั้น การจัดกิจกรรมวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากในการสร้างความเข้มแข็งสร้างพลังใจ ไม่ใช่ประเด็นเฉพาะทางการแพทย์เมื่อเจ็บป่วยแล้วเท่านั้น เชื่อมั่นว่า การระดมสมองของเหล่านักแฮกจากหลากหลายวงการในกิจกรรมครั้งนี้  จะสามารถสร้างนวัตกรรมที่จะไปตอบโจทย์สุขภาวะทางจิตได้  เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน”

ในที่สุดก็ได้ 8 ไอเดีย 8 นวัตกรรมที่ช่วยดูแลปกป้องสุขภาพจิตคนไทย โดยส่วนใหญ่เน้นการเข้าถึงระบบส่งเสริม และป้องกันก่อนการป่วย โดยหลังจากที่เสร็จสิ้นกิจกรรมแล้ว ไทยพีบีเอสเตรียมผลักดัน 8 นวัตกรรมนี้ให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง ต่อยอดไปสู่ระดับนโยบายให้ได้เห็นผลจริง ประกอบไปด้วย

  1. ใจฟู Community – นวัตกรรมระบบบริการสุขภาพจิตไทย (Innovation) เจ้าของโจทย์ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน)

โมเดลการใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ สร้างสุขภาพใจที่ดีอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมจาก NIA โดยมี ใจฟู Creator ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจประเด็นสุขภาพจิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ ดำเนินงานให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพใจ เช่น การจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป และระบบที่ 2 คือการดึง influencer เป็นกาวใจในการพูดเรื่องสุขภาพจิต ระบบที่ 3 ใช้บ้าน วัด โรงเรียน เป็นแกนนำสร้างชมรวมส่งเสริมสุขภาพจิต และระบบที่ 4 คือ กลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่ผ่านการรักษาเป็นแรงบันดาลใจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จนในท้ายที่สุดเกิด ecosystem ที่ดีทางสุขภาพจิต ให้เป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคมไทยให้ได้

  1. ฟังกันก๊อนนน – องค์กรส่งเสริมความสุข และสุขภาวะทางจิต (Happy Work) เจ้าของโจทย์ Food passion  

ในปัจจุบันสถานที่ทำงานก็ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจได้ ในแต่ละองค์กรมีความแตกต่างที่ต่างกัน จึงจำเป็นต้องแผนงานต้องมีการสร้างแบบประเมินเกณฑ์ ความเครียดของพนักงานในองค์กร โดยในแบบสำรวจระบุว่าปัจจัยอะไรที่เข้าถึงความเครียด เช่น หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน การทำงาน ลักษณะงาน ครอบครัว การเงิน ฯลฯ และเพื่อให้ได้ข้อมูลในการช่วยแก้ปัญหา มีการสร้างหลักสูตรพื้นฐานในการดูแลสุขภาพใจกันและกัน ฟังกัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา และในแผนระยะยาว คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยพร้อมรับฟังด้วยหัวใจ จนออกมาเป็นนโนบายในการแก้ปัญหา เช่น ที่ปรึกษาด้านการเงินเพื่อลดปัญหาความเครียดจากภาวะทางเศรษฐกิจ

  1. ศูนย์ฝึกและอบรมแห่งการเปลี่ยนแปลง นวัตกรรมระบบสุขภาพจิตเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด (Justice System) เจ้าของโจทย์กรมพินิจ และคุ้มครองเด็ก และเยาวชน

ศูนย์ฝึกและอบรมแห่งการเปลี่ยนแปลง จะขับเคลื่อนใน 3 ส่วน คือ การฝึกฝนอบรมเจ้าหน้าที่โดยใช้จิตวิทยาเชิงบวกในการรับฟังเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมรุนแรง, ระยะที่ 2 มีระบบการแก้ไขที่เฉพาะเจาะจงในการดูแลเด็กที่มีความยุ่งยากซับซ้อนและรุนแรง และระยะสุดท้ายขับเคลื่อนเชิงนโยบายที่ไม่ใช่แค่เชิงระบบกับบุคลากรอย่างเดียว แต่ไปถึงเชิงโครงสร้างของตัวศูนย์แห่งนี้ให้มีความมั่นคงปลอดภัย

  1. Happy Hub – Digital Economy สุขภาพใจวัยทำงานแห่งอนาคต เจ้าของโจทย์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

ใช้นวัตกรรมสร้างพื้นที่ Sandbox เพื่อรวมภาคีฯ สร้าง Happy Hub ของคนทำงาน เพื่อเก็บข้อมูลผลสัมฤทธิ์จากการทดลองลดกฎ เพิ่มเกณฑ์ ที่ปิดกั้นอิสระและความสุขของคนทำงานออกไป เพิ่มเกณฑ์เพื่อการันตีมาตรฐานสุขภาพใจวัยทำงานแห่งอนาคต ผ่านการสนับสนุนจากองค์กรที่ทำงานด้านสุขภาพจิต ขยายจนเกิดเป็นเครือข่ายองค์กร แลกเปลี่ยนรูปแบบการทำงานซึ่งกันและกัน

  1. อุ่นใจ เตือนภัยมิจจี้ – พลังของเทคโนโลยีการสื่อสารต่อสุขภาพจิตสังคมไทย (Communication) เจ้าของโจทย์ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS 

นวัตกรรมป้องกันการถูกหลอกในโลกออนไลน์ จนนำมาสู่ความเครียด ฆ่าตัวตาย โดยมีแกนนำหลักอย่าง AIS ร่วมมือกับตำรวจไซเบอร์ ให้การให้ภูมิคุ้มกัน ระบบแจ้งเตือนเบอร์น่าสงสัยที่โทรเข้ามา ศูนย์กลางในการรับแจ้งคดีความถูกหลอกในออนไลน์ มีระบบให้คำปรึกษาเยียวยาจิตใจ และให้คำแนะนำเรื่องการจัดการการเงินหลังถูกหลอก

  1. Hack Jai Insurance – ระบบประกันสุขภาพจิตที่ครอบคลุมสำหรับคนไทย (Insurance) เจ้าของโจทย์ กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

จากข้อมูลพบว่า 46.2% ของผู้เข้ารับการรักษาสุขภาพจิต เคยหยุดการรักษากลางคันเหตุเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูง โดยกรุงเทพประกันภัยหนึ่งในธุรกิจประกันภัยที่เข้าร่วมการ Hack ในครั้งนี้ นำเสนอว่า ในอนาคตจะร่วมกับกรมสุขภาพจิตในการรณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจให้คนไทยห่างไกลจากภาวะซึมเศร้าโดยมุ่งหวังให้สังคมช่วยดูแลประคับประคองอย่างยั่งยืน ขณะที่ไตรมาสที่ 2 บริษัทจะขยายความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันสุขภาพมาตรฐาน โดยเพิ่มการให้บริการตรวจรักษาของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจหรือจิตเวช และไตรมาสที่ 4 บริษัทและภาคีฯ จะมีการให้บริการคำปรึกษาและรักษาโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจผ่านระบบ Telemedicine Service ซึ่งในระยะแรกสำคัญที่สุดคือการเข้าถึงฐานข้อมูลด้านสุขภาพจิตในธุรกิจประกันภัย รู้ความเสี่ยง ปริมาณของผู้คน เป็นฐานข้อมูลเพื่อแบ่งปันให้กับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ ในการขยายผลครอบคลุม คุ้มครองระบบสุขภาพจิตคนไทย

  1. Hero Protecter – เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สุขภาพจิตคนไทย (Law Enforcer) เจ้าของโจทย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

“ข้าราชการตำรวจมีสุขภาวะทางจิตที่ดี ดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ” ผ่านการใช้นวัตกรรมนำจิตวิทยาเชิงบวกมาปรับใช้  โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แผนการปฏิบัติงานระยะสั้น Hero Protecter Club House ที่มีภาคีฯ ด้านสุขภาวะจิต ร่วมจัดกระบวนการเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ระบายความรู้สึก ขยายผลโมเดลไปยังตำรวจหน่วยอื่นๆ โดยตัวชี้วัดและการประเมินผล ได้แก่ ดัชนีชี้วัดความสุขก่อนและหลังการร่วมกิจกรรม และความต่อเนื่องในการเข้าร่วมกิจกรรมระยะแรก

  1. พื้นที่เมืองแห่งความสุข – Smiling Cities จากเจ้าของโจทย์ Urban Planning – Future Tales Lab by MQDC 

การพัฒนารูปแบบเมืองที่ใช้นวัตกรรมทำให้ผู้คนในเมืองรู้สึก ปลอดภัย ผ่าน Urban Data Platform ระบบการป้องกันภัยล่วงหน้า ป้องกันภัยพิบัติเหตุอาชญากรรม รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนในเมืองทั้งกาย และจิต สวยงามน่าอยู่ ออกแบบหลักสูตรคำแนะนำ ในการส่งเสริมเมืองที่คำนึงถึงสุขภาพจิตต้องเป็นอย่างไร เพื่อส่งต่อให้กับ กทม.และ อปท. ปรับปรุงพื้นที่ให้สวยงาม สร้างให้เกิดเมืองที่รองรับคนทุกกลุ่ม ส่งเสริมสุขภาพจิต ร่วมกับหน่วยงานด้านสุขภาพจิตสร้างพื้นที่บริการสุขภาพจิตส่งเสริม Mental Health Literacy ให้ทุกคนเข้าถึงพื้นที่ และบริการสุขภาพจิตได้อย่างทั่วถึง โดยระยะสั้น วางแผนสร้างแพลตฟอร์มทดลองพื้นที่นำร่อง ระยะกลาง 3-5 ปี กระจายโหนดขยายเครือข่าย และระยะสุดท้าย 6-10 ปี ขยายผลทุกพื้นที่ในเมือง นำไปสู่การปรับแก้กฎหมาย

จากกิจกรรม HACK ใจ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นำไปสู่ 8 นวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน ช่วยสร้างความมั่นใจว่าเรื่องของสุขภาวะทางจิต มีทางออก มีรูปธรรม เพื่อนำไปสื่อสารให้เกิดผลสะเทือนกับสังคม ซึ่งแต่ละประเด็นมีผู้เชี่ยวชาญที่นำไปสานต่อได้ในทันที ส่วนไทยพีบีเอสไม่พลาดที่จะหยิบยก 8 ประเด็นนี้ไปสื่อสารต่อแก่คนไทย เพื่อผลักดันต่อในเชิงนโยบาย และให้เห็นผลเป็นรูปธรรม สร้างสุขภาวะทางจิตในสังคมให้มีความแข็งแรง

สามารถติดตามรับชมย้อนหลังได้ทาง Facebook และ YouTube : ThaiPBS และ The Active  

สามารถติดตามไทยพีบีเอสทุกช่องทางออนไลน์ ได้ที่ 

▪ Social Media Thai PBS : Facebook, YouTube, X (Twitter), LINE, TikTok, Instagram

▪ Website : www.thaipbs.or.th

▪ Application : Thai PBS

]]>
1467029
งานวิจัยพบ “ล็อกดาวน์” เพราะโควิด-19 ส่งผลให้อายุ “สมอง” วัยรุ่นแก่ตัวเร็วผิดปกติ https://positioningmag.com/1411066 Sat, 03 Dec 2022 08:14:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411066 งานวิจัยล่าสุดพบว่า การล็อกดาวน์ในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 มีผลกระทบต่อ “สมอง” ของวัยรุ่นในเชิงกายภาพ ทำให้อายุสมองแก่ตัวลงเร็วผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นในส่วนของสมองที่มีผลต่อ “อารมณ์” และสุขภาพจิตในวัยรุ่น

Ian Gotlib หัวหน้าทีมวิจัยจาก Stanford University ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นนี้ใน Biological Psychiatry: Global Open Science โดยเนื้อหางานวิจัยระบุถึงการที่ “สมอง” ของวัยรุ่นได้รับผลกระทบหลังผ่านการล็อกดาวน์ในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทำให้อายุสมองแก่ตัวลงเร็วขึ้น

“เราทราบอยู่แล้วจากงานวิจัยชิ้นอื่นที่พบว่าโรคระบาดโควิด-19 มีผลต่อสุขภาพทางจิตในวัยรุ่น แต่ที่เราไม่เคยรู้คือ ผลกระทบนั้นมีผลทาง ‘กายภาพ’ โดยตรงในสมองของวัยรุ่น” Gotlib ระบุในงานวิจัย

Gotlib กล่าวว่า ปกติแล้วโครงสร้างทางสมองของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้น โดยในวัยเจริญพันธุ์และวัยรุ่นตอนต้น ร่างกายของเด็กจะเปลี่ยนแปลงหลังสมองเกิดการเติบโตทั้งในส่วนฮิปโปแคมปัสและอะมิกดาลา สมองในส่วนฮิปโปแคมปัสจะช่วยในการควบคุมด้านความทรงจำ และส่วนอะมิกดาลาจะควบคุมเรื่องอารมณ์

การวิจัยนี้มีการสแกน MRI สมองของเด็ก 163 คน โดยสแกนเทียบช่วงก่อนเกิดโรคระบาดกับหลังเกิดโรคระบาด Gotlib พบว่า อายุของสมองวัยรุ่นถูกเร่งการเติบโตผิดปกติเมื่อต้องผ่านประสบการณ์ “ล็อกดาวน์” ในช่วงเกิดโควิด-19

ก่อนจะเกิดโรคระบาดโควิด-19 เขาระบุว่าการเร่งโตของอายุสมองเด็กจะถูกพบเฉพาะในเด็กที่ผ่านประสบการณ์สถานการณ์ร้ายในชีวิตมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ความรุนแรง การถูกทอดทิ้ง ครอบครัวมีปัญหา หรือหลายๆ ปัจจัยเหล่านั้นรวมกัน และเด็กที่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มักจะเกิดปัญหาสุขภาพจิตในภายหลังเมื่อเติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของ Gotlib ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าการเปลี่ยนโครงสร้างทางสมองที่เขาและทีมค้นพบจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตในลักษณะเดียวกันหรือไม่ และยังไม่ทราบว่าอายุสมองที่แก่ตัวล่วงหน้าอายุจริงจะเป็นเช่นนี้ถาวรหรือไม่

“สำหรับคนวัย 70-80 ปี คุณจะคาดการณ์ได้เลยว่าปัญหาการจดจำและความทรงจำจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสมอง แต่สำหรับเด็กอายุ 16 ปี ถ้าอายุสมองแก่ตัวลงเร็วผิดปกติ จะเกิดผลอย่างไรนั้นยังไม่แน่ชัด” Gotlib กล่าว

ทั้งนี้ งานวิจัยของ Gotlib ไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เดิมเขาเริ่มงานวิจัยตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 เพื่อวิจัยหัวข้อภาวะซึมเศร้าในช่วงวัยเจริญพันธุ์ แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ระบาดขึ้นทำให้งานวิจัยมีการเลื่อนออกไปชั่วคราว และเมื่อทีมกลับมาวิจัยกันอีกครั้งหลังหยุดไปเกือบ 1 ปี กลับกลายเป็นการค้นพบว่าภาวะโรคระบาดทำให้สมองของเด็กวัยรุ่นแก่ตัวเร็ว

การวิจัยครั้งนี้มีความสำคัญในแง่ที่ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่รอดพ้นไปจากการระบาด ทุกคนได้เผชิญล็อกดาวน์เพราะโควิด-19 กันทั้งหมด และหากวัยรุ่นทั่วโลกเผชิญการเปลี่ยนแปลงของสมองแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าทั้งเจนเนอเรชันนี้อาจมีความผิดปกติในการเติบโตของสมองเหมือนกันทั้งหมด และอาจจะมีผลเมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่

Jonas Miller นักวิจัยร่วมในทีมนี้จาก University of Connecticut อธิบายว่า การล็อกดาวน์และดิสรัปชันเพราะโรคระบาด ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป และเป็นเหมือนสถานการณ์ทางลบที่มีผลกระทบในชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้สมองของเด็กวัยรุ่นในช่วงที่ผ่านโรคระบาดไม่เหมือนกับเด็กในยุคก่อนหน้านี้

Source

]]>
1411066
‘Instagram’ อัปเดต 6 ฟีเจอร์ใหม่ หวังช่วยลดปัญหา ‘สุขภาพจิต’ https://positioningmag.com/1355835 Sun, 10 Oct 2021 05:41:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355835 ประเด็นสุขภาพจิตมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตส่วนตัว ด้านความสัมพันธ์ ด้านการทำงาน และด้านการเรียนรู้ ซึ่งการใช้งานโซเชียลมีเดีย ก็ถือเป็นดาบ 2 คม หากเราไม่ตระหนักรู้และไม่ดูแลสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม ก็จะเกิดผลกระทบตามมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิดตอนนี้ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น

โดยใน Instagram ได้อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยประเด็นด้านสุขภาพจิต ได้แก่

  • การซ่อนยอดไลก์ Instagram มอบทางเลือกให้ผู้คนสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ผู้อื่นเห็นยอดไลก์บนโพสต์ของพวกเขาหรือไม่ และยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการเห็นยอดไลก์บน Instagram หรือไม่
  • การควบคุมด้านการส่งข้อความและการมีปฏิสัมพันธ์ การตั้งค่าที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเลือกได้ว่าต้องการอนุญาตให้ทุกคน ไม่อนุญาตใครเลย หรืออนุญาตเฉพาะผู้คนที่พวกเขาติดตาม ให้สามารถส่งข้อความ แท็ก หรือกล่าวถึงพวกเขาในช่องแสดงความคิดเห็น คำบรรยายใต้ภาพ Stories หรือการส่งข้อความตรง
  • จำกัด Instagram ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้รังแก (bullies) สามารถมองเห็นหรือเข้ามามีส่วนร่วมกับเนื้อหาของผู้ใช้ได้ โดยที่ผู้รังแกจะไม่ได้รับการแจ้งเตือน
  • ลิมิต Instagram ช่วยให้ผู้คนสามารถซ่อนความคิดเห็นและคำขอในการส่งข้อความตรงโดยอัตโนมัติ จากผู้คนที่ไม่ได้ติดตามหรือผู้คนที่เพิ่งเริ่มติดตามพวกเขาในช่วงที่ผ่านมา
  • การควบคุมเนื้อหาที่มีความอ่อนไหว ผู้คนสามารถเลือกเนื้อหาที่พวกเขาเห็นในหน้า Instagram Explore ได้ตามความต้องการของตัวเอง จากการมอบทางเลือกในการเห็นเนื้อหาที่อาจถูกมองว่ามีความอ่อนไหว (sensitive) จำนวนมากขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ Instagram ยังกรองเนื้อหาบางประเภทออกจากหน้า Explore ซึ่งเป็นเนื้อหาที่อาจถูกมองว่ามีความอ่อนไหว หรือสร้างความขุ่นเคือง (offensive) และผู้ใช้วัยรุ่นจะเลือกเห็นเนื้อหาประเภทนี้ในจำนวนน้อยลงได้อย่างเดียวเท่านั้น
  • การเตือน (Nudges) นอกจากนี้ Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ที่สนับสนุนให้ผู้คนหยุดพักและไตร่ตรองว่าเนื้อหาประเภทไหนที่พวกเขาต้องการรับชม และหวังที่จะช่วยเชื่อมต่อผู้คนเข้ากับเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจและยกระดับจิตใจของพวกเขา

นอกจากนี้ Instagram ยังเปิดตัว Instagram Guides ฟีเจอร์เพื่อช่วยให้การค้นพบคำแนะนำ เคล็ดลับ และเนื้อหาอื่น ๆ จากครีเอเตอร์ บุคคลสาธารณะ องค์กร และผู้ผลิตเนื้อหา (publishers) บน Instagram เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น โดยการเข้าดูไกด์ต่าง ๆ คุณสามารถไปที่หน้าโปรไฟล์ของ โนอิ้งมายด์ อูก้า และ สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย จากนั้นกดไปที่ปุ่มไอคอนไกด์เพื่อรับชมไกด์ของพวกเขา

โดยในขณะเยี่ยมชมไกด์ ผู้ใช้จะเห็นโพสต์และวิดีโอต่าง ๆ ที่ครีเอเตอร์ได้เลือกสรรมาจัดแสดง ซึ่งจะถูกจับคู่กับเคล็ดลับและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ คุณยังสามารถแชร์ไกด์เหล่านี้ไปยัง Instagram Stories หรือส่งเป็นข้อความ (Direct) ด้วยการกดปุ่มแชร์ที่ด้านขวาบน

ที่ผ่านมา ประเด็นด้านสุขภาพจิตมีการพูดถึงในมุมมองที่กว้างขึ้นบนโลกออนไลน์ โดยมีผู้คนจำนวนกว่า 200,000 คน เป็นสมาชิกในกลุ่มบน Facebook ราว 2,000 กลุ่ม ที่มีวัตถุประสงค์ในการ ให้ความช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต นอกจากนี้ คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับประเด็นด้านสุขภาพจิตยังผลักดันให้เกิดพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์บน Instagram เป็นจำนวนกว่า 2.2 ล้านครั้ง ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

สื่อแฉ ‘Facebook’ ศึกษาผลด้านลบของ ‘Instagram’ ต่อวัยรุ่นกว่า 3 ปีแต่ไม่เปิดเผย

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตระบุว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้คนไทยจำนวนกว่า 3.3 ล้านคน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นอาการวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และความคิดอยากฆ่าตัวตาย และจากผลการศึกษาขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) ประจำปี 2563 พบว่า 7 ใน 10 ของเด็กและเยาวชนชาวไทย ได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความเครียด ความทุกข์ และความวิตกกังวล จากความไม่แน่นอนทางด้านการเงินและโอกาสในการถูกจ้างงานในอนาคต

]]>
1355835
หุ่นดีแล้ว “สุขภาพจิต” ก็ต้องดีด้วย! Fitbit ออกสมาร์ตวอตช์ใหม่ ติดตามระดับ “ความเครียด” ได้ https://positioningmag.com/1294350 Thu, 27 Aug 2020 10:58:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294350 Fitbit ออกจำหน่ายสมาร์ตวอชต์เชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลกที่สามารถติดตามระดับ “ความเครียด” ของผู้ใช้ได้ ผ่านเซ็นเซอร์ล้ำสมัยเรียกว่า EDA ในอีกมุมหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ทำให้เกิดความกังวลหากมีการนำมาใช้ในที่ทำงาน อาจทำให้ความเป็นส่วนตัวของพนักงานสูญเสียไป

Fitbit Sense สมาร์ตวอชต์ใหม่ล่าสุดเพิ่งจะเปิดตัวในสัปดาห์นี้ โดยเครื่องมือนี้มีการบรรจุเซ็นเซอร์ EDA (Electrodermal Activity) ติดตั้งเข้าไปด้วย ทำให้สามารถติดตามระดับความเครียดของผู้ใช้ อ่านค่าจากระดับ 1-100 แสดงบนนาฬิกาและแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อได้เลย

หลักการทำงานของ EDA คือ ผู้ใช้วางฝ่ามือลงบนหน้าปัดของเครื่อง เครื่องจะวัดปฏิกิริยาการตอบสนองต่อกระแสไฟฟ้าในระดับชั้นเหงื่อของผิวหนัง เมื่อวิเคราะห์ออกมาแล้ว หากอยู่ในระดับที่มีความเครียด Fitbit จะแนะนำการบริหารจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น ฝึกหายใจ ฝึกสมาธิ นอนให้เร็วขึ้น และเป็นดัชนีชี้วัดให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้ว่าตนเองควรลุยโปรเจกต์งานใหม่ๆ หรือพักก่อน

ในประเทศไทย Fitbit Sense จะจำหน่ายในราคา 11,990 บาท ทั้งนี้ สมาร์ตวอชต์ตัวใหม่ของบริษัทรุ่นนี้ถือเป็นการกรุยทางไปสู่อุตสาหกรรมเวลเนสที่ได้รับความนิยมสูงในยุคนี้

Fitbit Sense สามารถแจ้งระดับความเครียด และแนะนำการจัดการความเครียดเหล่านั้นได้

 

จะใช้ได้จริงหรือไม่?

สมาร์ตวอชต์แต่ละแบรนด์กำลังแข่งขันกันเพิ่มความสามารถในเชิงการแพทย์ โดย อเดล เลายู ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท NeuTigers บริษัทด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง ให้ความเห็นกับ Business Insider ว่า ด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์และแมชชีน เลิร์นนิ่งที่ล้ำสมัยขึ้นจะทำให้สมาร์ตวอชต์สามารถตรวจหาโรคได้หลายพันโรคในอนาคต

NeuTigers เองเป็นผู้นำในการวิจัยด้านนี้ โดยมีการพัฒนางานวิจัยเชิงคลินิกเพื่อพิสูจน์คอนเซ็ปต์ว่าแมชชีนเลิร์นนิ่งและเซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถวินิจฉัยโรคอย่างโรคเบาหวาน ซึมเศร้า จิตเภท และไบโพลาร์ได้จริง

อย่างไรก็ตาม เลายูชี้ให้เห็นว่า NeuTigers ร่วมกับสถาบัน MIT พัฒนาเซ็นเซอร์ในระดับงานวิจัยได้สำเร็จก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่าเซ็นเซอร์ EDA ของ Fitbit มีการผ่านการพิสูจน์วิจัยทางคลินิกหรือยัง “การนำเซ็นเซอร์ไปติดตั้งในสมาร์ตวอตช์เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การสาธิตให้เห็นว่าสมาร์ตวอชต์นั้นอยู่ในระดับที่ใช้ได้จริงทางการแพทย์คืออีกเรื่องหนึ่งเลย”

Fitbit Sense

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ของเซ็นเซอร์ EDA ก็มีสูงมาก เพราะที่ผ่านมานักวิจัยก็ใช้เซ็นเซอร์นี้วัดระดับทางอารมณ์ เช่น ความกลัว ความโกรธ ความสุข ความประหลาดใจ ได้อย่างแม่นยำ

 

ความเป็นส่วนตัวของพนักงานอาจลดลง?

ศักยภาพในการวินิจฉัยโรคของสมาร์ตวอชต์ ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้เกิดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวด้วย เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Fitbit (ซึ่งบริษัท Google เข้าซื้อไปด้วยเม็ดเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2562) ต่างก็ออกโปรแกรมสมาร์ตวอชต์ให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อสนับสนุนเรื่องสุขภาพในที่ทำงาน โปรแกรมเหล่านี้พยายามจูงใจถึงผลประโยชน์แบบวิน-วินของบริษัทกับพนักงาน เพราะบริษัทจะได้บุคลากรที่สุขภาพดีขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น ส่วนพนักงานก็จะมีโปรแกรมดูแลสุขภาพแบบเฉพาะรายบุคคล

แต่โปรแกรมเหล่านี้ก็ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้ Fitbit มีโปรแกรมชื่อ Ready for Work เพื่อใช้ตรวจสอบว่าพนักงานมีแนวโน้มจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือไม่ และข้อมูลพนักงานจะถูกส่งตรงไปที่ผู้ว่าจ้าง

เมื่อสมาร์ตวอชต์สามารถวิเคราะห์ได้ถึงขั้นสุขภาพใจของพนักงาน ผสมกับโปรแกรมของบริษัทเทคโนโลยีที่จับมือกับองค์กรโดยตรง หากไม่มีการป้องกัน ต่อไปองค์กรอาจจะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของพนักงานทั้งร่างกายไปถึงจิตใจก็ได้

Source

]]>
1294350